รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

ความเชื่อเรื่องเครื่องประดับ

เครื่องประดับกับสาวๆ เป็นของคู่กั๊น...คู่กันเหมือนผัดกะเพราต้องคู่กับไข่ดาว มะนาวต้องคู่กับส้มตำยังไงยังงั้นเลย แต่นอกจากจะใส่เพื่อความสวยแล้ว คนสมัยก่อนเค้ายังใส่เครื่องประดับเพราะความเชื่ออีกด้วยนะ

1. กำไล กำเนิดแรกสุดของกำไลไม่ใช่เพื่อความกิ๊บเก่ มีคนแค่ 2 กลุ่ม เท่านั้นที่ใส่กำไล กลุ่มแรกคือ ทหาร ซึ่งต้องใส่กำไลสลักชื่อตัวเองไว้ ถ้าออกรบแล้วตายจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร กลุ่มที่ 2 คือ คนป่วยในโรงพยาบาล ใส่ไว้เผื่ออาการไม่ดี เช่น ชักพะงาบๆ พูดจาไม่ได้ หมอจะได้รู้ว่าเป็นใครและเช็คประวัติการรักษาได้ถูก
? เมื่อ 500 ปีก่อน ค.ศ. ในอิหร่านนักรบจะใส่กำไลที่ต้นแขน
? ชาวอเมริกาใต้นิยมใส่กำไลให้ทารกเพื่อป้องกันปิศาจ
? ในบัลแกเรีย ผู้คนเชื่อว่าถ้าใส่กำไลแล้วทำให้ฤดูผ่านไปและใบไม้ผลิมาถึงเร็วๆ
? ในวงการกีฬา นักเทนนิสชอบใส่กำไลหรือริสแบนด์เพราะเชื่อว่าใส่แล้วจะโชคดี

2. แหวนหมั้น ประเพณีการสวมแหวนหมั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในราชวงศ์ของออสเตรีย โดยจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนกับพระนางแมรี่ แห่งแคว้นเบอร์กันดี ส่วนเหตุผลที่แหวนหมั้นส่วนใหญ่เป็นเพชรเพราะคำว่า "DIA MOND" (เพชร) มาจากภาษากรีกว่า "ADAMANT" มีความหมายว่า มั่นคงหรืออยู่ยงคงกระพันและคุณสมบัติของเพชรเองก็แข็งแกร่ง จึงเหมาะจะใช้ไปได้ตลอดชีวิต
? ตำนานกรีกโบราณเชื่อกันว่า ประกายระยิบระยับของเพชรคือ แสงสะท้อนจากไฟปรารถนาของคู่รัก เพชรจึงเป็นอัญมณีที่มีความหมายในการใช้แทนค่าของความรัก
? เหตุผลที่ต้องสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย มาจากความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่านิ้วนางข้างซ้ายมีเส้นเลือดพิเศษเส้นหนึ่งชื่อ "VENA AMORIS" หรือเส้นเลือดแห่งรัก ซึ่งเป็นเส้นที่เชื่อมต่อไปยังหัวใจ
? ในสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 แห่งอังกฤษได้มีการออกกฎหมายให้นิ้วนางข้างซ้ายเป็นนิ้วที่ชอบด้วยกฎหมายในการสวมแหวนหมั้น

ความเชื่อเรื่องแหวนหมั้นของคนไทย

1. ห้ามถอดแหวนแต่งงานของคนอื่น ถ้าจะขอดูแหวนต้องให้เจ้าของแหวนถอดออกเอง มิฉะนั้นคนที่ไปถอดจะเป็นคนทำลายชีวิตของเจ้าของแหวน เช่น อาจจะไปแย่งคู่หมั้นเจ้าของแหวน
2. ถ้าทำแหวนแต่งงานหล่นพื้นระหว่างประกอบพิธีแต่งงาน ถือเป็นลางไม่ดี จะอยู่ด้วยกันไม่ยืด
3. อย่าลองใส่แหวนแต่งงานของคนอื่นเล่น คนที่ลองใส่จะไม่มีโอกาสได้สวมแหวนแต่งงานของตัวเอง
4. ถ้าแหวนแต่งงานชำรุดเสียหาย จะเกิดการทะเลาะวิวาทรุนแรง หรือทำให้ชีวิตคู่ร้าวฉาน

3. ต่างหู ลูกสะใภ้ชาวจีนจะถูกห้ามไม่ให้ใส่เครื่องประดับของตัวเองออกจากบ้านในตอนที่เจ้าบ่าวมารับตัว จะต้องใส่แต่ต่างหูชุดที่แม่สามีให้มาเพียงอย่างเดียว เพราะคนจีนถือว่า ถ้าเจ้าสาวใส่ต่างหูของตัวเองออกจากบ้านไปเข้าบ้านฝ่ายชายเท่ากับเป็นการขนเงินทองหรือความโชคดีของบ้านเจ้าสาวไปเข้าบ้านผู้ชายหมด แต่ถ้าอยากโชว์ความรวยให้แขกเห็นก็สามารถแก้เคล็ดได้โดยการใส่แต่ชุดที่บ้านสามีให้ไปก่อน แล้วพอนั่งรถพ้นบ้านตัวเองแล้ว ค่อยเอาเครื่องประดับอย่างอื่นขึ้นมาใส่
? คนจีนเชื่อว่า เจ้าสาวควรหยิบต่างหูและเครื่องประดับขึ้นมาสวมตอนนั่งรถผ่านธนาคาร จะได้เกี่ยวเอาโชคลาภเงินทองตอดตัวเข้าบ้านสามีด้วย
? โจรสลัดใส่ต่างหูเพราะเพราะเชื่อว่าจะทำให้สายตาดี
? ในอดีตผู้ชายพม่าที่ฐานะดีจะใส่ต่างหู มุก นิล หรือพลอยแดงขนาดเท่าลูกหมากย่อมๆ ส่วนคนฐานะธรรมดาจะนิยมใส่ต่างหูทำด้วยหยกแก้ว ใบลานมวน หรือต่างหูทำจากขนแกะ ส่วนนักรบอาจเอาชายโสร่งมามวนเสียบเป็นต่างหู

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ความเชื่อที่คนโบราณยึดถือ

ความเชื่อของคนสมัยก่อนอาจจะเป็นเรื่องงมงายไร้สาระในความคิดของคนรุ่นใหม่อย่างเรา แต่ในน้ำเน่าก็ยังมีเงาจันทร์ ในความงมงายก็มีความน่ารักแฝงอยู่เหมือนกันน่ะ

เด็กที่มีปาน แสดงว่าเคยเกิดมาชาติหนึ่งแล้ว คนสมัยนี้อาจจะไม่สนใจกับไฝฝ้าปานดำปานแดงกันแล้ว เพราะยิงเลเซอร์ทีเดียวก็หาย แต่สำหรับคนโบราณนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะเชื่อกันว่าเด็กที่มีปานติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั้น หมายความว่าเคยเกิดมาแล้วในชาติก่อนและถูกทำตำหนิไว้เพื่อให้คนรู้จักจำได้ โดยวิธีทำตำหนิก็จะเอาปูนแดงป้าย ทำให้เกิดมาชาตินี้มีปานแดง แต่ถ้าถูกป้ายด้วยถ่านก็จะเกิดมาพร้อมกับปานดำ

ผมหยิก หน้าก้อ คอต่อ คิ้วสั้น คบไม่ได้ คนโบราณเชื่อกันว่าคนที่เกิดมาหน้าตาสวยเป็นคนมีบุญ ส่วนคนขี้เหร่เป็นคนอาภัพด้อยวาสนา สำหรับคนผมหยิก หน้าก้อ คอต่อ คิ้วสั้นนั้นเรียกว่า อัปลักษณ์ครบสูตร ตำราโบราณจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นคนไม่ดีมาเกิด จึงไม่ควรไปคบเพราะไว้ใจไม่ได้ อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้

หวีหัก เป็นลางร้าย ความเชื่อนี้คนรุ่นใหม่อาจจะมองว่าไร้สาระ ไม่มีเหตุผล แต่คนสมัยก่อนท่านเชื่อกันจริงๆ ว่า ระหว่างที่กำลังหวีผมถ้าหวีเกิดหักแสดงว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับคนๆ นั้น ถ้าเบาะๆ ก้แค่มีเรื่องทะเลาะวิวาทหรือเสียของรัก ถ้าสาหัสก็อาจถึงขั้นเลือดตกยางออกเลยทีเดียว ทางเดียวที่จะแก้เคล็ดได้คือต้องทิ้งหวีอันนั้นไป จากนั้นก็ต้องจุดธูปไหว้เทวดาฟ้าดินให้ช่วยคุ้มครองให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี เรื่องหนักให้กลายเป็นเบา แล้วจะแคล้วคลาดไปได้

ห้ามใช้น้ำหอมของเพื่อน จะทำให้มีเรื่องทะเลาะกัน เพราะโบราณว่าไว้ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ กลิ่นน้ำหอมที่เราใช้ก็เหมือนกลิ่นสาบเสือ เมื่อเสือสองตัวมาเจอกันก็ต้องสู้กันให้แหลกไปข้างหนึ่ง

วันที่ควรและไม่ควรสระผม คนรุ่นปู่ย่าตาทวดจะนิยมตัดผมในวันศุกร์ เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีเสน่ห์ ถ้าตัดในวันอาทิตย์เชื่อว่าจะอายุยืน ส่วนการตัดผมในวันจันทร์ก็จะทำให้เป็นที่รักของคนอื่น แต่วันที่ไม่ควรตัดผมเลยก็คือวันอังคารเพราะจะมีแต่เรื่องทุกข์ใจ อาจต้องเสียน้ำตาเป็นปี๊บๆ

ไม่เอาสัตว์ป่าเข้าบ้าน สัตว์ป่าก็ต้องอยู่ในป่า ถ้าใครทะเล้นไปซื้อมาเลี้ยงอย่างคนสมัยนี้ชอบทำ ปู่ย่าตายายท่านเชื่อว่าเป็นการผิดธรรมชาติ เพราะสัตว์ป่ามีเจ้าป่าคุ้มครองดูแลอยู่ ไม่ควรไปจับบริวารของท่านกักขังไว้ที่บ้านเรา ใครทำอย่างนี้ครอบครัวจะพบเจอความอัปมงคล ต้องแก้เคล็ดด้วยการทำพิธีจุดธูปเทียนดอกไม้ขอขมาต่อเจ้าป่าเจ้าเขาแล้วเชิญสัตว์ป่าออกจากบ้านไป พร้อมกับขอพรให้นำพาสิ่งดีงามมาให้

ดูดวงการค้าจากต้นว่าน คนโบราณนิยมปลูกว่านเพื่อให้เป็นมงคลกับครอบครัว และเอาไว้เป็นเครื่องบอกชะตาว่าการค้าจะดีหรือไม่ดี ถ้าต้นว่านงอกงามดีแสดงว่าชีวิตกำลังรุ่งเรือง ยิ่งถ้าว่านออกดอกด้วยล่ะก็แสดงว่าช่วงนั้นดวงดีมาก จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง แต่ถ้าต้นว่านเกิดเหี่ยวแห้งหรือหักงอไป เจ้าของอาจจะอยู่ในช่วงดวงตก ทำมาค้าไม่ขึ้น ต้องรีบทำบุญให้มากๆ เพื่อเสริมดวง และควรปรับปรุงวิธีการค้าเสียใหม่เพื่อให้กิจการดีขึ้น

ขึ้นบ้านใหม่ต้องแบกข้าวสาร
ถ้าใครปลูกบ้านหลังใหม่ ก่อนจะเข้าบ้านคนโบราณท่านมีเคล็ดว่าให้แบกกระสอบข้าวสารเดินนำเข้าไปก่อน แล้วบ้านนั้นจะอุดมสมบูรณ์ไม่มีคำว่าอดอยาก ยิ่งถ้าใส่สร้อย แหวน เงิน ทอง ใบเงิน ใบทอง ไว้ในกระสอบข้าวด้วยล่ะก็ เงินทองจะไหลมาเทมา ทำมาค้าขึ้น อยู่แล้วเฮงเฮงเฮงอย่างเดียวเลย

ใส่แหวนต้องดูนิ้ว ความเชื่อนี้ส่งตรงมาจากเมืองจีนโดยเฉพาะ คนจีนเชื่อกันมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายายว่า ถ้าใส่แหวนที่นิ้วก้อยชีวิตจะสุขสบายไม่ต้องทำงานหนัก ถ้าใส่กำไลหยกจะช่วยเสริมให้เป็นคนมีอำนาจและสุขภาพดี

วางโทรศัพท์ต้องเลือกมุม
ชาวยิปซีเชื่อว่าถ้าวางโทรศัพท์ที่มุมซ้ายของโต๊ะทำงาน คนจะโทรมาบอกแต่ข่าวร้าย แต่ถ้าวางไว้ที่มุมขวาของโต๊ะ จะได้ยินแต่ข่าวที่ทำให้สบายใจ

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

4 วรรณกรรม ที่คนจีนห้ามอ่าน

ประเทศจีนมีวรรณกรรมที่จัดว่าเป็นสุดยอดคลาสสิคอยู่ 4 เล่ม ได้แก่ "ไซอิ๋ว" , "ซ้องกั๋ง", "ความฝันในหอแดง" และ "สามก๊ก" แต่ทั้ง 4 เล่มนี้ก็เป็นวรรณกรรมต้องห้ามที่คนจีนถือว่าห้ามอ่านเช่นกัน เรื่องนี้มีอะไรในกอไผ่ อยากรู้ต้องตามมาค่ะ

1. ไซอิ๋ว หนังสือดีที่เด็กชายห้ามอ่าน "ไซอิ๋ว" เขียนโดยบัณฑิตชื่อ ?อู่ เฉิน เอิน' โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางไปอินเดียเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกของมหาสมนะ ?เหียนจัง' ในสมัยของ ?ถังไท่จง' ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ถัง ซึ่งทำให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยมากถึงขนาดแต่งตั้ง ?หลวงจีนเหียนจัง' ให้เป็นพระองค์ชายทรงพระนามว่า ?ถังซัมจั๋ง' แปลว่าองค์ชายไตรปิฎกธรรม จากนั้นอีก 600 ปีต่อมา ?อู่ เฉิน เอิน' ก็ได้แต่ง "ไซอิ๋ว" ขึ้น โดยดัดแปลงให้มีปีศาจลิง (เห้งเจีย) ปีศาจหมู ( ตือโป๊ยก่าย) และปีศาจปลา (ซัวเจ๋ง) ร่วมเดินทางไปด้วย และตลอดเรื่องก็ต้องผจญกับปีศาจสารพัดรูปแบบที่จะมาจับ ?พระถังซัมจั๋ง' ไปกิน

เหตุผลที่เด็กผู้ชายไม่ควรอ่าน "ไซอิ๋ว" เพราะนิยายเรื่องนี้มีแต่การต่อสู้ที่โลดโผนเร้าใจ ถ้าเด็กผู้ชายอ่านแล้วจะคึกบ้าพลัง อยากต่อสู้เก่งกาจแบบ ?ซุนหงอคง' และจะซนเป็นลิงจนพ่อแม่จับกันไม่อยู่เลยทีเดียว

2. ซ้องกั๋ง หนังสือต้องห้ามของเด็กวัยรุ่น "ซ้องกั๋ง" แต่งขึ้นปลายสมัยราชวงศ์หมิงโดย ?ซือไน่อาน' เป็นเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงในรัชสมัยของ ?พระเจ้าซ่งฮุยจง' ฮ่องเต้ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอทำให้ขุนนางขี้โกงมีอำนาจข่มเหงประชาชนจนเกิดมีผู้กล้าหาญ 108 คนมารวมตัวกันบนเขาเหลียงซาน ตั้งเป็นกองกำลังแข็งข้อกับทางการ โดยหนังสือเล่มนี้เล่าถึงประวัติของผู้กล้าหาญทั้ง 108 คนว่าถูกทางการข่มเหงรังแกอย่างไรบ้าง จนต้องขึ้นเขาไปเป็นโจร และปลุกใจให้คนอ่านรู้ถึงความไม่เป็นธรรมที่ทางการกระทำกับราษฎร

เหตุผลที่วัยรุ่นไม่ควรอ่าน "ซ้องกั๋ง" เพราะวรรณกรรมเรื่องนี้เป็นเรื่องราวปลุกใจให้เกลียดชังการกดขี่ข่มเหงของทางการ ผู้ใหญ่จึงกลัวว่าวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยเลือดร้อนเจ้าอุดมการณ์อ่านแล้วอาจจะเอาอย่าง คิดรวมตัวกันประท้วงรัฐบาลบ้าง

3. ความฝันในหอแดง หนังสือเสียตัวของเด็กสาว "ความฝันในหอแดง" แต่งโดยลูกผู้ดีตกยาก ?เฉาเสี่ยฉิ้น' เป็นนิยายที่พูดถึงความเสื่อโทรมของสังคมศักดินาในสมัยราชวงศ์ชิง ผู้คนมีแต่หวังผลประโยชน์แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบและหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ โดยผ่านทางตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่ง 4-5 ตระกูล ที่อาศัยอยู่ในหอแดง หนุ่มสาวที่อยู่ในบ้านนี้วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่คิดถึงเรื่องโลกีย์และแย่งชิงสมบัติกันเอง จนในที่สุดครอบครัวที่ร่ำรวยก็แตกสลาย ปมเด่นอีกอย่างของเรื่องนี้อยู่ที่ตัวเอกชื่อ ?เป่าอี้' ซึ่งแต่เดิมเป็นศิลาในสวรรค์ก้อนหนึ่งแต่ได้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ และต้องมาผจญกับกิเลสตัณหาของคน นิยายเรื่องนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "ความเป็นมาของก้อนหิน"

เหตุผลที่เด็กสาวไม่ควรอ่าน "ความฝันในหอแดง" เพราะนิยายเรื่องนี้มีบทพรรณนาการร่วมเพศอย่างถึงพริกถึงขิง ทำให้เด็กสาวอยากรู้อยากลอง ว่ากันว่ามีเด็กสาวๆ สมัยนั้นหลายคนที่กลายเป็นคนหมกมุ่นเรื่องเพศ และต้องเสียตัวหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้

4. สามก๊ก นิยายที่ผู้ใหญ่ไม่ควรอ่าน คนจีนมีคำกล่าวว่า "ใครอ่านสามก๊กครบ 3 จบ คบไม่ได้" นิยายเรื่องนี้แต่งโดย ?หลอกว้านจง' และได้รับการยกย่องจากองค์กรยูเนสโกให้เป็นสุดยอดวรรณกรรมชิ้นหนึ่งของโลกด้วย เนื้อเรื่องพูดถึงเหตุการณ์ในสมัยที่จีนยังไม่รวมกันเป็นประเทศ แต่แบ่งเป็นก๊กใหญ่ 3 ก๊กตั้งประจันหน้ากัน และแต่ละก๊กก็พยายามตั้งตัวเป็นใหญ่ จนเกิดเป็นสงครามยาวนานหลายสิบปี 3 ก๊กที่ว่านี้ได้แก่ วุ่ยก๊ก ของ ?โจโฉ' เป็นรัฐที่แข็งแกร่งที่สุด ง่อก๊ก ของ ?ซุนกวน' ครองอำนาจเหนือปากแม่น้ำแยงซีเกียง มี ?แม่ทัพจิวยี่' ผู้ชาญฉลาดเป็นแกนนำ และ จ๊กก๊ก ของ ?หลิวเปี้ย' (เล่าปี่) โดยมี ?ขงเบ้ง' เป็นกุนซือคนสำคัญ

เหตุผลที่ผู้ใหญ่ไม่ควรอ่าน "สามก๊ก" เพราะนิยายเรื่องนี้มีการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงตลอดทั้งเรื่อง ถ้าคนที่อ่านแล้วเอามาประยุกต์ใช้ก็จะกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างหาใครเทียบไม่ได้เลย

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ก่อนจะมาเป็น ไพ่ยิปซี

ถึงจะชื่อว่า "ไพ่ยิปซี" แต่เจ้าไพ่ใบนี้กลับมีต้นกำเนิดมาจากจีนแล้วไปโตในยุโรปซะนี่ แล้วยิปซีมาเกี่ยวอะไรด้วย...เรื่องนี้ต้องขยายค่ะ!!!

ยุคเริ่มแรกของไพ่ยิปซี ไพ่ยิปซีเป็นไพ่ที่มีมานานกว่า 600 ปีแล้ว โดยไพ่สำรับแรกน่าจะมีใช้กันในอียิปต์และจีนตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 1500 โน่นเลยทีเดียว ไพ่ในยุคแรกๆจึงมีลวดลายเป็นลายจีนตามต้นกำเนิด แต่ในยุคแรกไพ่ยิปซียังไม่มีมนต์ขลังในการทำนายแบบสมัยนี้ คนโบราณเค้าเล่นไพ่สนุกๆ เพื่อฆ่าเวลากันมากกว่า จนกระทั่งต่อมาชาวยุโรปได้เข้ามาค้าขายกับจีน และได้มาหลงในเสน่ห์ของไพ่ยิปซีเข้า ฝรั่งก็เลยเอาไพ่กลับไปเล่นบนเรือด้วย ไพ่ยิปซีจึงได้โกอินเตอร์เข้าสู่ยุโรปตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเข้าไปในยุโรปแล้วก็ได้มีศิลปินตะวันตกหลายคนออกแบบลวดลายไพ่ให้แปลกตาออกไปเป็นลายตะวันตก เพื่อให้หมดกลิ่นอายจีน ลายที่นิยมออกแบบกันมากที่สุดก็คือลายรูปสัตว์ ในตอนนั้นชาวยุโรปนิยมเล่นไพ่กันมากชนิดที่เรียกว่าติดกันงอมแงมเลยทีเดียว จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 1910 รัฐบาลยุโรปได้ประกาศให้การเล่นไพ่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะจากที่เคยเล่นกันเอาสนุกฝรั่งก็เริ่มมีการวางเงินเดิมพันกันเป็นเรื่องเป็นราวจนกลายเป็นการพนันไป พอถูกหมายหัวห้ามเล่นไม่นานอนาคตของไพ่ก็ดับวูบ และค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

การกลับมาของไพ่ยิปซี แต่เพราะความสนุกของการเล่นไพ่ที่ว่ากันว่าใครได้ลองแล้วต้องติดใจ ทำให้ไพ่ได้กลับมาโลดแล่นในวงสังคมอีกครั้ง และครั้งนี้มาอย่างไฮโซซะด้วย เพราะในคริสศตวรรษที่ 12 พวกชนชั้นสูงระดับขุนนาง ซึ่งวันๆ ไม่ต้องทำอะไรก็มีอันจะกินได้แอบตั้งวงรวมญาติมิตร(เล่นไพ่) กันอย่างกว้างขวางและในช่วงนี้เองที่พวกยิปซีได้เริ่มพเนจรเข้าไปถึงยุโรป แม้ว่าพวกยิปซีจะถูกดูถูกว่าสกปรกยากจน แต่ก็มีดีตรงที่มีวิชาสามารถพยากรณ์ด้วยไพ่ได้แม่นยำ ทำให้ชาวยุโรปทึ่งไปตามๆ กัน

อนาคตของไพ่ยิปซีมารุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อ ?เจ้าชายชาร์ลที่ 6' แห่งราชวงศ์ฝรั่งเศส เกิดประชวรเป็นโรคทางจิตอย่างรุนแรงจนหมดความสามารถที่จะปกครองบ้านเมืองต่อไปได้ ทำให้การเมืองภายในฝรั่งเศสเริ่มระส่ำระสาย คนที่จ้องจะล้มราชวงศ์ก็ตีปีกกันพึ่บพั่บ ?พระนางโอเด็ต' พระชายาได้ทรงให้หมอหลวงลองรักษาหลายทางแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรักษาพระสวามีได้เลย ขนาดว่าทรงยอมถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการติดประกาศหาหมอฝีมือดีทั้งแผนปัจจุบันและหมอทางไสยศาสตร์ให้ลองมารักษาพระสวามี ก็ยังไม่มีใครช่วยอะไรได้ ตอนนั้นเองพระนางได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนางยิปซีคนหนึ่งว่าพยากรณ์ดวงชะตา ได้แม่นยำมาก จึงทรงรับสั่งให้มาพยากรณ์ดวงชะตาให้พระสวามี

นางยิปซีได้ให้ ?พระเจ้าชาร์ล' เลือกหยิบไพ่ 6 ใบขึ้นมาจากในกอง จากนั้นก็เริ่มทำนายเรื่องราวที่เป็นความลับส่วนพระองค์ของ ?พระเจ้าชาร์ล' ได้ราวกับตาเห็น ทำให้ทั้งสองพระองค์ประทับใจมาก จากนั้นแม่หมอยิปซีก็ทำนายพระอาการทางจิตของพระองค์อย่างละเอียดยิบ ทำให้ ?พระเจ้าชาร์ล' ทรงเชื่อถือและทำตามคำแนะนำของนางทุกอย่าง จนในที่สุดก็ทรงหายจากการประชวรได้อย่างน่าอัศจรรย์!! ตั้งแต่นั้นมา ?พระนางโอเด็ต' ก็ทรงยกย่องแม่หมอยิปซีคนนี้ให้เป็นสุดยอดนักพยากรณ์ส่วนพระองค์ และแล้วเรื่องราวความแม่นยำของไพ่ยิปซีก็แพร่กระจายออกไป เป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวยุโรปหันมาสนใจศาสตร์การพยากรณ์ด้วยไพ่ยิปซี และแพร่หลายไปทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้

ทุกวันนี้ไพ่ยิปซีจึงจัดเป็นไพ่เฉพาะที่ไม่ใช้เล่นการพนัน แต่จะเก็บไว้สำหรับพยากรณ์โชคชะตาเท่านั้น แรกเริ่มไพ่ที่ชาวยิปซีนำเข้าไปใช้พยากรณ์ในยุโรปมีด้วยกันทั้งหมดแค่ 22 ใบ หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่าเป็นไพ่ชุดใหญ่(เมเจอร์อาคาน่า) แต่หลังจากที่ความนิยมไพ่ยิปซีแพร่หลายออกไป ก็มีการนำไพ่ที่มีการเล่นโดยทั่วไปหรือเรียกว่า ไพ่ชุดเล็ก(ไมเนอร์อาคาน่า) มาผสมเข้าไปด้วยเพื่อให้พยากรณ์ได้ละเอียดมากขึ้น รวมทั้งหมดจึงกลายเป็น 78 ใบ

ในคริสศตวรรษที่ 14 ไพ่ยิปซีถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ไพ่ทาโรต์" ตามชื่อไพ่ชุดเล็กที่เล่นกันในสมัยนั้นที่เรียกกันว่า "ทารอคโค" และชื่อนี้ก็ได้ใช้จันมาจนถึงทุกวันนี้ คนที่กำลังสับสนจึงเลิกสงสัยได้แล้ว เพราะไพ่ทาโรต์กับไพ่ยิปซีก็คือไพ่ชนิดเดียวกันนั่นเอง

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

3 เทพธิดาในตำนานจีน

ตำนานของเทพธิดาทั้ง 3 องค์นี้ เป็นเรื่องเล่าที่ชาวจีนเชื่อถือกันมานานหลายพันปีแล้ว แต่ละนางจะเปรี้ยวเผ็ดดุเท่าเทพธิดาไทยๆ เราได้ไหม ต้องมาดูกันค่ะ

1. เทพธิดาไหม เทพองค์นี้จะอวยพรให้งานทอผ้าไหมสำเร็จราบรื่น และได้ผลงานที่สวยมีคุณภาพ เวลาสาวจีนจะทอผ้าก็มักจะจุดธูปขอพรจากเทพธิดาไหมนี่เอง กำเนิดของเทพธิดาไหมเริ่มขึ้นเมื่อ 4,600 ปีก่อน พ่อค้าชาวจีนคนหนึ่งต้องเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ทิ้งให้ลูกสาวอยู่บ้านคนเดียว โดยมีเจ้าม้าคู่ใจอยู่เป็นเพื่อน วันหนึ่งเจ้าม้าแสนรู้ถามเด็กสาวว่า ถ้ามันพาพ่อกลับมาบ้านได้ เด็กสาวจะยอมแต่งงานกับมันหรือเปล่า เด็กสาวคนนั้นคิดว่าม้าพูดเล่นก็เลยรับปาก พอจบคำเจ้าม้าก็รีบวิ่งตะบึงไปจนถึงเมืองที่พ่อค้ากำลังค้าขายอยู่ พ่อค้าเห็นม้าก็ดีใจ รีบวิ่งมาขึ้นหลังและควบม้ากลับบ้าน เป็นอันว่าม้าก็ได้พาพ่อกลับมาตามที่สัญญาไว้แล้ว

แต่พ่อของเด็กสาวไม่อยากได้ลูกเขยเป็นม้า
พอตกดึกจึงถือขวานย่องไปที่คอกและฟันเจ้าม้าว่าที่ลูกเขยจนตาย จากนั้นก็ถลกหนังมาตากแห้งไว้ที่หน้าบ้าน พอเด็กสาวรู้เรื่องก็เสียใจมากจึงเข้าไปกอดหนังม้าร้องไห้ทันใดนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์! หนังม้าม้วนตัวเข้าหากันห่อเด็กสาวไว้ข้างในแล้วพาไปยังทุ่งต้นหม่อน เมื่อมันคลายตัวออก เด็กสาวที่อยู่ข้างในก็กลายเป็นตัวไหมสีขาวไต่ไปมาบนต้นหม่อน และกินใบหม่อนเป็นอาหาร เมื่อใกล้จะตายตัวไหมก็จะคลายใยไหมสีขาวบริสุทธิ์ออกมา ทุ่งแห่งนี้จึงเรียกกันว่า "ทุ่งคายใย"

2. เจ้าแม่ระฆัง ในสมัยที่ประเทศจีนยังต้องบอกเวลาด้วยการตีกลอง จักรพรรดิองค์หนึ่งทรงดำริจะสร้างระฆังเหล็กขนาด 10 ตันเพื่อให้ตีบอกเวลาได้เสียงดังขึ้น นายช่างใหญ่ผู้รับสนองพระราชโองการเป็นช่างผู้มีฝีมือมากจึงคาดว่างานนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร สองเดือนให้หลัง งานหล่อระฆังก็เสร็จ แต่ระฆังเหล็กใบนี้กลับมีรอยแตก ทำให้เสียงไม่ดังกังวานอย่างที่ควรจะเป็น องค์จักรพรรดิทรงกริ้วมากแต่ก็ให้โอกาสนายช่างอีกครั้ง โดยครั้งนี้ทรงรับสั่งให้สร้างระฆังเงินและมีกำหนดว่าต้องเสร็จภายใน 2 เดือน ไม่อย่างนั้นจะประหารช่างทุกคน รวมทั้งเสนาบดีผู้ควบคุมการก่อสร้างด้วย

การสร้างระฆังเงินปัญหามาก เนื่องจากเนื้อเงินไม่ยอมหลอมรวมกันเป็นรูประฆัง ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งๆ ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งวันที่องค์จักรพรรดิกำหนดไว้ก็มาถึง วันนั้นนายช่างใหญ่ไม่ยอมกลับบ้าน ลูกสาวของนายช่างเห็นพ่อหายไปจึงตามมาดูที่โรงหลอม และแอบได้ยินช่างอื่นๆ กระซิบกันว่าครั้งนี้คงต้องชะตาขาดแน่แล้ว เพราะระฆังไม่ยอมขึ้นเป็นรูป นอกจากจะต้องมีชีวิตเด็กสาวมาสังเวยตามประเพณีโบราณ เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจกระโดดเข้าไปในเตาหลอมเพื่อช่วยชีวิตพ่อเอาไว้ ฝ่ายนายช่างใหญ่ก็รีบกระโดดตามมาฉุดลูกสาว แต่ก็ได้แต่รองเท้าลูกติดมือมาข้างเดียว จากนั้นเนื้อเงินก็หลอมตัวเป็นรูประฆังได้สำเร็จ ทำให้ช่างทุกคนรอดตาย แต่ทุกครั้งที่ตีระฆังใบนี้จะได้ยินเสียงว่า "เซียะ เซียะ เซียะ" ซึ่งแปลว่า "ขอรองเท้า"

ปัจจุบันระฆังเงินใบนี้อยู่ในหอระฆังในกรุงปักกิ่ง และใกล้ๆ กับหอระฆังก็มีศาลที่พวกนายช่างได้สร้างอุทิศให้แก่ลูกสาวของนายช่างใหญ่ ผู้ซึ่งชาวจีนทุกคนนับถือว่าเป็นเจ้าแม่แห่งระฆัง

3. เทพธิดาแห่งการเย็บปักถักร้อย ตำนานเทพธิดาแห่งการเย็บปักถักร้อยเกิดขึ้นปลายราชวงศ์ตองก๊ก ชาติกำเนิดของเทพธิดาองค์นี้เป็นถึงลูกสาวเจ้าเมือง ซ้ำหน้าตายังสวยอยู่ในอันดับต้นๆ อีกด้วย ที่สำคัญคือเธอมีฝีมือการปักผ้าระดับอัจฉริยะแค่ 7 ขวบก็มีคนเข้าคิวขอซื้อผ้าฝีมือ ?แม่นางซีเล่งหุน' คนนี้จนหัวกระไดไม่แห้งแล้ว พอโตเป็นสาวความสวยความเก่งของ ?แม่นางซีเล่งหุน' ก็เลื่องลือไปไกลจนไปเข้าหูฮ่องเต้เข้าจึงรับสั่งให้นางไปถวายตัวเป็นนางใน และให้มีหน้าที่ปักฉลองพระองค์ถวายด้วย ฮ่องเต้ทรงโปรดฝีมือปักของนางมาก และได้พระราชทานนามให้นางว่า ?เทพธิดาเข็ม' แต่อายุของเทพธิดาคนเก่งนี้กลับไม่ยืนยาว หลังจากอยู่ในวังได้แค่ 2 ปีนางก็ป่วยตายไป เชื่อกันว่าหลังจากตายแล้ว วิญญาณของ ?ซีเล่งหุน' ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาแห่งการเย็บปักถักร้อย เวลาเด็กสาวชาวจีนเริ่มหัดเย็บผ้าเป็นครั้งแรกก็จะมาจุดธูปไหว้ขอพรจากเทพธิดาองค์นี้ให้มีฝีมือดี เย็บผ้าได้สวยเหมือน ?เทพธิดาซีเล่งหุน'

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on