รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

รักษาโรคแบบนี้ก็มีด้วย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะสาวๆ ขา ว่าบนโลกใบโตของเรานี้นอกจากมีโรคภัยไข้เจ็บแปลกๆ ระบาดไปทั่วแล้วก็ยังมีวิธีรักษาโรคแบบแปลกๆ อยู่ด้วย จะแปลกแค่ไหนเราจะพาไปดูกันค่า พร้อมแล้วตามมาเลย!!

ไฟรักษาไข้ ไฟที่เรากำลังจะพูดถึงคือไฟร้อนๆ นี่แหละค่ะ ใครจะไปเชื่อคะว่าไฟร้อนๆ จะใช้รักษาโรคได้ ซึ่งการรักษาด้วยไฟนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลท้องถิ่นในมณฑล Zhejiang ประเทศจีน โดยแพทย์ผู้รักษานั้นจะจุดไฟบนผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่วางอยู่บนร่างกายของคนไข้ ซึ่งเค้าเชื่อกันค่ะว่าการรักษาด้วยไฟแบบนี้ช่วยป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดได้อย่างดีเลยล่ะค่า ว้าว! แค่เห็นภาพก็ร้อนแทนแล้วจ้า

ฝังในมูลสัตว์ อาจจะดูฟังอี๋ๆ ไปบ้าง แต่ขอบอกว่าเรื่องนี้มีอยู่จริงที่อินเดียค่ะ เชื่อกันว่าเป็นการรักษาโรคอัมพาต โดยจะนำเด็กไปฝังไว้ในมูลสัตว์เป็นเวลานานกว่า 6 ชั่วโมง และต้องทำในวันที่เกิดสุริยะคราสเท่านั้นนะนายจ๋า!

ปลิงดูดโรค ว้าว! ปลิงที่ว่านี้ก็คือปลิงตัวเป็นๆ นี่แหละค่ะ ซึ่งมีความเชื่อง่ายๆ ตรงๆ ว่าเมื่อเราเป็นไข้ หน้าและตัวเราจะแดง แสดงว่าเลือดในตัวนั้นไม่สมดุล ที่ตัวเราแดงนั้นเป็นเพราะมีเลือดมากเกินไป ต้องเอาเจ้าปลิงมาดูดๆๆ เลือดออกให้สมดุลค่ะ ไม่อยากจะคิดจริงๆ ว่าถ้าเจ้าปลิงนี่ดูดเลือดออกมามากเกินไปแล้วจะเอาเลือดคืนเข้าไปยังไงน้า??

พิษของผึ้ง อาวุธประจำตัวของสัตว์ตัวจิ๋วสุดอันตรายอย่างเหล็กในของผึ้งก็สามารถนำมารักษาโรคได้นะคะ ในมณฑล Shaanxi ทางตะวันตกของจีน เค้าใช้พิษจากเหล็กในของผึ้งรักษาโรคข้ออักเสบ (Arthritis) และโรคเยื่อจมูกอักเสบ (Rhinitis) แต่เจ๊ว่าถ้าคนไข้แพ้เหล็กในผึ้งคงจะรักษาด้วยวิธีนี้ไม่ได้แน่ๆ เลยจ้า

กินกบเป็นๆ เหตุเกิดที่มณฑล Jiangxi ประเทศจีน เมื่อมีความเชื่อเรื่องการกินกบเป็นๆ ในการรักษาอาการปวดท้องและไอ โดยกบที่กินเข้าไปนั้นก็เป็นกบเป็นๆ เลยล่ะค่า แล้วแบบนี้กบทอดหรือผัดเผ็ดกบที่บ้านเรานิยมกินกันจะใช้รักษาโรคได้มั้ยน้า

เต่าเทอราพิน เต่าที่เชื่อว่าสามารถนำมาบำบัดรักษาโรคได้นี้คือเต่าเทอราพิน (Terrapin) โดยเชื่อกันว่า การสัมผัสของเต่าสามารถรักษาอาการโรคปวดข้อ หรืออาการปวดเมื่อยต่างๆ ได้ด้วย การรักษาดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองๆ หนึ่งห่างจากกรุงพนมเปญออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร โอ้โห! ช่างเป็นเต่าที่มหัศจรรย์จริงๆ เลยค่า

โคลนบำบัด ด้วยความเชื่อที่ว่าในโคลนนั้นมีแร่ธาตุปนอยู่มาก และล้วนแล้วแต่เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถบรรเทาอาการปวดจากโรคไขข้ออักเสบ และการบาดเจ็บสมองจากการกระแทกได้ด้วยค่ะ แต่เจ๊ว่าถ้าจะใช้โคลนรักษานี้ควรเป็นโคลนจากแหล่งที่สะอาดๆ หน่อยก็น่าจะปลอดภัยกว่านะคะสาวๆ

กรี๊ด!! เห็นวิธีรักษาแต่ละอันแล้วเพลียมากค่ะ แบบนี้เลือกไม่ถูกจริงๆ ว่าจะยอมรักษาแบบนี้ หรือยอมป่วยต่อไปดี เห็นแบบนี้แล้วเราก็ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีนะคะ เพราะยังไงๆ แล้วความไม่มีโรคก็คือลาภอันประเสริฐสุดแล้วจริงๆ ค่า!

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานพระอาทิตย์ 10 ดวง

ในช่วงที่อากาศร้อนแสนร้อนแบบนี้ หลายคนมาบ่นๆ ว่าอยากจะยิงพระอาทิตย์ทิ้งไปเลยจะได้หายร้อนซะที ทำให้เจ๊นึกถึงตำนานเรื่องนึงของจีนเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ค่ะ เจ๊จึงขอใช้หน้านี้ในการเล่าเรื่องตำนานพระอาทิตย์ 10 ดวง ให้ทุกคนได้ฟังกันคลายร้อนเบาๆ นะคะ

นิทานโฮวอี้ยิงพระอาทิตย์ ย้อนเวลาไปเมื่อสมัยยุคดึกดำบรรพ์ บนท้องฟ้าของเรานั้นมีพระอาทิตย์อยู่ 10 ดวงค่ะ และแสงจากดวงอาทิตย์นั้นช่างร้อนแรงเหลือเกิน ต่างเผาแผ่นดินจนแห้งแล้ง พืชพันธุ์ธัญญาหารก็เหี่ยวเฉาจนหมด มนุษย์ที่อยู่บนโลกก็ร้อนจนหายใจไม่ออก ต่างสลบไสลล้มลงไปเนื่องจากอากาศนั้นร้อนเกินจะทน และสัตว์ร้ายต่างๆ ก็ยังพากันออกมาจากป่าและแหล่งน้ำที่แห้งขอดเพื่อมาทำร้ายมนุษย์และจับกินเป็นอาหารด้วยค่ะ

เรื่องราวทุกข์ร้อนของมนุษย์นั้นได้ไปถึงหูของจักรพรรดิแห่งสวรรค์ พระองค์ก็สั่งให้เทพแห่งธนูนามว่าโฮวอี้ ให้มาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์เหล่านี้ โฮวอี้ได้นำคันธนูสีแดงที่จักรพรรดิได้ประทานให้และลูกธนูสีขาวอีกถุงหนึ่งไปด้วย โดยมาฉางเอ๋อภรรยาที่รักได้จุติติดตามไปยังโลกมนุษย์ด้วย

เมื่อมาถึงโลกมนุษย์แล้ว ในตอนแรกโฮวอี้ได้เจรจาและเกลี้ยกล่อมให้พระอาทิตย์ทั้ง 10 ดวงผลัดเปลี่ยนกันหมุนเวียนโคจรรอบโลกวันละดวง เพื่อจะได้ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างแก่มนุษย์อย่างพอเหมาะ และจะไม่ทำให้โลกร้อนเกินไปจนต้องเดือดร้อนถึงเพียงนี้ แต่พระอาทิตย์ทั้งหลายต่างไม่ยอมเชื่อฟังคำขอของโฮวอี้ ทำให้โฮวอี้โมโหและตัดสินใจใช้คันธนูสีแดงและลูกธนูสีขาวยิงพระอาทิตย์ที่หยิ่งจองหองและไม่ฟังคำขอร้องของเค้าให้ตกลงมา และหลังจากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ทั้ง 10 ดวงก็ถูกยิงตกลงมาถึง 9 ดวง ทำให้เหลือพระอาทิตย์เพียงแค่ดวงเดียว ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มนุษย์นั้นสงบสุข ร่มเย็น และยังได้ใช้ประโยชน์จากแสงสว่างและความอบอุ่นของพระอาทิตย์อย่างพอเหมาะอีกด้วย มนุษย์ทั้งหลายต่างกล่าวชื่นชมและขอบคุณโฮวอี้ในการช่วยเหลือครั้งนี้อีกด้วย

ความสำเร็จของโฮวอี้ครั้งนี้แม้ว่าจะมีมนุษย์ชื่นชมอย่างมากมาย แต่กลับทำให้เทพยดาอื่นๆ อิจฉาเค้า และต่างพากันทูลใส่ร้ายโฮวอี้แก่จักรพรรดิ จนทำให้จักรพรรดินั้นห่างเหินและไม่ไว้ใจโฮวอี้ จนในที่สุดจักรพรรดิก็ตัดสินใจลดขั้นตำแหน่งของโฮวอี้และฉางเอ๋อให้ทั้งสองคนอยู่แต่ในโลกมนุษย์ ไม่ให้พวกเขาสามารถกลับขึ้นสวรรค์ได้อีก ทั้งสองคนจึงต้องกล้ำกลืนฝืนอยู่บนโลกมนุษย์อย่างแร้นแค้นกันต่อไป

เมื่อวันเวลาผ่านไประยะนึงโฮวอี้เริ่มเกิดความไม่สบายใจที่ทำให้ภรรยาต้องเดือดร้อนไปด้วย เขาจึงเดินทางไปหาซีหวาง พระแม่เจ้าที่อยู่ทางแถบตะวันตกในภูเขาคุนหลุน ซึ่งมียาวิเศษที่กินแล้วสามารถเดินทางขึ้นสู่สวรรค์ได้ โฮวอี้พยายามทุกอย่างทั้งบุกน้ำลุยไฟเพื่อไปขอยาวิเศษนั้นให้ได้ แต่น่าเสียดายเมื่อโฮวอี้มาถึงกลับต้องพบว่ายาวิเศษนั้นมีเพียงพอสำหรับกินได้คนเดียว โฮวอี้ผู้รักมั่นในภรรยาไม่ยอมกินยานั้นเพื่อทิ้งภรรยากลับขึ้นไปบนสวรรค์คนเดียวเด็ดขาด แต่ก็ไม่ยอมให้ภรรยาได้กลับขึ้นไปบนสวรรค์และทิ้งตนให้อยู่อย่างเดียวดาย เขาจึงขอนำยาวิเศษนั้นซ่อนไว้ที่บ้าน

ทางด้านนางฉางเอ๋อนั้นไม่เคยชินกับความยากลำบาก นางพยายามหายาวิเศษที่สามีซ่อนไว้จนพบและกินมันในขณะที่โฮวอี้ไม่อยู่บ้านหลังจากที่กินยาแล้วนางก็รู้สึกว่าร่างกายนั้นเบาลงและค่อยๆ ลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและไปพำนักลงที่บนดวงจันทร์ หลังจากที่โฮวอี้กลับมาและพบว่าภรรยาของตนได้หนีไปแล้วโดยกินยาวิเศษนั้นเข้าไปก็รู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ยอมยิงธนูขึ้นฟ้าเพื่อทำร้ายภรรยา ได้แต่กล่าวคำอำลาแก่ฉางเอ๋อและใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์อย่างรันทดต่อไป

เมื่อเหลือโฮวอี้อยู่เพียงผู้เดียวบนโลกมนุษย์นี้ เค้าได้อาศัยการล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพต่อไป และได้รับสมัครลูกศิษย์มามากมายเพื่อถ่ายทอดวิชาการยิงธนู ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของเขา มีคนหนึ่งนามว่าเผิงหมง เผิงหมงเป็นคนที่ฉลาดและก้าวหน้าในเรื่องการยิงธนูมาก เรียนรู้เพียงไม่นานก็สามารถยิงได้คล่อง แต่เผิงหมงกลับคิดว่าเขาจะไม่มีวันได้เป็นนักยิงธนูอันดับหนึ่งของโลกแน่นอน หากยังมีโฮวอี้อยู่บนโลกใบนี้ เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่โฮวอี้เมาเหล้า ใช้ธนูยิงเข้าด้านหลังจนโฮวอี้สิ้นใจในที่สุด

กลับไปทางด้านนางฉางเอ๋อที่ละทิ้งสามีมาอยู่บนดวงจันทร์ ณ ที่แห่งนั้นมีเพียงกระต่ายน้อยที่ตำยาและผู้เฒ่าตัดฟืนเท่านั้น ทำให้ชีวิตของนางเหงาหงอยเศร้าสร้อยยิ่งนัก นางฟ้าคิดถึงวันเวลาดีๆ ที่นางมีกับสามีเรื่อยมา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้จึงต้องอยู่อย่างโศกเศร้าบนดวงจันทร์นั้นตลอดไป

แม้ว่าตำนานเรื่องนี้จะจบลงอย่างแสนเศร้า แต่พอย้อนนึกถึงความร้อนของดวงอาทิตย์ทั้ง 10 ดวง เจ้ก็เพลียทันทีเลยค่ะ เพราะนี่ขนาดตอนนี้โลกเราเหลือพระอาทิตย์อยู่แค่ดวงเดียวยังร้อนกันขนาดนี้ เจ้ไม่อยากจะคิดภาพเลยว่าถ้ามีพระอาทิตย์ 10 ดวงขึ้นมาจริงๆ เราจะร้อนกันขนาดไหนคะเนี่ย

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

รักที่บอกไม่ได้ของนางไม้เอ็คโค (Echo)

รักที่เจ็บปวดที่สุดบางครั้งอาจจะไม่ใช่ความรักที่ถูกทอดทิ้งเสมอไป แต่เป็นความรักที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้มากกว่านะคะ เพราะความรักนั้นจะเพิ่มมากขึ้นทุกทีแต่ไม่มีทางที่จะระบายออก และคนที่เรารักไม่มีวันได้รับรู้ แค่คิดก็เจ็บจี๊ดไปทั้งหัวใจแล้วค่ะ วันนี้เจ๊มีตำนานเรื่องราวความรักที่บอกไม่ได้มาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับนางไม้ช่างเจรจานามว่า "นางไม้เอ็คโค" ความรักที่บอกไม่ได้จะเจ็บปวดแค่ไหน ตามเจ๊มาค่ะเจ๊จะเล่าให้ฟัง

คำว่า ?Echo' เป็นคำที่เป็นชื่อนางอัปสรแห่งเทือกเขาเฮลิคอน (Helicon) ที่ชื่อว่า ?นางไม้เอ็คโค' เป็นนางบริวารของเทวีอาร์เตมิส (Artemis) หรือเรียกตามภาษาโรมันว่า (Diana) ซึ่งเป็นเทวีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ และยังเป็นนางอัปสรแห่งเทวีเฮรา (Hera) มเหสีเอกของมหาเทพซีอุส (Zeus) ด้วย

นางอัปสรเอ็คโคเป็นผู้ที่มหาเทพซีอุสให้ความไว้วางใจมาก เพราะเป็นผู้ที่รู้ความลับของมหาเทพว่าแอบไปมีความสัมพันธ์กับนางอัปสรจำนวนไม่น้อย นางอัปสรเอ็คโคมีข้อเสียอยู่ประการหนึ่งคือช่างพูด พูดเสียจนคนฟังเบื่อหรือหงุดหงิด ซึ่งในที่สุดก็ก่อให้เกิดผลร้ายแก่ตนเอง คือถูกสาปให้พูดเองไม่ได้ ต้องคอยพูดทวนเสียงคนอื่นเท่านั้น

สาเหตุที่ถูกสาปมีที่มาคือ วันหนึ่งเทวีเฮราเห็นมหาเทพซีอุสซึ่งเป็นสวามีหายไป สงสัยจะแอบไปมีสัมพันธ์กับนางอัปสรบางคน จึงเสด็จลงมาตามหาและก็ให้บังเอิญต้องมาพบกับนางอัปสรเอ็คโคซึ่งถูกมหาเทพซีอุสขอร้องให้ชวนเทวีเฮราคุย เพื่อตัวมหาเทพเองจะได้มีเวลาไปมีความสัมพันธ์กับบรรดานางอัปสรที่ต้องใจ นางอัปสรเอ็คโคได้เพ็ดทูลเรื่องต่างๆ มากมายให้เทวีเฮราฟังซึ่งล้วนแล้วแต่ไร้สาระทั้งสิ้น จนทำให้พระนางเสียเวลาไปมากและมหาเทพซีอุสไหวตัวทันรีบบอกนางอัปสรที่ตัวเองกำลังสมสู่อยู่ให้หนีไปเสียก่อนที่พระมเหสีจะมาถึง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เทวีเฮรากริ้วมาก จึงสาปนางเอ็คโคว่า "ต่อไปนี้นางจะไม่สามารถพูดจาอะไรขึ้นมาได้ก่อนใคร จะต้องรอพูดทวนความตามที่คนอื่นพูดเท่านั้น

รักที่พูดไม่ได้ วันหนึ่งนางอัปสรเอ็คโคไปแอบคลั่งไคล้หลงใหลชายหนุ่มรูปงามนามว่า ?นาร์ซิสซัส' (Narcissus) ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่ไม่เคยรักใครเฝ้าแต่รักตัวเอง นางอัปสรเอ็คโคแม้จะมีความรักคับอกเพียงใดก็ไม่สามารถเอ่ยปากบอกคนที่ตัวเองรักได้เพราะถูกสาปอย่างที่กล่าวถึงข้างต้น ที่พอจะทำได้คือคอยเฝ้าติดตามนาร์ซิสซัสไปตามที่ต่างๆ นาร์ซิสซัสคงจะรู้สึกรำคาญที่ถูกตาม และไม่ว่านาร์ซิสซัสจะพูดอะไรออกไป นางอัปสรเอ็คโคก็จะพูดทวนคำที่นาร์ซิสซัสพูด จนทำให้นาร์ซิสซัสโกรธเพราะคิดว่า
ถูกล้อเลียน

ไม่ว่านางอัปสรเอ็คโคจะเฝ้าวิงวอนของความรักจากนาร์ซิสซัสอย่างไร นาร์ซิสซัสก็ไม่เคยให้ความสนใจกับนางเลย จนในที่สุดนางก็โศกเศร้าหงอยเหงาค่อยซูบซีดลงจนเสียชีวิตในที่สุด เหลือไว้แต่เพียงเสียงที่สิงสู่อยู่ตามที่ต่างๆ ในเทือกเขาและป่าดงพงไพร เพื่อคอยสะท้อนคำพูดสุดท้ายของใครก็ตามที่ส่งเสียงตะโกนก้องในป่า

ในปัจจุบันนี้คำว่าเสียง Echo ที่เราใช้กันอยู่บ่อยๆ ก็มีที่มาจากชื่อของนางไม้เอ็คโคผู้น่าสงสารนี่เองล่ะค่ะ แม้ความรักที่บอกไม่ได้มันจะทำเราเจ็บปวดแค่ไหนเราก็ต้องทำใจและเข้มแข็งให้ได้ เพราะยังไงไม่ว่าจะรักคนอื่นมากแค่ไหน เราก็ต้องไม่ลืมที่จะรักตัวเองด้วยค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนาน Hyacinths ดอกไม้แห่งรักที่ยิ่งใหญ่และหยาดน้ำตา

ในตำนานกรีกโบราณ มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องนึงค่ะเกี่ยวกับความรักที่เกิดขึ้นกับเพศเดียวกัน อันเป็นที่มาของดอกไม้สีสวยชื่อว่า 'Hyacinths' โดยขอบอกเบาๆ ว่ารักร่วมเพศเรื่องนี้แอบดราม่าเล็กๆ ค่ะคุณขา ถ้าพร้อมแล้วเจ๊จะเล่าให้ฟังว่าตำนานรักร่วมเพศครั้งนี้นั้นทั้งเศร้าและเคล้าน้ำตาขนาดไปน

เรื่องนี้เป็นเรื่องของเทพอพอลโล หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ ที่เคยถูกลงโทษจากเทพเจ้าซุสผู้เป็นพ่อให้ลงมาทำงานบนโลกของมนุษย์ และในระหว่างที่เค้าอยู่บนโลกมนุษย์ก็ได้พบกับไฮยาซินทัส เจ้าชายแห่งเมืองสปาร์ต้า ในช่วงแรกพวกเค้าทั้งสองคนก็คบกันเป็นเพื่อนธรรมดาๆ นี่แหละค่ะ แต่สุดท้ายพระสิริโฉมอันงดงามและความน่ารักของไฮยาซินทัสก็ทำให้เทพอพอลโลหลงรักไปโดยไม่ทันรู้ตัว และดูเหมือนว่าไฮยาซินทัสนั้นก็จะมีใจให้กับเทพอพอลโลเช่นกันค่ะและทั้งสองคนนี้ก็เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันตลอดเวลา แทบจะไม่แยกจากกันเลยค่า

แต่ความน่ารักของไฮยาซินทัสก็ได้แผลงฤทธิ์ทำให้เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อเทพประจำลมตะวันตกนามว่าเซฟไฟรัส ซึ่งเป็นเพื่อนของไฮยาซินทัสอีกคนก็ตกหลุมรักไฮยาซินทัสเช่นกันค่ะ แต่ด้วยความรักและภักดีที่ไฮยาซินทัสมีต่อเทพอพอลโล ทำให้ไฮยาซินทัสปฏิเสธความรักของเทพเวฟไฟรัสไปอย่างไม่ไยดี อย่างที่เค้าว่าแหละค่ะ ยิ่งรักแรงก็จะยิ่งเกลียดแรงโดยเฉพาะในตัวเทพเซฟไฟรัสก็ได้แปรเปลี่ยนความรักที่มีอยู่เต็มอกให้กลายมาเป็นความแค้นซะอย่างงั้น เทพเซฟไฟรัสพยายามทำทุกอย่างที่จะทำให้ความรักของเทพอพอลโลและไฮยาซินทัสไม่สมหวังอย่างเดียวกันกับที่ตนต้องผิดหวังจากไฮยาซินทัสค่ะ

วันหนึ่งเทพอพอลโลกับไฮยาซินทัสได้เล่นเกมทอยห่วงเหล็กด้วยกัน และเทพเซฟไฟรัสก็ได้โอกาสที่จะแก้แค้น โดยคิดวางแผนไว้ว่าในเมื่อตนไม่สามารถทำอะไรเทพอพอลโลที่เป็นอมตะได้ ก็จะขอลงโทษคนรักของเทพอพอลโลนั่นก็คือไฮยาซินทัสซะเลยและในระหว่างที่เล่นเกมทอยห่วงเหล็กกันอยู่นั้น เมื่อถึงตาของเทพอพอลโลต้องทอยห่วงเหล็ก เทพเซฟไฟรัสก็ได้ดลบันดาลลมให้เปลี่ยนทิศทาง นำห่วงเหล็กที่เทพอพอลโลทอยไปยังทางไฮยาซินทัส และห่วงเหล็กนั้นก็ได้กระแทกศีรษะของไฮยาซินทัสอย่างแรงทำให้ไฮยาซินทัสสิ้นใจทันที

เทพอพอลโลตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก และเข้าไปโอบกอดเรียกร้องให้คนรักฟื้นคืนกลับมา แต่ทว่าความตายก็ได้พรากไฮยาซินทัสไปจากเทพอพอลโลแล้ว เทพอพอลโลสวมกอดไฮยาซินทัสเอาไว้และน้ำตาของเทพอพอลโลก็หยดรินลงบนเลือดของไฮยาซินทัส เกิดเป็นดอกไม้สีสวยขึ้นมา 1 กอ มีชื่อว่า 'ดอกไฮยาซินทัส' (Hyacinths) ซึ่งว่ากันว่ากลีบดอกไม้นี้เป็นรูปหยดน้ำตาที่เทพอพอลโลหลั่งลงบนเลือดของไฮยาซินทัส และดอกไฮยาซินนี้ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักของเทพอพอลโลและไฮยาซินทัสอีกด้วยค่ะ


ภาพจาก : mon5tua.blogspot.com

จากตำนานแสนเศร้านี้ ทำให้เกิดความหมายต่างๆ ของดอกไฮยาวินแต่ละสีด้วยนะคะ ความหมายที่ว่านั้นได้แก่

  • ดอกไฮยาซินสีฟ้า หมายถึง ความมั่นคงในรัก
  • ดอกไฮยาซินสีม่วง หมายถึง ความเสียใจและการขออภัยจากคนรัก
  • ดอกไฮยาซินสีแดงหรือชมพู หมายถึง การเล่นเกมหรือการแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก
  • ดอกไฮยาซินสีขาว หมายถึง การอธิษฐานต่อเทพเจ้า ความน่ารักและความบริสุทธิ์
  • ดอกไฮยาซินสีเหลือง หมายถึง ความอิจฉาริษยา ดั่งความริษยาของเทพเซฟไฟรัสนั่นเองค่ะ

ไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่าความรักที่ยิ่งใหญ่จะสามารถก่อเกิดเป็นดอกไม้สีสวยได้ขนาดนี้ แถมยังมีความหมายดีๆ อีกด้วยนะคะ ยังไงถ้าสาวๆ หมดไอเดียที่จะมอบดอกไม้เดิมๆ ให้กับคนรัก และเบื่อกับการมอบดอกกุหลาบเหลือเกิน ก็ลองจัดช่อดอกไฮยาซินดูได้นะคะ จะได้ความสวยไปอีกแบบแน่นอน แต่อย่าเผลอไปจัดดอกสีเหลืองเข้าล่ะคะ เดี๋ยวคนรักของคุณก็ได้ต๊กกะใจกันพอดี อิอิ!!

ขอบคุณ ที่มา : Spicy
ภาพจาก : maidokonline

Written by on

Written by on

รัก แม้รู้ว่าผิด ตำนานรักปารีส-เฮเลน แห่งทรอย

ความรักบางครั้งก็ยากที่จะตัดสินว่าใครผิด ใครถูก แต่โดยส่วนมากแล้วเมื่อปัญหารักนั้นเป็นรักสามเส้า คนที่มาทีหลังและมาแย่งคนรักของผู้อื่นไป ที่เรียกกันคุ้นปากว่า "ชู้" มักจะเป็นฝ่ายผิดเสมอ วันนี้เราขอเล่าตำนานความรักที่แม้จะรู้ว่าผิดก็ยังคิดจะรักของ ?ปารีส-เฮเลน' แห่งทรอยค่ะ

ปารีส' คือเจ้าชายแห่งเมืองทรอย ที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลามีคุณสมบัติของผู้ชายในอุดมคติอยู่ครบครัน และวันหนึ่งปารีสได้รับเลือกให้เป็นกรรมการในการตัดสินชี้ขาดว่าเทพธิดาองค์ไหนสวยที่สุดโดยแต่ละองค์ต่างก็ติดสินบนแก่ปารีสกันอย่างเต็มที่ เพื่อหวังจะได้รับเลือกเป็นเทพธิดาที่สวยที่สุด ซึ่งรางวัลที่นำมาติดสินบนแก่ปารีสนั้นมีเพียงอย่างเดียวที่ถูกใจปารีส นั่นคือรางวัลการติดสินบนจาก ?อาโฟรไดตี้'(วีนัส) สินบนที่ว่าคือการสัญญาว่าจะมอบหญิงที่งามที่สุดในโลกซึ่งก็คือ ?เฮเลน' ราชินีแห่งแคว้นสปาร์ต้า ให้เป็นของขวัญ

หลังจากนั้นวีนัสก็ได้นัดหมายให้ปารีสเข้ามาเป็นแขกในวังของ ?แมนเนอเลาส์' สามีของเฮเลน ในช่วงนั้นแมนเนอเลาส์ได้เดินทางไปทำธุระในเมืองกรีก แต่ด้วยความไว้ใจในตัวปารีสและเฮเลน จึงไม่ห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นแน่นอน แต่แล้วสิ่งที่แมนเนอเลาส์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเค้าเดินทางกลับมาจากทำธุระก็พบว่าเฮเลนหนีไปกับปารีส ไม่มีใครบอกได้ว่าเหตุใดเฮเลนจึงเลือกทิ้งแมนเนอเลาส์ไปกับปารีส ทั้งๆ ที่แมนเนอเลาส์รักนางมากที่สุด เหตุผลเดียวที่จะทำให้เฮเลนสลัดรักแมนเนอเลาส์เพื่อไปกับปารีสได้นั้น น่าจะเป็นเพราะความหล่อเหลาและหนุ่มกว่า อีกทั้งยังเป็นถึงเจ้าชายแห่งเมืองทรอย เพียงแค่สิ่งภายนอกเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ความรักระหว่างเฮเลนและแมนเนอเลาส์สิ้นสุดลง

ในเมื่อความรักนี้เป็นความรักที่ทั้งปารีสและเฮเลนเต็มใจให้เกิดขึ้นทั้งๆ ที่รู้ว่าผิด ความรักนี้จึงนำแต่หายนะมาสู่ทั้งสองคน เมืองทรอยและแคว้นทุกแคว้นของกรีกต้องมาสู้รบกัน จนเมืองทรอยที่ยิ่งใหญ่ต้องล่มสลายลงในที่สุดสาเหตุเพียงเพราะความรักของชู้ ความรักที่รู้อยู่เต็มอกว่าผิด

ความรักของปารีสและเฮเลนแสดงให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า อารมณ์เพียงชั่ววูบ ความหลงใหลที่เราตีความไปว่าเป็นความรักอาจจะนำหายนะมาแก่เราได้ ควรรู้จักยับยั้งชั่งใจและมีความรักที่ถูกต้องย่อมมีความสุขมากกว่า

อย่าทำลายความรักของใคร เพียงเพราะคุณคิดว่าอีกคนน่าจะดีกว่า

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

เสริมสร้างความมั่นใจด้วยเพชร เครื่องประดับสุดหรู

ความสวยและความมั่นใจของผู้หญิงไม่ได้มาจากรูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่มาจากเครื่องประดับที่พวกเธอคว้ามาใส่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และเครื่องประดับที่ช่วยเสริมความมั่นใจนั่นก็คือ "เพชร" นั่นเอง

เพชรไม่เพียงสร้างความมั่นใจ แต่ยังบ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะทางสังคมอีกด้วย แค่คุณใส่เพชรเป็นเครื่องประดับ ก็ทำให้คุณเดินเจิดจรัสไปไหนต่อไหนได้แล้วล่ะค่ะ

เพชร (Diamond) เป็นอัญมณีที่ล้ำค่าและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในอดีตผู้ที่จะมีไว้ในครอบครองจะต้องเป็นเศรษฐีหรือเชื้อพระวงศ์เนื่องจากเป็นของที่หายาก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อตั้งแต่อดีตว่าผู้ที่ได้สวมใส่เพชรจะมีอำนาจที่จะป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ และมักจะใช้เป็นเครื่องรางมากกว่าเป็นเครื่องประดับ เพราะฉะนั้นในอดีตจึงเป็นผู้ชายที่สวมใส่เพชรมากกว่าผู้หญิง

เพชรเป็นแร่มีรูปร่างผลึก 8 เหลี่ยมหรือ 12 เหลี่ยม มีความโปร่งใสและกึ่งโปร่งใส มีประกายแวววาว รอยตำหนิมีเหลี่ยมมุมถาวรไม่เปลี่ยนแปลง มีหลายสี ตั้งแต่ไม่มีสีจนกระทั่งถึงสีดำ ที่เรียกว่า Carbonado เพชรที่พบอยู่โดยทั่วไปจะมีสีเหลืองหรือน้ำตาลอ่อน เพชรที่ใสไม่มีสีจะมีราคาสูงที่สุดและเป็นที่นิยม แต่เพชรมีสีนั้นค่อนข้างหายาก เช่น สีชมพู หรือสีน้ำเงิน เช่น Hope Diamond เป็นเพชรที่มีสีฟ้า มีชื่อเสียงมาก และชนิดที่หายากที่สุดคือ Red Diamond

ผู้ที่ทำให้เพชรเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปคือ ?แอ็กเนส โชเวล' เธอได้สวมใส่เพชรเป็นเครื่องประดับไปในงานของราชสำนักฝรั่งเศสเป็นคนแรก ทำให้ผู้คนในงานได้ประจักษ์ถึงประกายอันงดงามของอัญมณีชนิดนี้ และต่อมาเพชรจึงแพร่กระจายไปทั่วโลก เป็นที่นิยมกันอยู่ทุกวันนี้

ตามตำนานในคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่า เพชรเกิดจากชิ้นส่วนกระดูกทั้งหมดของอสูรเวลาที่ร่วงหล่นลงมาบนโลกมนุษย์ เชื่อกันว่าเพชรจะช่วยให้ผู้ที่สวมใส่มีชัยชนะเหนือผู้อื่นเสมอ และเพชรยังมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ใส่ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ประสบแต่โชค นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ส่วนทางด้านการบำบัดรักษา เพชรช่วยป้องกันการอักเสบตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ สำหรับผู้ที่สูญเสียความมั่นใจหรือต้องการความกล้าหาญ เพชรมีพลังช่วยกระตุ้นให้เกิดความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีสติ และยังช่วยชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วย

เห็นแบบนี้แล้วเดี๊ยนก็อยากจะได้แหวนเพชรเม็ดโตๆ สักวงมาสวมใส่จริงๆ ค่ะ ว่าแต่จะมีหนุ่มๆ คนไหนใจดีหามาหมั้นเดี๊ยนบ้างน้า อิอิ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

แม่มดดำราชินีแห่งศาสตร์มืด

ฉบับที่แล้วเจ๊ได้เล่าเรื่องราวของแม่มดขาวให้สาวๆ ทั้งหลายได้ฟังกันไปแบบเต็มอิ่ม วันนี้เจ็เลยขอพื้นที่เล็กๆ เล่าเรื่องตำนานของแม่มดดำกันบ้าง รับรองว่าความลึกลับของแม่มดดำจะสะกดคุณผู้อ่านเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัดเลยล่ะค่ะ

แม่มดดำ แม่มดดำคือพวกที่เคารพบูชาซาตาน และใช้เวทมนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือจากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีทั้งหลายที่ฝึกเวทมนตร์คาถาแนวนี้จัดเป็นแม่มดดำทั้งหมด แม่มดดำมักจะคลุกคลีอยู่กับภูตผีปีศาจที่ชั่วร้ายต่างๆ อย่าง แพน หรือ ลิลิธ-ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำนั้นจะแสวงหาความรู้ในศาสตร์ที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่จะหาความสงบทางจิตใจอย่างแม่มดขาว

ถึงแม้ว่าจะเป็นแม่มดที่มีความสามารถทางไสยศาสตร์ต่างๆ แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป ยังคงต้องการปัจจัยสี่อยู่ ดังนั้นแม่มดจึงมักจะหารายได้เพื่อมาเลี้ยงชีวิตให้รอด โดยการรับค่าตอบแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์ หรือขายเครื่องรางของขลังโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดือดร้อนหรือไม่

การสืบทอดวิชาของแม่มดดำ วิธีการรับศิษย์ของแม่มดดำนั้น มีพิธีที่เรียกว่าฟังแล้วต้องแอบขนลุกกันเล็กๆ เลยล่ะค่ะ แม่มดดำนั้นจะรับศิษย์เพื่อมาสืบทอดวิชาไสยศาสตร์ โดยศิษย์ที่มารับช่วงต่อนั้นจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นรูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม แต่ว่าการจะได้มาซึ่งสิ่งๆ นี้ต้องแลกด้วยการไม่สามารถมีทายาทได้ และรางวัลอีกอย่างนึงที่ศิษย์ของแม่มดดำจะได้รับคือ การมีอายุยืนยาวเป็นร้อยๆ ปี

สำหรับการเรียนวิชาแม่มดนั้นจะเริ่มตอนอายุเท่าไหร่ก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป โดยระยะแรกๆ นั้นจะเริ่มจากคาถาต่างๆ เช่น การใช้เวทมนตร์ทำเสน่ห์ การสาปพืชให้เหี่ยวเฉา และรวมถึงการมองอนาคต เมื่อวิชาแก่กล้าขึ้นก็จะศึกษาเรื่องการทำตัวลอยในอากาศ หรือเหาะโดยไม้ต้องใช้ไม้กวาด หลังจากนั้นจะฝึกการแปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆ ไปจนถึงศาสตร์ขั้นสูง เพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วไป และความยากอีกอย่างหนึ่งในการศึกษาวิชาแม่มดนั้นคือทุกสูตร ทุกวิชา ทั้งเวทมนตร์คาถาและสูตรยาต่างๆ นั้นต้องสืบทอดกันแบบปากเปล่า ไม่มีตำราหรือหนังสือบันทึกไว้

ยุคมืดของแม่มด ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดกันอย่างเปิดเผยมาก ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเกิดเหตุผิดธรรมชาติ ฝนไม่ตก เกิดโรคระบาด สิ่งแรกที่คนในสมัยนั้นจะนึกถึงคือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมคนรวบรวมกำลังออกตามล่าหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่ผู้ที่จะมารับโทษมักจะเป็นแพะรับบาป แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูไม่สมเหตุสมผลก็ตาม เช่น แค่เป็นหญิงแก่ที่เลี้ยงหมาแมวไว้แก้เหงาที่บ้าน ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกลากมาเผาประจานทั้งเมืองหรือแม้แต่หญิงสาวบางคนที่หน้าตาสวยมากๆ ก็จะโดนใส่ร้ายว่าเอาวิญญาณเข้าแลกกับแม่มดเพื่อให้ได้หน้าตาที่น่ามองนี้มา และถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดในที่สุด แถมผู้ชายในสมัยนั้นมักทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างว่า "สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต" (Thou shit not a suffer a witch to live) และการทารุณกรรมนั้นก็จะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เฆี่ยนประจาน ทรมานด้วยวิธีต่างๆ สารพัด ใครที่ทนความทรมานไม่ไหวก็จำเป็นต้องรับสารภาพออกมา แล้วก็จะถูกนำไปเผาทั้งเป็น

โอ๊ย!! เจ๊ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายจะโหดร้ายทารุณกับผู้หญิงได้ขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ ภาพพจน์ของแม่มดดำนั้นไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เลยทำให้ถูกมองว่าแย่ไปซะทุกอย่าง ใครที่เข้าข่ายน่าจะเป็นแม่มดดำก็เลยต้องถูกตามล่า เจ๊อยากจะฝากผู้หญิงอย่างเราๆ ในสมัยนี้ไว้นิดนึงนะคะว่าบางครั้งภาพพจน์ภายนอกมันก็ทำให้เราถูกตัดสินได้ง่ายๆ ถ้าเรามั่นใจว่ามีดีอยู่ในตัวก็ควรจะแสดงออกมาให้ได้เห็นทั้งภายนอกและภายใน จะได้ไม่มีใครมาว่าร้ายเราได้ยังไงล่ะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on