Written by on

ผีช่วยเลี้ยง

ฉันเคยไปนอนเฝ้าน้องสาวที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ ที่ ต.พระบาท เพราะสามีเขาต้องไปธุระที่ต่างจังหวัด ฉันเองก็เป็นห่วงน้องสาวที่ต้องนอนอยู่กับลูก 2 คน เลยอาสาไปนอนเป็นเพื่อน บ้านน้องสาวเป็นบ้านห้องแถวติดกัน 10 กว่าห้องมีคนอยู่เยอะคึกคักดี เจ้าตัวเล็กก็เลี้ยงง่าย กินแล้วก็นอนไม่ค่อยงอแง มานอนคืนแรกก็หลับสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่คืนที่ 2 นี่สิเริ่มเจออะไรแปลกๆ ฉันตื่นขึ้นมาตอนเกือบตี 3 ตื่นเพราะเจ้าตัวเล็กร้องกินนม พอนมแม่เข้าปากก็เงียบได้เหมือนกดสวิตช์ปิดได้เลย

ฉันตื่นจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วตอนเดินกลับมาฉันมองออกไปทางหน้าต่าง เหมือนเห็นเงาคนเลือนรางเดินอยู่แถวหน้าประตูบ้าน ลักษณะจะเหมือนคนแก่ที่เกล้าผมมวยอยู่ข้างหลัง เดินหลังค่อมๆ แต่พอฉันแหวกผ้าม่านออกดูก็ไม่เห็นมีใครสักคน น้องสาวยังพูดเลยว่าฉันตาฝาด เพราะแถวนี้มีแต่คนวัยทำงานไม่มีคนแก่เลย มิหนำซ้ำ ตี 3 คนบ้าที่ไหนจะมาเดินไป-มา

พอคืนที่ 3 นี่เต็มๆ เลย ฉันกำลังนอนหลับโดยนอนตะแคงข้างหันหน้ามาทางหลาน ก็ได้ยินเสียงหลานนอนหัวเราะเอิ้กอ๊าก เสียงกำไลข้อมือ ข้อเท้าดังกรุ๊งกริ๊ง พอรู้สึกตัวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดูว่าเจ้าตัวเล็กมันนอนเล่นกับใครถึงได้หัวเราะเสียงใสดังขนาดนี้ แล้วพอมองเห็นเท่านั้นแหละหัวใจแทบวาย

ยายแก่ผมหงอกขาว เกล้าผมมวยไว้ข้างหลัง ใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก มีผ้าสไบพาดบ่า นุ่งโจงกระเบน กำลังยืนสองมือไพล่หลัง หยอกเล่นอยู่กับหลานฉันอย่างมีความสุข ฉันนอนใจสั่นเต้นระทึก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวได้แต่นอนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ด้วยมั่นใจว่านั่นไม่ใช่คนอย่างแน่แท้ จนอึดใจใหญ่ ยายคนนี้จึงเอ่ยลาเจ้าตัวเล็ก

ทวดไปแล้วนะ คนดี หิวแล้วละซิเดี๋ยวแม่ของเอ็งก็จะตื่นมาให้นมแล้ว เป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายๆ แล้วก็หายแว้บไปต่อหน้าต่อตาฉันทันที พอยายแก่หายไปเจ้าตัวเล็กก็แหกปากร้องจ้าขึ้นมาทันที เรียกให้น้องสาวฉันตื่นขึ้นมาอุ้มเอานมให้กิน น้องสาวเห็นฉันนอนนิ่งตาค้างก็เรียกว่า ดึกแล้วทำไมไม่นอน ฉันจึงเล่าให้น้องสาวฟังว่า ก่อนที่น้องสาวจะตื่นฉันเห็นอะไร ฝ่ายน้องสาวก็ดีเหลือหลายหัวเราะใส่ฉัน ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า เป็นผีบ้านผีเรือนเขามาช่วยเลี้ยง บางทีก็มากลางวัน มาให้เห็นกันจะจะเลย เจอใหม่ๆ แทบช็อกตายเหมือนกัน แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว เคยไปถามพระท่านก็ว่าเขามาดี มาช่วยเลี้ยงจะกลัวทำไมดีซะอีก มีเขามาช่วยคุ้มครองให้ลูกเราอยู่รอดปลอดภัยจากภัยอันตรายอื่นๆ ที่เรามองไม่เห็น
จริงๆ แล้ว ที่ดินผืนนี้แรงมาก ถ้าไม่ได้ผีบ้านผีเรือนปกปักรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุขก็คงอยู่ไม่ได้ขนาดนี้หรอก ต้องย้ายออกไปนานแล้ว

โชคดีที่สามีของน้องสาวเสร็จธุระกลับมาพอดี ฉันจึงลากลับบ้านเลย อยู่ไม่ไหวจริงๆ ทำไมเจ้าน้องสาวตัวดีถึงไม่บอกฉันตั้งแต่แรกนะว่า มีคนช่วยเลี้ยงแล้ว จะได้ไม่มาให้โดนผีหลอกแบบนี้

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : เด็กดอย/ลำปาง

Written by on

Written by on

เธอตามมาด้วย

ผมเคยทำงานเป็นอาสาสมัครกู้ภัยของมูลนิธิแห่งหนึ่ง ตอนนั้นใจผมไม่ได้คิดหวังสิ่งใดตอบแทน คิดเพียงว่าต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่ตกทุกข์ได้ยาก กลุ่มของผมมีด้วยกัน 4 คนคือ เจ้าโจ้ เจ้าเอ เจ้าอ้วน และผม ซึ่งพวกเราจะรวมกลุ่มกันขับรถออกตระเวนตามถนนหนทางไปเรื่อยๆ ซึ่งรถที่พวกผมใช้กันนั้นก็เป็นรถปิกอัพของทางมูลนิธินั่นเอง

คืนนั้น พวกผมก็ขับรถออกไปตามถนนเหมือนเคย แต่คืนนั้นพวกผมเลือกที่จะมุ่งหน้าไปแถวๆ ฝั่งธนบุรี เพราะอยู่แต่ฝั่งพระนครมาทุกคืนแล้ว เลยอยากเปลี่ยนเส้นทางบ้าง พวกผมขับรถกันมาเรื่อยๆ ดูเวลาก็เที่ยงคืนเศษๆ ไม่พบเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุอะไร เลยตกลงกันว่าอีกสักพักถ้าหากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็จะขับรถกลับศูนย์ รอฟังแจ้งเหตุทางวิทยุดีกว่าขืนขับรถไปทั้งคืนอย่างนี้คงไม่ไหวแน่

ขับมาถึงแยกโพธิ์สามต้น ตั้งใจว่าจะเลี้ยวรถกลับก็พอดีมีวิทยุแจ้งเหตุมาว่า มีคนพบศพลอยมาติดตอม่อสะพานข้ามคลองบางกอกน้อย พอได้ยินดังนั้น จึงรีบขับรถไปทันทีเพราะจุดที่พบศพนั้นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกผมอยู่ เมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุก็เห็นว่า มีคนยืนมุงดูเต็มไปหมดและมีตำรวจที่รับผิดชอบในท้องที่นั้นยืนอยู่ 3 นาย

พวกผมจึงลงไปสอบถามรายละเอียดก็ทราบแต่เพียงว่า ผู้ตายเป็นผู้หญิงยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เจ้าโจ้กับเจ้าอ้วนจึงลงน้ำไปกู้ศพ ส่วนผมกับเจ้าเอได้ปูผ้าขาวรออยู่บนบกแล้ว เมื่อนำศพขึ้นมาตรวจดูในตัวก็ไม่พบหลักฐานว่าเป็นใคร เพราะไม่พบกระเป๋าสตางค์หรือบัตรที่สามารถจะบอกข้อมูลของผู้ตายได้บ้างเลย

จะมีก็แต่แหวนทองที่นิ้วนางข้างซ้ายของศพที่ยังคงสวมอยู่ รูปพรรณสัณฐานที่พอจะบ่งบอกได้คือ ผู้ตายอายุประมาณ 23-24 ปี ผิวขาว หน้าตาดี ตามร่างกายไม่พบบาดแผล มีก็เพียงแต่รอยช้ำที่หัวคิ้วด้านขวา จึงต้องนำศพไปให้แพทย์ชันสูตรหาสาเหตุการตาย

ทางตำรวจจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แล้วจึงให้พวกผมนำศพไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ชันสูตรตามขั้นตอน และตามหาญาติของผู้ตายต่อไป กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเป็นเวลาตี 2 กว่า พวกผมจึงตกลงกันว่าคืนนี้จะพากันไปนอนค้างกันที่บ้านของโจ้เพราะบ้านมันอยู่ใกล้ที่สุด แล้วพรุ่งนี้ค่อยขับรถเข้าศูนย์กัน...อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

ระหว่างทางที่ไปบ้านเจ้าโจ้ พอดีมีร้านข้าวต้มโต้รุ่งเปิดขายอยู่ริมทางฝั่งตรงข้าม เจ้าโจ้จึงจอดรถบอกพวกผมว่าแวะกินข้าวกันเลยก็แล้วกัน เผื่อว่าที่บ้านมันไม่มีอะไรกิน เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้วพอลงจากรถพวกผมจึงพากันเดินข้ามถนนเข้าไปในร้าน (รถจอดฝั่งตรงกันข้ามกับร้าน) จัดแจงหาที่นั่งกันเรียบร้อย

เด็กเสิร์ฟก็นำแก้วมาวาง 5 ใบ น้ำแข็งอีก 1 กระบอก พวกผมจึงสั่งกับข้าวไป 3-4 อย่างพร้อมข้าวต้มและน้ำโพลาลิส 2 ขวด กับข้าว 4 อย่าง ข้าวต้มอีก 5 ถ้วย ผมแปลกใจว่า ทำไมถึงยกข้าวต้มมาให้ถึง 5 ถ้วย ทั้งๆ ที่พวกผมมากันแค่ 4 คน แต่อีกใจก็คิดว่า คนขายอาจจะเผื่อไว้หากใครไม่อิ่มก็หยิบไปกินต่อได้เลย จะได้ไม่ต้องรอให้เสียอารมณ์

สักครู่ใหญ่ๆ พอพวกผมกินอิ่มกันแล้วเจ้าโจ้จึงเรียกคิดเงิน ขณะที่เด็กเสิร์ฟยืนรอเงินอยู่นั้น เขาได้หันมาถามผมว่า... "พี่ นั่นแฟนพี่เหรอ ทำไมพี่ไม่เรียกมากินข้าวด้วยกันละ ตัวเปียกก็เข้ามานั่งในร้านได้ไม่เป็นอะไรหรอก ยืนอยู่ได้ยังไงคนเดียว มืดก็มืด ยุงก็เยอะ" พวกผมได้ยินจึงหันไปมองก็ไม่เห็นมีใคร ผมเลยบอกเขาไปว่าพวกผมมากันแค่ 4 คนเท่านั้น แต่เขาก็ยืนยันว่า มีผู้หญิงตัวเปียกเหมือนไปตกน้ำที่ไหนมายืนอยู่ท้ายรถพวกผม ผมจึงรู้ทันทีว่า...

วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นตามพวกผมมาด้วยแน่ๆ พอจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พวกผมจึงขับรถย้อนไปโรงพยาบาลที่ได้นำศพไปส่งกันไว้อีกครั้ง เมื่อไปถึงจึงจอดรถจัดแจงเปิดท้ายกระบะพร้อมกับพูดขึ้นว่า...

"คุณรออยู่ที่นี่นะไม่ต้องตามพวกผมไปหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ญาติๆ ของคุณก็คงจะมารับแล้วละ ไม่ต้องเสียใจนะ พวกผมช่วยคุณได้แค่นี้นะ" พูดจบ พวกผมจึงขึ้นรถขับมุ่งหน้าไปบ้านเจ้าโจ้ โดยที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ผิดปกติเกิดขึ้นอีกเลย

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : มนต์ เมืองสมุทร

Written by on

Written by on

ผีสูบเลือด

ถ้าเอ่ยถึงภูตผีปีศาจทั้งหลายแหล่ "นางเงือก" ถือว่าเป็นภูตผีชนิดหนึ่งแน่นอน!แม่น้ำบางปะกงที่แปดริ้ว , แม่น้ำท่าจีนที่ปราจีนบุรี หรือแควป่าสักที่สระบุรี เชื่อถือกันว่ามีวังนางเงือกอยู่หลายแห่งบางแห่งก็อยู่คุ้งน้ำเปลี่ยวๆ บางแห่งก็กบดานอยู่ใกล้ๆ ท่าน้ำหน้าวัดนั่นเอง...มีคนเห็นสาวสวยนั่งร้องเพลงอยู่ริมแพ แหงนหน้ามองพระจันทร์ พลางสางผมอย่างเพลิดเพลินไปด้วย พอพายเรือเข้าไปใกล้ คุณเธอก็หันมาส่งยิ้มให้หยาดเยิ้ม จนคนหาปลาหนุ่มๆ ที่มองเห็นนึกว่าโชคดีหลายต่อแน่ๆ คืนนี้น่ะ ไหนจะได้ทั้งปลาครึ่งค่อนลำเรือ ไหนจะมาเจอสาวชาวแพให้ท่ายามดึกอีกต่างหาก

วาดหัวเรือเข้าไปหา...ไม่ช้าก็กระทำการโอ้โลมปฏิโลมจนสาวอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งหน้าเตา ทอดกายให้ชายชมท่ามกลางแสงจันทร์เยือกเย็น ลมพัดวู่หวิว คลื่นเล็กๆ เซาะฝั่ง ฟังแล้วน่าวังเวงใจสิ้นดี!...ก่อนจะจากกันก็ให้สัญญาหนักแน่นว่าจะมาหาตอนดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ทุกคืนไปฝ่ายชายมาหา ฝ่ายหญิงก็รอคอยอยู่ที่เดิมไม่ช้าไม่นานฝ่ายชายก็ค่อยๆ ผอมแห้งแรงน้อย ในที่สุดก็เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้นอกจากนอนแซ่วหมดสติ...ขาดใจตายไปเอง แต่นางเงือกก็ยังนั่งอาบแสงจันทร์ สางผมด้วยหวีก้างปลาพลางร้องเพลงรอชายคนใหม่...คนที่จะตกเป็นเหยื่อต่อๆ ไปไม่มีวันสิ้นสุดจะเรียกว่า "ผีดูดเลือด" ก็คงไม่ผิดนักในตำนานของจีนกับญี่ปุ่นก็มีผีสูบเลือดในรูปแบบต่างๆ อยู่มากมายเช่นกัน! ผีของจีนนั้นมักชอบเหยียดแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้าแล้วก็โดดตุ๊บๆ ไม่เดินเหินหรือล่องลอยไปได้

ง่ายๆ เหมือนผีชาติอื่น เพราะเชื่อกันว่าคนตายย่อมถูกมัดมือมัดเท้า แม้ว่าเมื่อแผลงฤทธิ์ขึ้นจากหลุมมาได้ เชือกก็ยังผูกมัดตามเดิมเพราะถูกสะกดด้วยอาคมไว้แน่นหนา ยกเว้นผีที่มีฤทธิ์แก่กล้ายิ่งกว่านั้นถึงจะหายตัวได้ หรือเดินเหินถือโคมดอกโบตั๋นไปหาคนรักได้สบายบรื๋อส่วนผีสาวที่ไปหาคนรัก ก็มักจะหาโอกาสสูบเลือดกินวันละเล็กละน้อย เหมือนเป็นสาวกแดร็กคิวล่า ไม่ช้าไม่นานหนุ่มเจ้ากรรมที่อุตริไปรักผีก็โดนดูดเลือดจนแห้งแหงแก๋...กลายเป็นผีไปจนได้...ผีญี่ปุ่นในสมัยโบราณก็เหมือนกัน! ทั้งในป่าและในน้ำที่มาร่วมรักกับหนุ่มบ้าง สะกดให้หมดสติแล้วกัดคอดูดเลือดบ้าง ไม่ช้าก็เลือดหมด มีแต่น้ำอยู่แทนที่ จนซินแสที่มารักษาแทบจะขาดใจตายเพราะความหวาดกลัวสุดขีดนางเงือกของญี่ปุ่นมีแต่หน้าเป็นคน ลำตัวเป็นปลา อยู่ในทะเลกับแม่น้ำคล้ายเงือกไทย แต่ที่แตกต่างกว่าก็คือมีเงือกผู้ชายด้วยน่ะ

มีเรื่องเล่าว่า ชาวประมงผู้หนึ่งในจังหวัดฟุคุอิ เป็นพ่อม่ายลูกสาม วันหนึ่งจับเงือกได้ แต่เธอวิงวอนให้ปล่อยไปเถิดนึกว่าเอาบุญ เพราะยังมีลูกเล็กๆ รอกินนมอยู่ (แปลว่าเงือกมีผัวแน่) แต่ชาวประมงไม่แยแสต่อคำวิงวอนนั้น กลับฆ่านางเงือกแล้วแล่เนื้อใส่ถังไว้ แล้วออกไปหาปลาต่อฝ่ายลูกๆ เห็นเนื้อในถังก็เข้าใจว่าเป็นเนื้อปลา เลยจัดการเอามาทำอาหารกิน...ต่อมาเด็กๆ ทั้งสามคนก็กลายเป็นเงือกทั้งหมด เชื่อกันว่าโดนนางเงือกสาปแช่งเอาไว้ก่อนที่เธอจะสิ้นใจไม่ช้าเงือกน้อยทั้งสามก็ล้มตายกันจนหมด! ชาวประมงผู้นั้นสลดใจนัก นึกถึงเวรกรรมของตนขึ้นมาได้ จึงเลิกจากอาชีพจับสัตว์น้ำ เดินทางไปอยู่เมืองนางาโนะ ปลูกต้นไม้ 3 ต้นเพื่อให้วิญญาณบุตรทั้งสามได้อยู่อาศัย กับทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลให้นางเงือกกับลูกๆ ของตนจนสิ้นอายุขัย

ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ข่าวสด

Written by on

Written by on

เด็กดอง

ช่วงที่เรียน ป.ตรี เราเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งตึกที่เรียนเป็นอาคาร 4 ชั้น เราเรียนอยู่ชั้น 3 และชั้น 2 ซึ่งชั้น 2 เป็นแผนกชีววิทยา ห้องชีวะที่นี่ก็จะเหมือนที่อื่นๆ คือ มีอุปกรณ์ทดลอง มีโหลสัตว์ดอง เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน

เวลาเราทำการทดลองวิชาชีวะ จะต้องลงมาทำที่ชั้น 2 ช่วงขึ้นปี 3 เราเรียนหนักมากและการทดลองแต่ละตัวต้องทำจนดึกจนดื่น บางทีก็ทำงานกลุ่ม บางทีก็ทำงานเดี่ยว ถ้าใครทำงานช้าก็ต้องอยู่ดึกทำงานให้เสร็จ ถ้าดีหน่อย ใครมีแฟนเรียนที่เดียวกันก็จะมีคนอยู่ช่วยทำงาน

วันนั้น เราและนกต้องอยู่รอผลการวิเคราะห์น้ำ เราทำงานกันในห้องเรียนชีวะ ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มแล้วผลจะออกก็ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง นกหิวข้าวจึงขอลงไปที่มินิมาร์ทข้างล่าง สงสัยจะหิวมากเห็นรีบวิ่งลงไปอย่างไว

ส่วนเรานั่งเขียนการบ้านรออยู่ในห้องและต้องเฝ้างานด้วย ลักษณะของห้องจะมีตู้สื่อการสอนและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่รอบๆ ห้อง ส่วนตรงกลางเป็นโต๊ะแลปยาวรอบห้อง เรานั่งทำงานที่โต๊ะแลปและหันหลังให้ตู้เก็บสื่อการสอน ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้มองว่าในตู้มีอะไรอยู่

นั่งทำงานเพลินๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง เราก็ไม่ได้สนใจ นั่งทำงานต่อ สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กหัวเราะอยู่ข้างหลัง ตอนแรกก็คิดว่าหูแว่ว ไอ้นกก็ไม่ขึ้นมาซักที เรานั่งต่อไปเรื่อยๆ จู่ๆ ไฟในห้องก็ดับพรึ่บ ยกเว้นตู้อบที่เราทำการทดลอง เรากำลังจะเดินออกมาดู ว่าข้างนอกไฟดับหรือเปล่าพอเดินมาถึงประตู เราเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่หน้าระเบียง
เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก แต่แปลกที่เค้าไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงตัวเดียว เราสังเกตเห็นที่ข้อเท้าขวาของน้องเค้าสวมกำไลเล็กๆ อยู่ แต่ไม่รู้ว่าใช่ทองหรือเปล่าเพราะมันมืด ตอนนั้นก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว เด็กที่ไหนจะมาวิ่งเล่นแถวนี้ เราจึงเดินไปหา เด็กคนนั้นหันมาชวนให้เราเล่นด้วย บอกว่าเห็นพี่นั่งอยู่คนเดียว หนูเหงาอยากให้เล่นเป็นเพื่อน เราบอกเค้าว่าเรากำลังทำงานอยู่ ต้องคอยดูงานแล้วไฟก็ดับด้วย ไม่รู้ว่างานพี่เสียรึเปล่า เค้าบอกเราว่างานพี่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหนูช่วยเองตอนนั้น เรามีความรู้สึกงงๆ เบลอๆ ยังไงบอกไม่ถูก แต่เราก็นั่งเล่นกันอยู่ที่หน้าระเบียง น้องเค้าบอกเราว่า เค้าเหงาไม่มีเพื่อนเล่นและคิดถึงแม่ด้วย ตอนนั้นเราก็แปลกใจอยากจะถามว่าเค้าเป็นลูกใครและมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ถามเค้าบอกว่า พี่มาเล่นด้วยเค้าสนุกและมีความสุขมาก...อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

เรานั่งเล่านิทานให้เค้าฟังไปหลายเรื่อง จนน้องเค้าหลับไปบนตักของเรา เราก็กำลังจะเคลิ้มๆ จะหลับเหมือนกัน แต่ก็ต้องตื่นเพราะเจ้านกมาโวยวายว่าให้เฝ้างานนิดเดียวดันหลับซะได้ไม่รู้งานเสียหรือเปล่า นั่งหลับไปนานรึยังเนี่ย ถ้าผลแลปเสียหายนะจะด่าให้

เราตื่นขึ้นมาก็งงๆ ถามนกว่าเด็กคนนั้นไปไหนแล้ว นกก็งงว่าเด็กที่ไหน เรายืนยันกับนกว่ามีเด็กมาเล่นกับเราจริงๆ เมื่อกี้ยังนอนหนุนตักเราอยู่เลย นกบอกว่าเราบ้าไปแล้วใครจะมานอนหนุนตักเราได้ เพราะเรานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียว ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ

นกจึงเดินไปดูผลแลป และเก็บอุปกรณ์เพราะเกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว อยากกลับบ้านเต็มที เรามานั่งนึกดูดีๆ ตอนแรกเรานั่งอยู่กับเด็กคนนั้นที่หน้าระเบียงนี่นา แล้วเรามาอยู่ในห้องได้ยังไง ตกลงเราฝันหรืออะไรกันแน่ พอดีนกเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาหาเรา เราก็ยังพูดเรื่องเด็กคนนั้นอยู่เพราะเราสงสัยมาก

นกคงรำคาญจึงแกล้งพูดว่า สงสัยเป็นเด็กที่อยู่ในขวดโหลข้างหลังแกมั้ง พอนกพูดแบบนั้นเราจึงหันไปมองในตู้สื่อการสอน ตอนนั้นเรารู้สึกอยากจะเป็นลมไม่อยากรับรู้อะไรเลย มันเย็นวูบไปทั้งตัว

ในนั้นมีเด็กดองในขวดโหล เป็นเด็กผู้ชายที่มีอวัยวะครบถ้วน แถมที่ข้อเท้าขวายังใส่กำไลเล็กๆ เหมือนน้องคนนั้นที่มาเล่นกับเราเลย และข้างๆ ขวดโหลมีพวงมาลัยเล็กๆ วางอยู่ด้วย ขวดโหลนี้เราไม่เคยเห็นเลย มันมาวางตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะส่วนใหญ่มีแต่ขวดโหลสัตว์ชนิดต่างๆ

ตอนนั้น เราพอจะเดาออกแล้ว ว่าเรื่องที่เราเจอมันคืออะไร เราพยายามตั้งสติ (เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ต้องเชื่อเรื่องที่พิสูจน์ได้เท่านั้น) เราชวนนกกลับบ้าน เราพยายามอย่างมากที่จะต้องเดินให้ปกติที่สุด แต่ในใจเราอยากจะวิ่งให้ป่าราบไปเลย พอถึงบ้าน เราเล่าเรื่องทุกอย่างให้นกฟัง นกไม่มีท่าทีสงสัยเลย นกบอกว่าเค้าเจอกันมาเยอะแล้วแต่ไม่ได้เล่าให้เราฟัง ไอ้ที่ลงไปซื้อของน่ะ นกโกหกเรา นกแค่ลงไปตั้งสติ เพราะตอนที่เรานั่งหันหลังทำการบ้านอยู่

นกเห็นเด็กที่อยู่ในขวดโหลขยับตัวและโบกไม้โบกมือให้นก นกเลยรีบลงไปตั้งสตินั่งอยู่ข้างล่างกับลุงยาม กว่าจะทำใจได้กะว่าจะมาตอนผลแลปออกพอดี มิน่าล่ะ พอนกกลับขึ้นมาก็รีบเก็บของใหญ่เลย

วันหลัง เราได้รู้มาว่าศพน้องคนนี้เป็นลูกของอาจารย์ในมหาลัยนี้แหละ แต่พอดีคลอดก่อนกำหนดทำให้เสียชีวิต พ่อแม่เค้ายังทำใจไม่ได้จึงมอบศพให้คณะวิทย์เพื่อทำการดองไว้ เวลาพ่อแม่คิดถึงจะได้มาเยี่ยมได้ เฮ้อก็ยังดีนะ ที่เราเจอแค่ในฝันและมาแบบดีๆ ถ้าเราเจอแบบอื่นสงสัยคงช็อกไปแล้ว แต่ที่เจ็บใจก็เจ้าเพื่อนตัวดีนี่แหละ ฮึ่ม...

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : Safety

Written by on

Written by on

วิญญาณบนรางรถไฟ

ในช่วงปิดเรียนปลายเดือนมีนาคม 2549 ผมมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยม "ลุงศักดิ์" ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง มีบ้านอยู่ในเขตจังหวัดอุดรธานี ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ประมาณ 17 กิโลเมตร ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะมีเส้นทางพาดผ่านรางรถไฟด้วย ชาวบ้านที่นั่นต้องสัญจรไปมาเป็นประจำทุกวัน
หลังจากที่มาพักอยู่บ้านลุงศักดิ์ได้เพียง 3 วัน ก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เมื่อมีขบวนรถไฟพุ่งชนกับรถเก๋งในช่วงตอนสายวันหนึ่งพอทราบข่าวผมก็ได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปดูเหตุการณ์กับลุงศักดิ์ครั้งนั้นด้วยพอไปถึงก็พบเห็นสภาพรถเก๋ง ที่ถูกขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ-หนองคาย ชนพังยับติดอยู่กับหัวรถจักร คนขับรถเก๋งเป็นชายเคราะห์ร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับหน่วยกู้ภัย ต้องช่วยกันงัดร่างโชกเลือด ออกมาจากซากรถเก๋ง ที่กลายเป็นเศษเหล็กคันนั้นด้วยความทุลักทุเล

มาทราบภายหลังว่า เป็นพนักงานเซลล์แมนขายสินค้าขับรถผ่านเส้นทางดังกล่าว ที่ไม่มีสิ่งกีดกั้นเป็นสัญญาณเตือนใดๆ แล้วเครื่องยนต์ก็เกิดขัดข้องและดับลงอย่างกะทันหันกลางรางรถไฟ เป็นจังหวะเดียวกันกับขบวนรถเร็วผ่านมาพอดีจึงถูกพุ่งชนอย่างรุนแรง ทำให้เสียชีวิตอย่างน่าอนาถใจ ก่อนจะมีการชักลากรถเก๋งออกจากที่เกิดเหตุ นับเป็นเรื่องน่าเศร้าใจมากวันเวลาผ่านพ้นไปได้เพียงอาทิตย์เดียว ผมตั้งใจจะเดินทางกลับบ้านในอีกวัน 2 วันข้างหน้า จึงคิดอยากจะออกไปเที่ยวเตร่ในตัวเมืองสักครั้งหนึ่ง

วันนั้นช่วงหัวค่ำผมก็ได้ขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของลุงศักดิ์ขี่ออกไปเที่ยวยังร้านอาหารชื่อดังในตัวจังหวัดเพียงคนเดียว แล้วได้นั่งดื่มกินที่ร้านนั้นจนเกือบ 5 ทุ่ม จึงเดินทางกลับโดยขี่รถมาตามถนนลาดยาง เส้นทางเดิมเหมือนตอนขาไป จนขี่มาถึงปากทางแยกเข้าหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากทางแยกไปประมาณ 1 กิโลเมตร โดยต้องผ่านเส้นทางตัดผ่านข้ามทางรถไฟ
ขณะที่ผมขี่รถมาจวนจะถึงบริเวณถนนที่มีรางรถไฟตัดผ่านเหลือระยะทางอีกแค่ 20 เมตรเห็นจะได้ ก็ให้บังเอิญรถมอเตอร์ไซค์ที่ขี่มาเกิดเครื่องรวนและกระตุก 2-3 ครั้ง คล้ายว่าหัวเทียนจะบอดยังไงยังงั้นก่อนที่รถจะดับลงทันที พร้อมแสงไฟหน้ารถที่สาดส่อง ก็ลอยดับวูบลงเช่นกันตอนนั้นดูว่าบรรยากาศจะเงียบเชียบและวังเวงชอบกลไม่มีรถราวิ่งผ่านไปมาให้เห็นเลยสักคันเดียว คิดว่าคงจะดึกมากแล้ว ประกอบกับเส้นทางนั้นค่อนข้างเปลี่ยวด้วย ยังดีที่มีพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าที่สาดส่องแสงนวลกระจ่างลงมาเบื้องล่าง พอให้มองเห็นอะไรได้บ้างผมชะลอรถก่อนจะแตะเบรกหยุดรถแอบข้างทาง คิดในใจว่าหัวเทียนคงจะบอดทำนองนั้น จึงได้จัดแจงนำเอากุญแจมาไขที่ใต้เบาะรถ แล้วหยิบเอาถุงเครื่องมือออกมาไขหัวเทียนโดยนั่งยองๆ ขัดไปมาก้มๆ เงยๆ ไม่นาน หูก็เกิดได้ยินเสียงคล้ายคนเคาะอะไรดังแว่วๆ มา อยู่บริเวณแถวๆ นั้น ผมจึงเหลียวซ้ายแลขวา เพื่อหาที่มาของเสียงประหลาด ฟังจนแน่ใจว่าดังมาจากตรงทางรถไฟข้างหน้าแน่จึงค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นดู

พลัน! สายตาของผมก็มองไปกระทบเข้ากับร่างขาวโพลนร่างหนึ่ง เห็นกำลังโน้มตัวเคาะรางรถไฟเสียงดังแปร๊งๆๆๆ ติดต่อกัน ชักเอะใจว่าใครกันดึกดื่นป่านนี้แล้วยังมาทำพิเรนทร์เคาะอยู่ได้ จึงได้ผละจากรถตัวเองแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปดู ว่าร่างที่เห็นต่อหน้านั้นทำอะไรกันครั้นพอผมก้าวเดินเข้าไปหาช้าๆ สายตาจ้องมองร่างนั้นอย่างไม่กะพริบ เหลืออีกแค่ประมาณ 5 เมตรเท่านั้นทันใดนั้นผมก็ต้องเบิกตากว้างตกตะลึง หยุดชะงักเท้าอยู่กับที่ ขวัญผวาจนขนลุกซู่อย่างอัตโนมัติ เมื่องมองไปเห็นร่างชายเบื้องหน้าที่ชุ่มโชกด้วยเลือดเปรอะไปทั้งตัว ก่อนร่างของชายคนนั้นจะหยุดทุบรางรถไฟแล้วยืนขึ้นก่อนหันหน้ามาทางผมพอผมเห็นก็จำได้ว่าเป็นร่างเดียวกับชายที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟพุ่งชนรถเก๋งเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง สักพักร่างนั้นก็หันหลังเดินไปตามรางรถไฟเรื่อยๆ ห่างออกไป แล้วเลือนหายวับไปกับความมืดสลัวในยามราตรีกาลนั้นผมยืนตกตะลึงอยู่ตั้งนานก่อนที่สติจะกลับคืนมา จึงรีบวิ่งเผ่นหนีแบบลืมตัวออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านด้วยอาการขวัญกระเจิดกระเจิงหวาดกลัวอย่างหนัก

ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on

Written by on

สยองขวัญชั้นที่ 16

ผมกราดไฟฉายในมือไปตามซอกมุมที่มืดสนิท ตามหลังเสาคอนกรีตขนาดใหญ่แบบสี่เหลี่ยม ที่เรียงรายเป็นแนวไปจนสุดตึก ของลานจอดรถชั้นที่ 14ช่วงเวลา 5 ทุ่มครึ่งแบบนี้ไม่มีรถจอดอยู่เลยสักคัน มันเหมือนตึกร้างชัดๆ มีเพียงแสงไฟจากนีออนที่ติดให้ความสว่างอยู่เป็นช่วงๆ ความยาวของลานจอดรถในแต่ละชั้น ประมาณ 300 เมตร ทั้งลานจอดรถเงียบสงบและว่างเปล่า อาจเรียกได้ว่าทั้งชั้นที่ 14 นี้ มีเพียงผมที่เป็นสิ่งมีชีวิตเดินอยู่ในขณะนี้ ผมได้รับคำสั่งด่วนจากหัวหน้าสายงาน ให้มาเข้าเวรแทนเพื่อนยาม ที่ทำงานอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวไม่ทันได้ตั้งตัว และคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่ผมได้เข้าเวรแทนยามคนเก่าที่ลาป่วยกะทันหัน ผมมีหน้าที่เดินตรวจรับผิดชอบลานจอดรถ ตั้งแต่ชั้นที่ 13 ขึ้นมาตึกลานจอดรถหลังนี้มีทั้งหมด 18 ชั้น มียาม 3 คน รับผิดชอบคนละ 6 ชั้น ตึกลานจอดรถนี้อยู่หลังตึกใหญ่ที่ใช้เป็นอาคารสำนักงานราว 100 กว่าบริษัท โดยมีสะพานเชื่อมต่อเดินไปตึกหน้าได้ทุกๆ 5 ชั้น ซึ่งมันคงจะผิดกับยามเช้าจรดเย็น ที่ทั้งลานตึกคงจะเต็มไปด้วยรถและผู้คน แต่ในยามนี้ทุกสิ่งกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เสียงรองเท้าหนังคอมแบตของผมที่เดินอยู่ในลานจอดรถ ดังก้องจนได้ยินชัดเจน ผมถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องมาเดินเฝ้าลานจอดรถว่างเปล่านี้ จนเดินมาถึงสุดทางเดินก็เดินขึ้นทางลาดเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่ 15 ซึ่งก็คงจะเหมือนๆ กับชั้น 13-14 ที่ผมเดินผ่านมาแล้วเมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นที่ 15 มองไปสุดทางเดินซึ่งมืดเป็นช่วงๆ ที่แสงไฟนีออนส่องไปไม่ถึง เกือบสุดทางเดินของชั้นนี้ ผมเห็นมีไฟนีออนที่ติดเพดานมีแสงไฟดับๆ ติดๆ อยู่ดวงหนึ่ง ผมจิ๊กปากพร้อมส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย บ่นกับตัวเองงเบาๆ "นี่มันจะให้เรามาเดินเฝ้าอะไรวะ ตลอดทั้งตึกนี้รถก็ไม่มีสักคัน หรือกลัวโดนขโมยหลอดไฟนีออนวะนี่"

แม้จะเบื่อแต่มันก็เป็นคำสั่ง และเป็นหน้าที่อาชีพของยาม หรือ ร.ป.ภ. แบบผมนี้ ผมออกเดินส่องไฟฉายในมือ กราดแสงส่องสลับขวาทีซ้ายทีไปเรื่อยๆ แบบเซ็งๆ รอบๆ ตึกก็เป็นสวนผสมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะตึกนี้ตั้งอยู่แถบชานเมือง ซึ่งผิดกับตึกในใจกลางกรุงเทพฯที่รอบๆ ตึกยังพอมีแสงสีให้เห็นบ้างแม้จะดึกสงัด ผิดกับตึกหลังนี้ลิบลับทั้งไกลจากตัวเมือง และยังอยู่ห่างจากทางด่วนยกระดับ ที่ทอดตัวอยู่ห่างออกไปเกือบ 2 กิโล มองเห็นยาวสุดสายตาไกลออกไปจนผมเดินตรวจมาถึงช่วงกลางลานจอดรถ จึงได้ยินเสียงดังหึ่งๆ เบาๆ เมื่อมองดูจึงเห็นผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่ง บินเล่นไฟนีออนอยู่เสียงปีกของมันดีดตีหลอดนีออนดังหึ่งๆ เบาๆ แต่ชัดเจนในความเงียบสงัดนี้ ผมยืนมองดูเจ้าผีเสื้อกลางคืนบินเล่นไฟอยู่เพลินๆ เสียงเครื่องวิทยุสื่อสารที่ผมถืออยู่ในมือซ้ายก็ดังขึ้น จนผมสะดุ้งสุดตัว อ่านต่อ ตอน2..

ตอน 2 !!!

"หมายเลข 3 ตอนนี้อยู่ชั้นไหน...เปลี่ยน"ผมเป่าลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมทั้งจิ๊กปากเบาๆ อย่างหัวเสียเล็กน้อย แต่ก็พูดตอบไปว่า"ผมอยู่ที่ชั้น 15 ครับ...เปลี่ยน...มีอะไรหรือเปล่า...เปลี่ยน"เสียงเรียกมาเงียบไปสักครู่ จนผมต้องกดปุ่มถามย้ำไปอีกครั้ง เสียงหัวหน้าสายงานจึงตอบกลับมาว่า"ชั้นที่ 16 เดินผ่านไปเลยก็ได้...เปลี่ยน...ถ้าไม่มีอะไร...ไปดูชั้น 17-18 เลยก็ได้...เปลี่ยน"คำสั่งนี้ทำเอาผมฟังแปลกๆ ทำไมไม่ต้องเดินตรวจชั้นที่ 16 ก็ได้ แต่ชั้นที่ 17 กับ 18 กลับสั่งให้ผมเดินตรวจไปตามปกติ แต่ผมก็ไม่ได้พูดหรือซักถามอะไร กดปุ่มพูดรับทราบจากนั้นก็เดินต่อไปจนสุดทางเดินตึก ก็ถึงทางลาดขึ้นสู่ชั้นที่ 16 ซึ่งต้องแปลกใจที่ชั้น 16 นั้นมืดสนิท ผมกราดไฟฉายขึ้นไปดู ทั้งชั้นของลานจอดรถชั้นที่ 16 มืดสนิท เพราะตลอดเส้นทางไม่มีไฟนีออนติดให้ความสว่างอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียว ผมยืนมองไปตามแนวยาวของลานจอดรถที่มืดมิดนั้น มองเห็นเสาที่เรียงรายไปตาม 2 ฝั่งของลานจอดรถ ไกลออกไปในความมืด มีเพียงแสงดาวที่สาดส่องเข้ามาบ้าง ที่พอช่วยให้เห็นอะไรๆ ได้เลือนราง

"มิน่า...อย่างนี้เองที่บอกว่าไม่ต้องเดินตรวจชั้นนี้ก็ได้ มันมืดเพราะไม่มีไฟอย่างนี้เอง"ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ขยับตัวจะเดินขึ้นชั้นที่ 17 ต่อไป แต่มือก็ยังส่องไฟฉายที่พุ่งเป็นลำ กราดไปตามเสาด้านขวาที่ไกลออกไปราว 5-6 ต้น ผมต้องชะงักกึก เมื่อแสงไฟฉายวาดกวาดผ่านร่างหนึ่ง ที่หลบแว่บเมื่อแสงไฟฉายกราดผ่านไป จนผมต้องขยับมือกราดแสงไฟฉายกลับไปที่เสาต้นนั้น ซึ่งร่างลึกลับนั้นหลบวูบเข้าไปผมค่อยๆ ขยับหันหน้ามองอย่างจริงจัง มองตามวงแสงไฟฉายที่จับอยู่ที่เสาต้นนั้นนิ่งไว้ และพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดไปด้วย เพราะห่างจากแสงไฟฉายออกไป ก็แทบจะไม่เห็นอะไรอีกนอกจากภาพเลือนรางเท่านั้น"ใครน่ะ...ใครอยู่ตรงนั้น...ขึ้นมาทำอะไรบนนี้...ออกมา"ผมตะโกนออกไป จนเสียงของผมสะท้อนก้องไปทั้งชั้น และค่อยๆ สืบเท้าช้าๆ เข้าไป ไม่แน่ใจว่าคนที่แอบนิ่งอยู่หลังเสาต้นนั้น จะมีอาวุธอย่างมีดกับปืนหรือเปล่า เพราะที่ตัวผมมีเพียงกระบองไม้อันเดียว ที่ห้อยติดอยู่ในปลอกหนังข้างเอวซึ่งตอนนี้ผมดึงขึ้นมาถือมันไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายกลับมาถือไฟฉายแทน และนำวิทยุสื่อสารเหน็บเข้าที่เอวแบบเตรียมพร้อมผมยังคงส่องจี้ไฟฉายอยู่ตรงนั้น
ไม่เปลี่ยนที่ เดินชิดซ้ายให้ห่างจากด้านขวาที่เสาเป้าหมายนั้นตั้งอยู่ ผมเดินช้าๆ จนใกล้มาถึงเสาที่อยู่ตรงข้ามกับเสาต้นนั้น ผมจึงเดินหลบเสาต้นที่ตรงกับเสาต้นนั้นอ้อมพรวดออกมาส่องไฟไปที่หลังเสาต้นนั้นกลับว่างเปล่า ผมค่อยๆ ฉายกราดแสงไฟรอบๆ บริเวณนั้น แต่ก็ไม่มีสิ่งใดแม้แต่แมวสักตัว ผมเดินเข้าไปที่เสาต้นนั้นส่องไฟฉายดูให้มั่นใจ ผมถอนใจ

อย่างโล่งอกบ่นเบาๆ "ตาฝาดไปเองแหงๆ เลยเรา"และไหนๆ ก็เดินมาถึงตรงนี้แล้ว อันเป็นจุดที่เกือบจะกลางทางลานจอดรถแล้ว ก็เดินไปให้สุดเสียเลยก็แล้วกันเมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงเดินต่อไป เสียงสะท้อนจากเท้าของผมที่เดินแต่ละก้าวดังกึกๆ สะท้อนชัดเจนเพราะผมใส่แผ่นเหล็กสำหรับกันรองเท้าสึก ไว้ที่สันรองเท้าทั้ง 2 ข้างของผมแต่มีบางจังหวะที่ผมรู้สึกว่ามันแปลกไปผมเดินไป 3 ก้าว เสียงก็ควรจะดัง 3 ครั้งตามจังหวะพอดีที่ผมเดินแต่ผมกลับรู้สึกได้ยินเหมือนกับว่า เสียงย่ำเดินของผมมันดันดังเกินไปผมจึงลองเดินใหม่ โดยเดินออกไป 4 ก้าวติดๆ กัน เสียงสุดท้ายคือเสียงที่ 4 ซึ่งควรเป็นเช่นนั้น แต่นี่มันกลับมีเสียงกึกๆ เกินมาถึง 2 ครั้ง ผมใจวูบ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว กลั้นใจค่อยๆ หันไปด้านหลัง ส่องกราดแสงไฟฉายไปที่ด้านหลังทั่วๆ แต่ทุกอย่างว่าเปล่า และเงียบสงัดจนหูแทบอื้อผมค่อยๆ ขยับตัวเองเดินถอยหลังช้าๆ อย่างไม่ไว้ใจ พอเท้าก้าวเดินออกไปได้ 2-3 ก้าว เสียงเกินนั้นคราวนี้ดังเกินมาหลายครั้งราวกับใครเอาช้อนกินข้าวที่ทำจากสแตนเลสมาตีกันถี่ๆ อ่านต่อ ตอนจบ..

ตอนจบ !!

ในตอนนี้ผมมาหยุดเดินอยู่ตรงกึ่งกลางของลานจอดรถพอดี ทั้งหน้าหลังเป็นทางยาวที่หายเข้าไปในความมืดราวกับไม่มีทางสิ้นสุด และไม่ว่าจะคิดไปทางงด้านไหนก็รู้สึกว่ามันเหมือนจะไกลออกไปราว 10 กิโลเมตรผมรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นในใจ และทำให้เท้าทั้ง 2 ข้างของผมนั้น นักราวกับถูกถ่วงด้วยหิน ในใจผมนั้นไม่อยากที่จะเดินเสียด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะหันเดินไปทางไหน ผมก็คิดว่ามันน่ากลัวทั้ง 2 ทาง มันเหมือนติดกับที่ถูกวางเอาไว้ เพราะลานจอดรถที่นี่เป็นทางยาวตลอด ไม่มีทางช่วงกลางให้รถขึ้นลงได้ อย่างตึกอื่นๆ ที่ผมเคยพบเห็นมาไฟนีออนที่ดับทั้งชั้นทำให้ทั้งช่วงเสาและทางวิ่งรถมืดราวขุมนรก แม้จะอยู่ถึงชั้นที่ 16 แต่ไม่มีลมพัดเข้ามาถูกตัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมรู้สึกร้อนอ้าว จนเหงื่อไหลทั้งหน้าและทั้งตัว แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นเหงื่อที่เกิดจากความร้อนของบรรยากาศหรือว่ามันเกิดจากความกลัวของผมกันแน่ผมค่อยๆ ใช้ไฟฉายกราดไปทั่วๆ ทุกมุมที่จะผ่านไป มือขวาที่กำกระบองไม้ไว้แน่นนั้น ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกได้ ผมรีบหันกราดไฟฉายกลับหลัง เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติมาจากทางด้านหลังมันเป็นเสียงเหมือนคนเอาเหล็กแหลมๆ หลายๆ อันทิ่มพื้นหรือผนังดังถี่ๆ พอผมฉายไฟไปตามทิศทางนั้นเสียงนั้นก็หยุดไปในทันที แต่พอผมขยับเดิน เสียงนั้นก็ดังตามหลังมาเรื่อยๆ มันดังก้องไปทั้งชั้น ดังเข้าไปที่ในหัวใจของผมด้วย

ผมเดินถอยหลังช้าๆ เพื่อจะดูว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นอะไร และจะดังอีกไหม ผมเดินหันหลังดูมันอยู่อย่างนี้แต่พอผมขยับขาเดินถอยหลังไป 3-4 ก้าว เสียงนั้นก็ดังตามมาติดๆ ผมหยุดกราดแสงไฟฉายไปทั่วลานทั้งกลับไปกลับมา แต่ทุกอย่างทั้งบริเวณก็ไร้วี่แววสิ่งใดแต่แว่บหนึ่งผมเห็นบางอย่างห้อยลงมาจากเพดานปูนตรงกลาง ในชั้นแรกที่ผมไม่เห็นนั้น เพราะผมมัวแต่ส่องทางพื้นราบ แต่ช่วงหนึ่งที่ขอบแสงไฟฉายกราดสูงขึ้น จึงเห็นบางอย่างห้อยลงมาผมตัวแข็งไม่กล้าแม้จะยกไฟฉายขึ้นส่อง แต่จากสายตาผมเริ่มชินกับความมืดมากขึ้น ทำให้เห็นรางๆ ว่าสิ่งที่ห้อยลงมานั้น เป็นเส้นที่พลิ้วไหวได้และดูยังไงผมก็ดูออกว่า นั่นต้องเป็นเส้นผมของคน และความยาวแบบนั้นต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่จะมีผู้หญิงแบบไหนที่ขึ้นไปติดอยู่บนเพดานแบบนั้นได้ผมเพ่งสายตามองขึ้นไปเห็นเป็นรูปร่างตะคุ่มๆ ในความมืดสลัวนั้น มันเหมือนร่างนั้นนอนราบคว่ำอยู่กับพื้น แต่มันเป็นพื้นบนเพดานราวกับแมงมุมยักษ์ที่เกาะเพดานอยู่ยังไงยังงั้น มีเพียงส่วนผมที่ห้อยลงมาเท่านั้นความกลัวทำให้ผมเดินถอยหลังอย่างลืมตัวไปด้านหลัง 2-3 ก้าว ส่วนสายตาของผมก็จับนิ่งอยู่ที่ร่าง ที่ติดหนึบนิ่งอยู่บนเพดานนั้นเขม็ง

และคุณพระคุณเจ้าช่วยร่างนั้นขยับคลานมากับเพดาน ราวกับคลานบนพื้นด้านล่างธรรมดาๆ ตามมาด้วยเสียงที่เหมือนเหล็กแหลมแทงพื้นหรือผนัง ก็ดังมาจากร่างบนเพดานนั่นเอง มันเป็นเสียงที่เกิดจากเล็บปลายนิ้ว ที่คงแหลมคมจิกพื้นเพดานคืบคลานมานั่นเองแต่พอผมหยุด ร่างนั้นก็หยุดด้วย และนิ่งงอยู่อย่างนั้นแต่หากว่าถ้าผมหันหลังและออกวิ่งสุดฝีเท้าล่ะ ผมไม่กล้าคิด ผมถอยหลังมาเรื่อยๆ ช้าๆ ร่างนั้นบนเพดานก็คลานตามมาช้าๆ เช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับเสียงแก๊กๆ นั่นด้วยมันนานราวเป็นชั่วโมงหรือาจกว่านั้น จนผมถอยมาอีกไม่เกิน 2 ก้าว หลังผมจะติดผนังสุดทางลานจอดรถผมจึงหยุดและตัดสินใจเด็ดขาด ยกไฟฉายในมือขึ้นส่องไปที่ร่างบนเพดานนั้นแบบเต็มๆและภาพนั้นทำให้ผมผงะถอยหลัง ล้มลงก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น เพราะบนเพดานนั้นเป็นร่างของผู้หญิงในชุดนอนสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้านั้นเน่าเฟะ เนื้อหนังหลุดห้อยจนเห็นกระดูกหน้าขาวบางส่วน แต่ดวงตากลับยุบหายโบ๋เข้าไปทั้งสองข้าง อ้าปากส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั่วและคืบคลานเข้ามาหาผม พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบๆ ก้องไปทั้งชั้นที่ 16 ผมหลับตาเมื่อเห็นใบหน้าเน่าเฟะนั้น ยื่นใกล้ลงมาที่ผม และสติของผมก็ดับวูบลงแค่นั้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีดผมมาตื่นขึ้นที่ห้องพักยามชั้น 1A และได้รับรู้ความจริงว่า ชั้นที่ 16 นั้นเคยมีการฆ่ากันตาย โดยสามีของผู้หญิงเองพาเมียตัวเองขึ้นมาฆ่าทิ้งบนชั้นที่ 16 นี้เมื่อปีที่แล้ว หลายคนเจอดีแบบผมมาแล้วเช่นกันครับ

ขอขอบคุณ นิตยสารผี ๔๘

Written by on

Written by on

ผีตายโหงจอมเฮี้ยน

5 โมงเย็นของวันนั้นรถโดยสารที่วิ่งจากจังหวัดร้อยเอ็ด จะเดินทางไปจังหวัดอุบลฯ รถโดยสารในครั้งนั้นยังไม่มีรถ บขส.อย่างในปัจจุบัน คงยังเป็นรถของเอกชน ที่ได้สัมปทานวิ่งระหว่างจังหวัดกับจังหวัด ส่วนมากรถโดยสารจะตั้งชื่อไพเราะทั้งนั้น
วันนั้นรถจุฑาทิพย์วิ่งจากจังหวัดร้อยเอ็ดไปจังหวัดอุบลฯ ผ่านตัวอำเภอเสลภูมิได้ประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ หน่อย ผ่านดอนปู่ตาของอำเภอเสลภูมิประมาณ 200 เมตร เงินในกระเป๋าของผู้โดยสารคนหนึ่ง ซึ่งนั่งมาบนหลังคารถ ได้หล่นปลิวลงไปจำนวน 30 บาทจะด้วยความเสียดายหรืออะไรไม่มีใครทราบได้ ชายหนุ่มคนนั้นได้กระโดดลงจากหลังคารถ ในขณะที่รถวิ่งเต็มที่ หัวของเขาได้กระแทกกับพื้นถนน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นถนนลูกรัง ปรากฏว่าใบหน้าของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนขับรถกว่าจะรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น รถก็ได้เลยไป 100 กว่าเมตรจึงหยุด ผู้โดยสารทั้งหมดได้ทยอยลงมาดูศพ พร้อมกันนั้นบรรดาไทยมุงก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะบริเวณนั้นจะเป็นทุ่งนาระยะประมาณ 1 กิโลเมตร เลยไปจะเป็นหมู่บ้าน ถ้าย้อนกลับไปจะเป็นตลาดอำเภอเสลภูมิผมกับเพื่อนๆ กำลังจะต้อนควายกลับบ้าน เมื่อเห็นคนมาเยอะแยะ จึงพากันมาดูกับเขามั่ง เมื่อผมกับเพื่อนมาถึงไทยมุงมากขึ้นกว่าเดิมมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้โดยสารได้เดินมาที่ศพซึ่งนอนตะแคงอยู่ แล้วพลิกศพมานอนหงาย ก้มตัวลงเขย่าศพพร้อมกับเรียกชื่อ
"คำมูล...คำมูล...คำมูล"

แต่ก็อย่างว่าศพหน้าหายไปครึ่งหนึ่งจะรอดได้อย่างไร ชายหนุ่มคนนั้นจึงเล่าให้ฟังว่า
"นายคำมูลเป็นเพื่อนกับผม เขาอายุ 25 ปี กำลังเบญจเพส เขาเดินทางมาจากจังหวัดร้อยเอ็ด จะกลับอุบลฯ และนั่งบนหลังคารถมาด้วยกัน"
"อ้าว...แล้วทำไมไม่นั่งชั้นล่าง ทำไมต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคารถด้วย"
"จริงๆ แล้วผมกับผู้โดยสารคนอื่น ก็อยากจะนั่งชั้นล่างแต่มันเต็ม จึงต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ เพราะหากจะนั่งชั้นล่าง จะต้องรอรถเที่ยวต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง และส่วนมากพวกที่นั่งบนหลังคาก็หนุ่มๆ ทั้งนั้น" ไทยมุงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ส่วนเงิน 30 บาทของนายคำมูล ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้นายคำมูลถึงแก่ความตาย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ในสมัยนั้น จะไม่มีให้เห็นกันง่ายๆ มันหล่นอยู่ที่พื้นถนน เป็นธนบัตรฉบับละ 10 บาท รุ่นที่เป็นสีแดงอมชมพู พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สวยงามมาก ศพของงนายคำมูลอยู่เลยธนบัตรไปประมาณ 20 เมตร
"ตายโหงแบบนี้ เฮี้ยนชะมัดเลย" เสียงจากไทยมุงคนหนึ่งพูดขึ้น ทำให้บรรดาไทยมุงอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน
"ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า มันจะต้องเฮี้ยน แล้วพูดทำไม" มีเสียงจากผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

เมื่อทางตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเสลภูมิทราบเรื่อง ก็ได้มาชันสูตรพลิกศพตามธรรมเนียม ส่วนศพของนายคำมูล จะถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าอำเภอเสลภูมิหรือว่านำไปที่จังหวัดอุบลฯ ผมไม่ได้ติดตามข่าวและตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บริเวณที่นายคำมูลนอนตายใกล้กับเงิน 30 บาทตกอยู่ พอตกกลางคืนก็ได้เกิดเหตุการณ์สยองขึ้นคนขับรถผ่านตอนกลางคืน ซึ่งในสมัยนั้นรถรามีไม่มาก นานๆ ถึงจะมีรถวิ่งผ่านสักคัน แสงไฟจากหน้ารถส่องเห็นคนก้มๆ เงยๆ เหมือนหาของอะไรบางอย่าง แต่พอรถแล่นเข้าไปใกล้ๆ ก็หายไปคนขับรถผ่านบริเวณนั้นตอนกลางคืนเจอบ่อยมาก บางรายเจอคนโบกรถทำทีขออาศัยไปด้วย แต่พอเข้าไปใกล้ชายคนนั้นก็หายไปแล้ว บางทีจะเห็นเป็นวัวควาย หมาแมว กระโดดข้ามถนนตัดหน้ารถ
มีขาจรรายหนึ่ง ไม่เคยทราบว่าบริเวณนี้ผีนายคำมูลเฮี้ยน ได้ขี่รถจักรยานมาตามถนนในเวลากลางคืน และรู้สึกว่าท้ายรถหนักผิดปกติถีบรถไม่ค่อยออก จึงหันหลังกลับไปมองที่ตะแกรงท้าย เจอบุคคลไม่พึงประสงค์นั่งท้ายอยู่ใบหน้ามีแค่ครึ่งเดียว ก็ถึงกับช็อกสลบไปเลย พอดีมีคนขับรถผ่านมาจึงช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นแล้วถามว่า
"ทำไมมาขี่รถจักรยานคนเดียวตอนกลางคืนอย่างนี้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังบ้างหรือว่าบริเวณนี้ผีดุ มันหลอกผู้คนมาเยอะแล้ว"  อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ !!!

บรรดาคนขับรถผ่านตอนกลางคืน ต่างพากันขยาดกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อรถแล่นมาถึงจุดนั้น จึงต้องชะลอความเร็วของรถลง แล้วบีบแตร 3 ครั้ง เป็นทำนองว่าขอผ่านต่อมาเป็นรายของผมกับเพื่อนอีก 2 คน คืนนั้นพวกเราได้พากันไปชมมหรสพยอดฮิตของภาคอีสาน นั่นก็คือหมอลำหมู่ ซึ่งถูกจัดขึ้นที่หมู่บ้านอื่น และเส้นทางที่จะไป ถ้าไปทางลัดก็จะเฉียดบริเวณนั้นด้วย หมอลำหมู่คณะนี้ ข่าวว่าพระเอกหล่อ นางเอกสวย แถมเสียงดีอีกต่างหาก ตัวตลกก็เยี่ยมตอนขาไปพวกเราพากันไปแต่หัวค่ำ และตกลงกันว่าขากลับจะกลับทางอื่นถึงจะอ้อมไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะไม่อยากเจอความเฮี้ยนของผีนายคำมูลพอหมอลำหมู่เลิกประมาณตี 2 กว่า ผมกับเพื่อนจึงพากันกลับบ้าน ที่เคยตกลงกันไว้ว่าจะกลับทางอื่นก็พาลขี้เกียจเดินไกล จึงได้ตัดสินใจกลับเส้นทางเก่า และเมื่อมาถึงทางที่มาบรรจบถนนใหญ่ ต้องผ่านดอนปู่ตาซึ่งตั้งอยู่ในป่ารกครึ้ม มีต้นไม้ใหญ่สูงแหงนคอตั้งบ่าทั้งนั้น ในดอนจะมีศาลเจ้าอยู่ 2 ศาลคู่กันนัยว่าปู่ตาที่ศาลแห่งนี้จะปกปักษ์รักษาคนในหมู่บ้านชาวบ้านจะเคารพศรัทธากันมาก ใครจะลบหลู่ไม่ได้เคยมีคนเจอดีมาแล้ว บริเวณดอนปู่ตาบรรยากาศจะวังเวงมากอย่าว่าแต่กลางคืนเลย กลางวันนี่แหละถ้าไม่มีเพื่อนหลายคน จะไม่มีใครกล้าเข้าไปดอนปู่ตา

เมื่อมาถึงดอนปู่ตาผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็ใจแป้ว ไม่มีใครอยากเดินตามหลัง พอถึงถนนใหญ่ก็ได้ยินเสียงเหมือนม้าวิ่ง เสียงมันดังมาจากบริเวณที่นายคำมูลนอนตาย
กุบกับ...กุบกับ...กุบกับเสียงเหมือนม้าวิ่งในภาพยนตร์คาวบอย ทั้งๆ ที่หมู่บ้านในย่านนั้น ไม่เคยมีคนเลี้ยงม้าเลย ผมกับเพื่อนมีไฟฉายรวมกัน 2 กระบอก จึงฉายไฟไปยังต้นเสียง ทันใดนั้นเองแสงไฟได้ส่องไปเจอกับหมาดำขนาดใหญ่ ลำตัวของมันเท่ากับน้องๆ ม้า มันกำลังจ้องมายังพวกผม
"เฮ้ย! ผีหลอก" เสียงเพื่อนของผมคนหนึ่งร้องขึ้น
เท่านั้นแหละผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็ใส่ตีนหมาโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างออกไป 400-500 เมตร เมื่อถึงหมู่บ้านก็พากันหอบซี่โครงบานกันทุกคน แล้วต่างก็โทษกันไปโทษกันมา
"กูว่าแล้วให้กลับทางอ้อม รู้ทั้งรู้ยังโดนผีหลอกจนได้"
ความเฮี้ยนของผีนายคำมูล ที่ยังห่วงหาอาวรณ์กับเงิน 30 บาทของเขา เป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป
คนที่ไม่เคยทราบข่าวเกี่ยวกับเรื่องของนายคำมูลกระโดดรถตาย ผ่านบริเวณนั้นตอนกลางคืนคนเดียวโดนผีตายโหงนายคำมูลหลอก แทบจับไข้หัวโกร๋นกันมามากต่อมาก

ขอขอบคุณ นิตยสารผี ๔๘

Written by on