นำเสนอสาระน่ารู้ บทความดีๆ เกี่ยวกับพัฒนาการของทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 ปี เพื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้เตรียมพร้อมรับมือกับพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างชาญฉลาด และมีสติ พร้อมที่จะแก้ไขและส่งเสริมให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีสมวัย และสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ร่าเริงสดใส ทาง Pstip หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสาระความรู้ต่างๆ ในหมวดนี้จะสามารถเป็นแนวทางที่ดี สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนใหม่นำไปปฏิบัติเพื่อลูกน้อยที่คุณรักได้อีกทางหนึ่งค่ะ
Written by on
เช็คด่วนขวดนมลูกหมดอายุหรือยัง
ขวดนมถือได้ว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณแม่หลายๆ บ้านเลือกให้ลูกใช้ แต่เคยรู้กันไหมค่ะว่าขวดนมนั้นก็มีอายุการใช้งาน ขวดนมจะมีอยู่หลายแบบทั้งขวดสีขาวขุ่น ขาวใส หรือขวดแก้ว และในแต่ละแบบนั้นก็มีราคาที่ต่างกันด้วย วันนี้เรามาเช็คกันดีกว่าค่ะว่าขวดนมแต่ละประเภทนั้นมีอายุการใช้งานอย่างไร
1. ขวดนมประเภทพลาสติก PP เช่นขวดพลาสติกขาวขุ่น ทนอุณหภูมิ -20 – 110 ˚C มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6 เดือน ขึ้นกับการดูแลรักษา และความถี่ในการต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อ
2. ขวดนมประเภทพลาสติก PES เช่นขวดพลาสติกขาวใส ทนอุณหภูมิ -50 – 180 ˚C มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นกับการดูแลรักษา และความถี่ในการต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อ
3. ขวดนม PPSU เช่น ขวดนมสีชา ทนอุณหภูมิ -50 – 180 ˚C มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 8 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นกับการดูแลรักษา และความถี่ในการต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อ
4. ขวดนมแก้ว สุดคุ้มแต่นิยมน้อยเพราะหนักและกลัวลูกทำหล่นมือแตก มีอายุการใช้งานไม่จำกัด จนกว่าจะแตก หรือมีรอยขูดข่วน
5. จุกนมซิลิโคน ทนความร้อน 120 ˚C มีอายุการใช้งาน 6 เดือน ถ้าดูแลอย่างถูกวิธี แต่อาจต้องเปลี่ยนเร็วขึ้นหากผ่านความร้อนสูงบ่อยเกินไป
6. จุกนมยาง ทนความร้อน 100 ˚C มีอายุการใช้งานปกติ 3 เดือน แต่หากผ่านความร้อนสูงบ่อย อาจต้องเปลี่ยนก่อน
ไม่ว่าจะใช้ขวดนมราคาถูกหรือแพง ควรดูแลรักษาให้ถูกวิธี หากเลือกขวดราคาแพง ควรถนอม ด้วยการล้างขวดนมด้วยแปรงขนนิ่ม ฟองน้ำ หรือแปรงซิลิโคน เพื่อให้การใช้งานได้นานขึ้น
ขอขอบคุณ ที่มา : women.thaiza.com ภาพประกอบจาก mamaexpert.com
Written by on
Written by on
ลูกน้อยพัฒนาการดีเริ่มได้ที่การนอน
เมื่อลูกน้อยหลับทั้งวัน ลูกจะนอนมากไปหรือเปล่านะ กลางคืนลูกหลับยาว ตื่นอีกทีก็สายๆ แล้ว แบบนี้ควรปลุกขึ้นมาดีไหม...
อย่ารบกวนการนอนของลูก ...... เพราะการนอนหลับมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กตั้งแต่วัยขวบปีแรก ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี เมื่อใดที่ไปปลุกลูก รบกวนลูก ทำให้ลูกนอนไม่พอ ลูกก็จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด งอแงง่าย ร้องกวนบ่อย แต่เมื่อใดที่ลูกได้นอนหลับสนิทยาวนาน นอนได้เต็มอิ่มตลอดคืน ร่างกายก็จะหลั่ง Growth Hormone ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตออกมาเต็มที่ ทำให้ลูกเติบโตแข็งแรง สุขภาพ ดี น้ำหนักส่วนสูงขึ้นดี ที่สำคัญยังช่วยให้สมองเกิดความตื่นตัว พร้อมที่จะรับรู้ เรียนรู้และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้แม่นยำอีกด้วย
ตอบสนองลูกให้ถูกต้อง เด็กตั้งแต่วัยทารกมักตื่นบ่อย ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น อาจหิว จนต้องตื่นขึ้นมากินนม ผ้าอ้อมอาจเปียกแฉะทำให้ไม่สบายตัว จนต้องตื่นขึ้นมาร้องงอแงกลางดึก หรืออื่น ๆ ดังนั้น รีบตอบสนองความต้องการของลูกให้ถูกต้อง เช่น ดูว่าลูกหิวหรือไม่ ถ้าหิวก็ให้นม หรือตรวจว่าผ้าอ้อมเปียกแฉะอับชื้นหรือไม่ ถ้าเปียกแฉะควรรีบเปลี่ยนทันที เพื่อให้ลูกแห้งสบาย ช่วยให้ลูกอารมณ์ดี ทำให้หลับได้อย่างยาวนานค่ะ
จัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม คุณแม่ควรสร้างสภาวะแวดล้อมรอบตัวให้เหมาะกับการนอนของลูก โดยจัดห้องให้ระบายอากาศได้ดี เงียบสงบ นอนสบาย ห่างไกลเสียงรบกวน หรี่ไฟให้สลัว ไม่ให้แสงจ้าแยงตาลูก เลือกชุดนอนที่อบอุ่นใส่ได้พอดี จะได้ไม่ต้องใช้ผ้าห่ม ซึ่งมักหลุดจากตัวเวลานอนเสมอ หรือถ้าจะใช้ผ้าห่มให้เลือกผ้าบาง ๆ ที่เหมาะกับอากาศค่ะ
สร้างบรรยากาศให้น่านอน การจัดบรรยากาศที่น่านอน จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น โดยก่อนนอนให้สัมผัส โอบกอด ลูบหลังลูกอย่างแผ่วเบาเห่กล่อม ร้องเพลงกล่อมเด็ก ตบก้นเบา ๆ หรือพูดคุยด้วย น้ำเสียงที่อ่อนโยน เพื่อให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลายเกิดความรู้สึกไว้วางใจ ส่งผลให้นอนหลับได้ดี นอกจากนี้คุณแม่อย่าให้ลูกนอนกลางวันมากเกินไป เพราะจะทำให้ไม่รู้สึกง่วงตอนกลางคืนได้ค่ะ
ปล่อยให้ลูกหลับต่อด้วยตัวเอง ไม่ปลุกทุกครั้งที่ลูกขยับตัว เพื่อให้ลูกกินนม และอย่าได้ห่วงว่าลูกจะหิว เพราะถ้าหิวลูกก็จะตื่นขึ้นมาร้องกินนมเองค่ะ ดังนั้นเมื่อลูกขยับตัว คุณแม่เพียงเฝ้าสังเกต และปล่อยให้ลูกหลับต่อด้วยตัวเอง แต่ถ้าลูกตื่นแล้วร้องกลางดึก อาจเป็นเพราะลูกกลัวความมืด ควรเข้าไปปลอบโยนให้ลูกอบอุ่นใจหายหวาดกลัวนะคะ
เลือกเครื่องนอนที่นอนสบาย ลูกต้องการที่นอนที่อบอุ่นปลอดภัย ขนาดเหมาะสม นอนสบาย อย่าใช้ที่นอนเก่าที่มักเสียรูปทรง เพราะกระดูกในช่วงแรกเกิดยังอ่อนอยู่ และพร้อมที่จะโค้งงอได้ ลูกจึงต้องการที่รองรับกระดูกที่มีรูปทรงที่ดี ไม่โค้งบุ๋มลงไป เมื่อนอนไปนาน ๆ อาจมีผลกับโครงสร้างกระดูก ทำให้รูปร่างที่กำลังเติบโตเสียไปได้ เพราะเด็กจะเติบโตได้มากที่สุดขณะนอนหลับค่ะ
จัดท่านอนที่ปลอดภัย เมื่อลูกยังอยู่ในช่วงวัยเบบี๋ คุณแม่ควรจัดท่านอนให้ลูกนอนหงายจะเป็นการปลอดภัยที่สุด เพราะช่วงนี้คอของลูกยังอ่อนอยู่ ถ้าให้ลูกนอนคว่ำเพราะต้องการให้ศีรษะทุยสวย จะทำให้ลูกได้รับอันตรายจากที่นอนปิดทับจมูกจนไม่สามารถหายใจได้ ดังนั้นคุณแม่ต้องคอยระวัง ไม่ให้ลูกนอนคว่ำ ไว้พอลูกโตเข้าสู่วัยเด็กเล็ก ซึ่งคอแข็งดีแล้วก็ค่อยให้ลูกนอนคว่ำเป็นระยะ ๆ โดยมีคุณแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ด้วยนะคะ
ขอขอบคุณ ที่มา : Mother&Care ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
อาการปกติของเด็กแรกเกิดถึงเจ็ดวัน
เด็กแรกเกิดถึงเจ็ดวันนั้นจะมีอาการแปลกๆ ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่อาจจะไม่เคยเห็น จนบางครั้งอาจจะตกใจว่าเป็นเรื่องผิดปกติหรือเปล่า วันนี้เราเลยมาไขข้อข้องใจกันค่ะ
ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์หรือเรียกอีกอย่างว่าปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เป็นพัฒนาการสำคัญของทารกแรกเกิดที่จะตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าโดยอัตโนมัติ ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นบ่อยในช่วงเดือนแรกของทารก และหลังจากนั้นก็จะค่อยๆ หายไป ปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่คุณพ่อคุณแม่สามารถตรวจสอบได้เองมีดังนี้
รูปร่างทารกแรกเกิด
การมองเห็น การมองเห็นเป็นพัฒนาการที่ทารกเพิ่งได้เรียนรู้เมื่อออกมาจากครรภ์มารดา ดังนั้นคุณแม่จะเห็นว่าลูกจะหน้านิ่วคิ้วขมวดและเพ่งไปยังจุดที่เขาสนใจในระยะประมาณ 8-12 นิ้ว ทั้งนี้ ทารกจะสามรถมองเห็นได้อย่างเลือนลางและมองในลักษณะเลื่อนลอยบ้างในบางครั้ง ที่สำคัญดวงตาของทารกจะมีความไวต่อแสงมาก ดังนั้นอย่าพาลูกเดินไปในห้องที่มีแสงจ้า หรือออกกลางแดดแบบฉับพลัน เพราะเขาจะหลับตาปี่เพื่อปกป้องดวงตาของตัวเองทันที
ทารกจะชอบมองสิ่งที่เป็นเหลี่ยมมุมมากกว่าสิ่งของที่เป็นทรงกลม และชอบลวดลายที่มีสีสันตัดกันมากกว่าสีพื้นเรียบๆ อีกสิ่งหนึ่งที่ทารกชอบมอง คือ ใบหน้าของคน เพราะมีลักษณะสีหน้าที่แสดงอารมณ์ และมีจุดโฟกัสที่ดวงตา ลูกจะเรียนรู้ได้ว่าเขาควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร อย่างเช่น คุณแม่ยิ้มให้ ลูกก็จะเรียนรู้ที่จะยิ้มตาม
พัฒนาการเด็ก
การได้ยิน ทารกจะมีพัฒนาการด้านการได้ยินขึ้นทันทีตั้งแต่ออกจากท้องแม่ โดยทารกจะมีปฏิกิริยาเมื่อมีเสียงแปลกๆ เข้ามากระทบ อย่างเช่น สะดุ้งตกใจ กะพริบตาถี่ๆ หรือกลับกันถ้าเป็นเสียงเห่กล่อม ลูกจะนอนง่ายขึ้น ร้องไห้โยเยน้อยลง อย่างไรก็ตามทารกชอบได้ยินเสียงที่ทอดยาวประมาณ 10 วินาที และไม่ชอบเสียงสั้นๆ แบบหยุดๆ หายๆ ราว 1 ? 2 วินาที และชอบเสียงสูงมากกว่าเสียงต่ำ อีกทั้งสามารถแยกแยะเสียงของคุณแม่จากเสียงอื่นๆ ได้แล้วด้วย
การสัมผัส ทารกแรกเกิดมีความไวต่อประสาทสัมผัสทางกาย โดยเฉพาะอ้อมกอดและการสัมผัสของแม่ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ทารกรับรู้ประสาทสัมผัสต่างๆ มากขึ้น นอกจากนั้นทารกยังรับรู้ได้อีกว่าคุณแม่กำลังอยู่ในอารมณ์ใด แต่หากทารกน้อยยังต้องอยู่ในตู้อบ ทางการแพทย์ก็แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ลูบเนื้อตัวลูกผ่านถุงมือ เพราะว่าลูกจะรู้สึกถึงการสัมผัสได้เช่นกัน
การได้กลิ่น ประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นเป็นพัฒนาการสำคัญ ที่จะช่วยให้ทารกน้อยปรับตัวกับโลกภายนอก หลังจากอุดอู้ในครรภ์คุณแม่มานาน ทารกแรกเกิดจะสามารถแยกความแตกต่างของกลิ่นสองกลิ่นได้ และสามารถแสดงออกว่าไม่ชอบกลิ่นเหม็นๆ ได้เช่นกัน ซึ่งหากไม่ชอบก็จะหันหัวหนี สะดุ้ง และดิ้นรนจนร้องไห้ออกมาในที่สุด ส่วนกลิ่นที่ชอบที่สุดจะเป็นกลิ่นของแม่ เพราะรู้สึกปลอดภัยและรับรู้ถึงความอบอุ่น ดังนั้นเมื่อลูกร้องไห้โยเยและคุณแม่เข้ามาอุ้ม ลูกก็จะรู้สึกอุ่นใจและสงบลงได้
ขาโก่ง คุณพ่อคุณแม่บางคนกังวลว่าทารกแรกเกิดที่คลอดออกมาแล้วขาโก่งจะผิดปกติหรือไม่ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมชาติที่ขาของลูกน้อยจะโก่งเล็กน้อยโดยเฉพาะขาด้านล่าง แต่ไม่ต้องกังวลเพราะขาของลูกจะค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นเรื่อยๆ สามารถยืดยาวตรงได้ในภายหลัง
การกิน นมแม่เป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด ซึ่งนมแม่หลังคลอดจะมีลักษณะเป็นน้ำนมเหลืองที่เรียกว่า โคลอสตรัม (Colostrum) ที่ถือเป็นหัวอาหารชั้นยอดของทารก ซึ่งน้ำนมเหลืองจะให้ทั้งพลังงาน โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ พร้อมทั้งภูมิคุ้มกันธรรมชาติแก่ทารกด้วย ที่สำคัญคุณแม่ควรให้ลูกดูดนมข้างละประมาณ 15 นาที เพื่อกระตุ้นน้ำนมด้วย
ช่วงแรกลูกจะร้องกินนมไม่ค่อยเป็นเวลา เป็นหน้าที่ของคุณแม่ที่จะต้องค่อยๆ จัดตารางเวลาให้ลูกกินนมในช่วงกลางวัน เพราะนอกจากจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้พักผ่อน ลูกก็จะมีระบบการย่อยที่ดีและท้องไม่อืด
การขับถ่าย หากลูกกินนมแม่จะถ่ายอุจจาระบ่อย บางคนถ่ายทุกครั้งหลังดูดนม ซึ่งในทารกแรกเกิดจะมีอุจจาระที่ดำๆ เขียวๆ ที่เรียกว่า "ขี้เทา" มีลักษณะนุ่มเหนียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ของทารกจากเมื่อตอนที่ยังอยู่ในท้องแม่ และจะถูกขับออกมาตามกระบวนการขับถ่าย และต่อไปอุจจาระของลูกก็จะกลายเป็นสีเหลืองเอง ทั้งนี้ หากสังเกตว่าลูกยังไม่อุจจาระภายใน 24 ชั่วโมงแล้ว ให้รีบปรึกษาแพทย์เพราะลูกอาจจะเกิดลำไส้อุดตันได้
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร momypedia ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
รับมืออาการคันเหงือกของลูกน้อย
ลูกน้อยในวัย 5-6 เดือนมักจะมีฟันซี่แรกขึ้นแล้ว จึงทำให้ลูกน้อยมีอาการคันเหงือก ชอบกัดนู่นกัดนี่ อีกทั้งยังงอแงบ่อย น้ำลายก็เยอะแถมยังชอบดูดนิ้วอีก คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจกับลูกน้อยในช่วงนี้เป็นพิเศษนะคะ
อย่าทำแบบนี้นะ
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารรักลูก ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
เทคนิคเด็ดพัฒนาสมองลูกแรกเกิด
สมองของลูกสามารถพัฒนาได้ตั้งแต่แรกเกิดนะคะ หากคุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญก็จะช่วยให้สมองของลูกพัฒนาได้ดีขึ้น โดยพัฒนาผ่านกิจกรรมที่ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การได้ยิน การมองเห็น การลิ้มรส การได้กลิ่นและการเคลื่อนไหว
Sensory คือระบบประสาทความรู้สึกของมนุษย์ ที่พัฒนาได้จากการรับรู้สิ่งเร้าภายนอก เช่น การหยิบจับสิ่งของที่มีพื้นผิวต่างกัน หรือการดมกลิ่นต่างๆ ฯลฯ พฤติกรรมของเด็กๆ เหล่านี้จะทำให้สมองมีความคิดความจำ เซลล์ประสาทและใยประสาทจะเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง จึงพัฒนาสมองได้รวดเร็วขึ้น
สิ่งที่สำคัญและควรได้รับการพัฒนามากในอันดับต้นๆ ของเด็ก คงหนีไม่พ้นอวัยวะหลักอย่างสมองแน่ๆ เนื่องจากสมองเปรียบเหมือนเครื่องประมวลความคิด มีการเรียนรู้และสะสมความรู้ที่เติบโตพร้อมร่างกาย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะได้มีกระบวนการคิดแก้ปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์ และสติปัญญาเพื่ออยู่รอดในสังคม
การพัฒนาสมองไม่จำเป็นจะต้องเริ่มเมื่อ ถึงวัยเรียนเสมอไป พ่อแม่ควรเริ่มตั้งแต่วัยเบบี้ต่อเนื่องขึ้นไปด้วยวิธีการอันแสนแยบยล โดยมีกุญแจสำคัญ 2 ดอก คือ 1. พัฒนาลูกด้วยความสนุก และ 2. พัฒนาให้ถูกประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การได้ยิน การมองเห็น การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัสเคลื่อนไหว
การพัฒนาสมองของลูกนั้นจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่แรกเกิดก็จริงอยู่นะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรบังคับลูกให้มาก ควรค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพื่อสุขภาพจิตที่ดีของลูกน้อยด้วยค่ะ
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Momypedia ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
เตรียมพื้นที่สำหรับลูกน้อยวัยคลานกันเถอะ
หลัง 6 เดือนแรกผ่าน ช่วงเวลาแห่งความเหนื่อยของพ่อแม่ก็กำลังเริ่มต้นเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มคืบคลานได้ คุณก็เริ่มนั่งไม่ติดที่ และต้องทึ่งกับพลังมหาศาลของมือน้อยๆและข้อเข่าอวบๆ ที่เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว คลานไปได้ทุกที่ทั่วบ้าน
การจัดพื้นที่ปลอดภัยในบ้านเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดแก่ลูกน้อยวัยตะลุยคลานเป็นสิ่งที่คุณทำได้ มาดูกันว่าคุณทำอะไรได้บ้างเพื่อความปลอดภัยของลูก
จัดได้เลย พื้นที่สีแดง ภายในบ้านมีจุดอันตรายสำหรับเด็กที่เราสามารถป้องกันไว้ก่อนได้ ได้แก่ ทางขึ้นลงบันได้ ป้องกันโดยติดที่กั้นหน้าบันได, ปลั๊กไฟและเต้าเสียบ ป้องกันโดยหาตัวปิด,ประตู หน้าต่าง หรือตู้ที่ลูกสามารถเอื้อมถึงเปิดเองได้ควรหาที่ล็อคประตูมาใช้เหลี่ยมมุมและขอบโต๊ะที่พอดีกับความสูงของลูกควรหายางกันกระแทกมาครอบ, ผ้าปูโต๊ะที่ชายยาวอยู่ในระยะลูกเอื้อมหรือคว้าดึงได้ ควรเก็บชายให้เรียบร้อย
ของใหญ่ต้องมั่นคง เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่ล้มคว่ำได้หากมีการเหนี่ยว (เมื่อลูกถึงวัยเกาะยืนหรือหัดเดิน) เช่น ชั้นหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้ง ชั้นวางโทรทัศน์ ควรทำการยึดติดกับผนังห้องหรือย้ายไปบริเวณที่ไกลจากพื้นที่เล่นของลูกส่วนสายไฟหรือสายเครื่องใช้ไฟฟ้าควรม้วนเก็บให้พ้นสายตาเบบี๋หรือหาตลับใส่สายไฟมาใช้ หรือจะหาท่อร้อยสายไฟมารวบเก็บสายไฟเข้าไว้ด้วยกัน ป้องกันนักคลานตัวน้อยเอามาพันนิ้วพันคอเล่นเฟอร์นิเจอร์อื่นที่แตกหักหรือล้มง่าย อยู่ในจุดที่ล่อตาล่อใจนักคลานและเป็นอันตรายควรย้ายที่
นี่ละอาณาจักรของลูก จัดมุมหรือพื้นที่เล็กๆ ให้เป็นของลูกโดยเฉพาะ จะปูพื้นยางหรือใช้ของเล่นของลูกบอกเขตก็แล้วแต่คุณจะจัดสรรค่ะ แม้จะห้ามเบบี๋คลานไปทั่วบ้านไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีส่วนที่ลูกเรียนรู้ได้ว่าตรงไหนที่ปลอดภัยกับเขาที่สุด (ซึ่งสำหรับลูกน้อย คงเป็นที่ที่ได้ยินเสียงห้ามน้อยที่สุด) และจะเล่นจะทำอะไรก็ได้ตรงนี้
หูตาไวตลอดเวลา แม้จะจัดพื้นที่ให้ปลอดภัยเพียงใด แต่ก็ไม่มีอะไรดีเกินไปกว่าการให้ลูกอยู่ในสายตาตลอดเวลา แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวสักชั่วครู่ ก็ควรอุ้มเขาลงเตียง หรือพาไปนั่งบริเวณพื้นที่เล่นเสียก่อน และให้ลูกอยู่ห่างจากสัตว์เลี้ยงด้วย
สอนลูกเสมอว่าอะไรควรเล่นหรือไม่ควรเล่น มีข้อจำกัดอะไร อย่างไรบ้าง เช่น "นี่ของของแม่ ทาแล้วร้อนเล่นไม่ได้นะจ๊ะ อันนี้ของลูก เล่นได้จ้ะ" ที่สำคัญควรใช้คำเตือนบ้าง เช่น "อุ๊ย" "ร้อน" หรือ "อันตราย"เพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้รู้จักการป้องกันตนเองไว้บ้าง
ขอขอบคุณ ที่มา : Real Parenting ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
เรื่องของเด็กแรกเกิด ที่คุณยังไม่รู้
คุณแม่หลายๆ ท่านที่คลอดน้องใหม่ๆ คงเคยมีเรื่องที่สงสัยและสับสนเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างของลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่พบเห็น แต่วันนี้เรามาคลายข้อข้องใจกันดีกว่าค่ะ
คราวนี้ก็คงหายข้องใจกันแล้วกับอาการต่างๆ ของเด็กแรกเกิด...ลองนำไปศึกษากันให้ละเอียดดูนะคะ เพื่อความสบายใจของคุณพ่อคุณแม่เอง...
ขอขอบคุณ ที่มา : Woman Story ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on