Written by on

รักที่บอกไม่ได้ของนางไม้เอ็คโค (Echo)

รักที่เจ็บปวดที่สุดบางครั้งอาจจะไม่ใช่ความรักที่ถูกทอดทิ้งเสมอไป แต่เป็นความรักที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้มากกว่านะคะ เพราะความรักนั้นจะเพิ่มมากขึ้นทุกทีแต่ไม่มีทางที่จะระบายออก และคนที่เรารักไม่มีวันได้รับรู้ แค่คิดก็เจ็บจี๊ดไปทั้งหัวใจแล้วค่ะ วันนี้เจ๊มีตำนานเรื่องราวความรักที่บอกไม่ได้มาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับนางไม้ช่างเจรจานามว่า "นางไม้เอ็คโค" ความรักที่บอกไม่ได้จะเจ็บปวดแค่ไหน ตามเจ๊มาค่ะเจ๊จะเล่าให้ฟัง

คำว่า ?Echo' เป็นคำที่เป็นชื่อนางอัปสรแห่งเทือกเขาเฮลิคอน (Helicon) ที่ชื่อว่า ?นางไม้เอ็คโค' เป็นนางบริวารของเทวีอาร์เตมิส (Artemis) หรือเรียกตามภาษาโรมันว่า (Diana) ซึ่งเป็นเทวีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ และยังเป็นนางอัปสรแห่งเทวีเฮรา (Hera) มเหสีเอกของมหาเทพซีอุส (Zeus) ด้วย

นางอัปสรเอ็คโคเป็นผู้ที่มหาเทพซีอุสให้ความไว้วางใจมาก เพราะเป็นผู้ที่รู้ความลับของมหาเทพว่าแอบไปมีความสัมพันธ์กับนางอัปสรจำนวนไม่น้อย นางอัปสรเอ็คโคมีข้อเสียอยู่ประการหนึ่งคือช่างพูด พูดเสียจนคนฟังเบื่อหรือหงุดหงิด ซึ่งในที่สุดก็ก่อให้เกิดผลร้ายแก่ตนเอง คือถูกสาปให้พูดเองไม่ได้ ต้องคอยพูดทวนเสียงคนอื่นเท่านั้น

สาเหตุที่ถูกสาปมีที่มาคือ วันหนึ่งเทวีเฮราเห็นมหาเทพซีอุสซึ่งเป็นสวามีหายไป สงสัยจะแอบไปมีสัมพันธ์กับนางอัปสรบางคน จึงเสด็จลงมาตามหาและก็ให้บังเอิญต้องมาพบกับนางอัปสรเอ็คโคซึ่งถูกมหาเทพซีอุสขอร้องให้ชวนเทวีเฮราคุย เพื่อตัวมหาเทพเองจะได้มีเวลาไปมีความสัมพันธ์กับบรรดานางอัปสรที่ต้องใจ นางอัปสรเอ็คโคได้เพ็ดทูลเรื่องต่างๆ มากมายให้เทวีเฮราฟังซึ่งล้วนแล้วแต่ไร้สาระทั้งสิ้น จนทำให้พระนางเสียเวลาไปมากและมหาเทพซีอุสไหวตัวทันรีบบอกนางอัปสรที่ตัวเองกำลังสมสู่อยู่ให้หนีไปเสียก่อนที่พระมเหสีจะมาถึง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เทวีเฮรากริ้วมาก จึงสาปนางเอ็คโคว่า "ต่อไปนี้นางจะไม่สามารถพูดจาอะไรขึ้นมาได้ก่อนใคร จะต้องรอพูดทวนความตามที่คนอื่นพูดเท่านั้น

รักที่พูดไม่ได้ วันหนึ่งนางอัปสรเอ็คโคไปแอบคลั่งไคล้หลงใหลชายหนุ่มรูปงามนามว่า ?นาร์ซิสซัส' (Narcissus) ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่ไม่เคยรักใครเฝ้าแต่รักตัวเอง นางอัปสรเอ็คโคแม้จะมีความรักคับอกเพียงใดก็ไม่สามารถเอ่ยปากบอกคนที่ตัวเองรักได้เพราะถูกสาปอย่างที่กล่าวถึงข้างต้น ที่พอจะทำได้คือคอยเฝ้าติดตามนาร์ซิสซัสไปตามที่ต่างๆ นาร์ซิสซัสคงจะรู้สึกรำคาญที่ถูกตาม และไม่ว่านาร์ซิสซัสจะพูดอะไรออกไป นางอัปสรเอ็คโคก็จะพูดทวนคำที่นาร์ซิสซัสพูด จนทำให้นาร์ซิสซัสโกรธเพราะคิดว่า
ถูกล้อเลียน

ไม่ว่านางอัปสรเอ็คโคจะเฝ้าวิงวอนของความรักจากนาร์ซิสซัสอย่างไร นาร์ซิสซัสก็ไม่เคยให้ความสนใจกับนางเลย จนในที่สุดนางก็โศกเศร้าหงอยเหงาค่อยซูบซีดลงจนเสียชีวิตในที่สุด เหลือไว้แต่เพียงเสียงที่สิงสู่อยู่ตามที่ต่างๆ ในเทือกเขาและป่าดงพงไพร เพื่อคอยสะท้อนคำพูดสุดท้ายของใครก็ตามที่ส่งเสียงตะโกนก้องในป่า

ในปัจจุบันนี้คำว่าเสียง Echo ที่เราใช้กันอยู่บ่อยๆ ก็มีที่มาจากชื่อของนางไม้เอ็คโคผู้น่าสงสารนี่เองล่ะค่ะ แม้ความรักที่บอกไม่ได้มันจะทำเราเจ็บปวดแค่ไหนเราก็ต้องทำใจและเข้มแข็งให้ได้ เพราะยังไงไม่ว่าจะรักคนอื่นมากแค่ไหน เราก็ต้องไม่ลืมที่จะรักตัวเองด้วยค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

รัก แม้รู้ว่าผิด ตำนานรักปารีส-เฮเลน แห่งทรอย

ความรักบางครั้งก็ยากที่จะตัดสินว่าใครผิด ใครถูก แต่โดยส่วนมากแล้วเมื่อปัญหารักนั้นเป็นรักสามเส้า คนที่มาทีหลังและมาแย่งคนรักของผู้อื่นไป ที่เรียกกันคุ้นปากว่า "ชู้" มักจะเป็นฝ่ายผิดเสมอ วันนี้เราขอเล่าตำนานความรักที่แม้จะรู้ว่าผิดก็ยังคิดจะรักของ ?ปารีส-เฮเลน' แห่งทรอยค่ะ

ปารีส' คือเจ้าชายแห่งเมืองทรอย ที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลามีคุณสมบัติของผู้ชายในอุดมคติอยู่ครบครัน และวันหนึ่งปารีสได้รับเลือกให้เป็นกรรมการในการตัดสินชี้ขาดว่าเทพธิดาองค์ไหนสวยที่สุดโดยแต่ละองค์ต่างก็ติดสินบนแก่ปารีสกันอย่างเต็มที่ เพื่อหวังจะได้รับเลือกเป็นเทพธิดาที่สวยที่สุด ซึ่งรางวัลที่นำมาติดสินบนแก่ปารีสนั้นมีเพียงอย่างเดียวที่ถูกใจปารีส นั่นคือรางวัลการติดสินบนจาก ?อาโฟรไดตี้'(วีนัส) สินบนที่ว่าคือการสัญญาว่าจะมอบหญิงที่งามที่สุดในโลกซึ่งก็คือ ?เฮเลน' ราชินีแห่งแคว้นสปาร์ต้า ให้เป็นของขวัญ

หลังจากนั้นวีนัสก็ได้นัดหมายให้ปารีสเข้ามาเป็นแขกในวังของ ?แมนเนอเลาส์' สามีของเฮเลน ในช่วงนั้นแมนเนอเลาส์ได้เดินทางไปทำธุระในเมืองกรีก แต่ด้วยความไว้ใจในตัวปารีสและเฮเลน จึงไม่ห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นแน่นอน แต่แล้วสิ่งที่แมนเนอเลาส์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเค้าเดินทางกลับมาจากทำธุระก็พบว่าเฮเลนหนีไปกับปารีส ไม่มีใครบอกได้ว่าเหตุใดเฮเลนจึงเลือกทิ้งแมนเนอเลาส์ไปกับปารีส ทั้งๆ ที่แมนเนอเลาส์รักนางมากที่สุด เหตุผลเดียวที่จะทำให้เฮเลนสลัดรักแมนเนอเลาส์เพื่อไปกับปารีสได้นั้น น่าจะเป็นเพราะความหล่อเหลาและหนุ่มกว่า อีกทั้งยังเป็นถึงเจ้าชายแห่งเมืองทรอย เพียงแค่สิ่งภายนอกเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ความรักระหว่างเฮเลนและแมนเนอเลาส์สิ้นสุดลง

ในเมื่อความรักนี้เป็นความรักที่ทั้งปารีสและเฮเลนเต็มใจให้เกิดขึ้นทั้งๆ ที่รู้ว่าผิด ความรักนี้จึงนำแต่หายนะมาสู่ทั้งสองคน เมืองทรอยและแคว้นทุกแคว้นของกรีกต้องมาสู้รบกัน จนเมืองทรอยที่ยิ่งใหญ่ต้องล่มสลายลงในที่สุดสาเหตุเพียงเพราะความรักของชู้ ความรักที่รู้อยู่เต็มอกว่าผิด

ความรักของปารีสและเฮเลนแสดงให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า อารมณ์เพียงชั่ววูบ ความหลงใหลที่เราตีความไปว่าเป็นความรักอาจจะนำหายนะมาแก่เราได้ ควรรู้จักยับยั้งชั่งใจและมีความรักที่ถูกต้องย่อมมีความสุขมากกว่า

อย่าทำลายความรักของใคร เพียงเพราะคุณคิดว่าอีกคนน่าจะดีกว่า

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานรัก พีรามัสกับธิสบีและต้นมัลเบอร์รี่สีแดง

ย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว ว่ากันว่าต้นมัลเบอร์รี่สีเข้มที่เราเห็นกันในปัจจุบันแท้จริงแล้วมีสีขาว แต่สาเหตุที่ทำให้กลายมาเป็นสีแดงนี้ เป็นเพราะตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของ พีรามัส' กับ ธิสบี' นั่นเอง

พีรามัส' กับ ธิสบี' ทั้งสองอาศัยอยู่ในบาบิลอน นครแห่งราชินีเซมิรามิส บ้านของทั้งสองอยู่ติดกัน มีเพียงผนังกำแพงคั่นกลาง ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันและต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม พ่อแม่ของทั้งคู่ต่างขัดขวางไม่ให้ทั้งสองคบกัน แต่ความพยายามของทั้งสองก็ไม่ได้หมดลง ยังรักและเฝ้ารอวันที่จะได้แต่งงานกัน

อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองค้นพบรอยร้าวเล็กๆ บนกำแพงที่คั่นกลางระหว่างบ้านทั้งสองเอาไว้ เป็นรอยร้าวที่ไม่มีใครในบ้านสังเกตเห็น ทั้งคู่จึงตกลงใช้รูที่เกิดจากรอยร้าวเล็กๆ นี้ในการติดต่อสื่อสารและพูดคุยพลอดรักกันทุกคืน บางครั้งทั้งคู่ก็เจ็บปวดที่กำแพงนี้มาคั่นทั้งสองไว้ ทำให้ไม่อาจสัมผัส กอดหรือจูบเพื่อแสดงความรักต่อกันได้ แต่ลึกๆ ในใจก็ขอบคุณกำแพงนี้ที่สร้างรอยร้าวขึ้นมาเพื่อให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันทุกคืน ยิ่งนานวันไฟรักยิ่งเพิ่มพูนทวีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทั้งสองตกลงที่จะหนีไปสร้างครอบครัวด้วยกัน พวกเขาตกลงจะนัดพบกัน ณ สถานที่ที่รู้จักกันดี คือสุสานแห่งไนนัส ใต้ต้นมัลเบอร์รี่สูงใหญ่ที่ออกผลสีขาวราวหิมะ และทั้งคู่ต่างก็รอคอยให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ

เมื่อเวลานัดมาถึง ธิสบีมาถึงก่อนพีรามัสชายที่รัก เธอเฝ้ารออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเหลือบไปเห็นสิงโตกำลังดื่มน้ำจากบ่อน้ำใกล้ๆ และเห็นเลือดไหลอาบริมฝีปากสิงโตอย่างน่าสยดสยอง คาดว่าน่าจะเพิ่งขย้ำเหยื่อไปสดๆ ร้อนๆ ธิสบีอยู่ไกลจากสิงโตพอสมควรจึงหลบหนีไปได้ทันก่อนที่สิงโตจะทันสังเกตเห็น แต่ด้วยความรีบร้อนเธอจึงทำผ้าคลุมหล่นไว้ที่พื้น เมื่อสิงโตเดินมาเห็นผ้าคลุมหล่นอยู่จึงตรงเข้าไปขย้ำจนทำให้เสื้อคลุมนั่นขาดวิ่นและเต็มไปด้วยรอยเลือด เมื่อสิงโตพบว่าเป็นเสื้อคลุมว่างเปล่าจึงหายเข้าไปในป่าลึก

ต่อมาเมื่อพีรามัสเดินทางมาถึงยังจุดนัดหมาย เค้าพบเพียงรอยเท้าสิงโตและผ้าคลุมของธิสบีที่ฉีกขาดและเต็มไปด้วยรอยเลือดกองอยู่กับพื้น ด้วยสภาพเหตุการณ์แบบนี้พีรามัสจึงมั่นใจว่าธิสบีสุดที่รักคงโดนสิงโตฆ่าตายแล้วลากศพไปกินแล้วเป็นแน่ เค้าเสียใจมาก กอดผ้าคลุมผืนนั้นร้องไห้และรู้สึกผิดที่ไม่สามารถอยู่คุ้มครองหญิงอันเป็นที่รักของเค้าได้ พีรามัสจึงเดินไปใต้ต้นมัลเบอร์รี่และใช้มีดแทงตัวเองเพื่อที่จะตายตามไปอยู่กับธิสบี เค้าชักดาบออกมาแล้วแทงไปที่สีข้างจนเลือดสาดกระเด็นไปโดนผลมัลเบอร์รี่และย้อมผลมัลเบอร์รี่นั้นจนเป็นสีแดงคล้ำ

แม้ว่าธิสบีจะหวาดกลัวสิงโต แต่เธอก็กลั้นใจเดินกลับมายังที่นัดหมายเพื่อรอคอยพีรามัสคนรักของเธอ เมื่อมาถึงเธอพยายามมองหาต้นมัลเบอร์รี่สีขาวต้นเดิม แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ จนกระทั่งมองเห็นพีรามัสนอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้นใต้ต้นมัลเบอร์รี่ เธอพุ่งตรงเข้าไปประคองกอดพีรามัสไว้ และมองเห็นผ้าคลุมเปื้อนเลือดเต็มไปด้วยรอยเขี้ยวของสิงโตในมือพีรามัสด้านข้างตัวพีรามัสมีมีดเปื้อนเลือดหล่นอยู่เธอจึงเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดว่าพีรามัสคิดว่าเธอตายไปแล้วจึงได้ฆ่าตัวตายตามเธอไปธิสบีกอดพีรามัสไว้แน่น ร้องเรียกชื่อเค้าพร้อมกับร่ำไห้อย่างหนัก เธอโน้มตัวลงจุมพิตชายที่รัก และพีรามัสก็ลืมตามองธิสบีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนความตายจะมาพรากพีรามัสไปจากเธอ

ด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ทั้งคู่มีให้แก่กันธิสบีรู้ดีว่าเธออยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่มีพีรามัสและพีรามัสยังยอมตายเพื่อจะตามไปอยู่กับเธอ ธิสบีจึงตัดสินใจใช้มีดเล่มนั้นแทงเข้าที่หัวใจเพื่อจะตายตามไปอยู่กับพีรามัส และเลือดของธิสบีก็กระเด็นไปย้อมสีของมัลเบอร์รี่ให้มีสีแดงเข้มยิ่งขึ้น

เหล่าบรรดาเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์รวมทั้งพ่อแม่ของพีรามัสและธิสบีล้วนสงสารและเห็นใจต่อจุดจบของความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก จึงให้ผลสีแดงของมัลเบอร์รี่เป็นอนุสรณ์ชั่วกาลนานของคู่รักที่แท้จริงและยิ่งใหญ่คู่นี้ นับแต่นั้นมาผลมัลเบอร์รี่จึงมีสีแดงเข้ม เพื่อระลึกถึงเลือดเนื้อที่ทั้งคู่ต่างยอมเสียสละให้แก่คนรัก โดยไม่หวงชีวิตแม้แต่นิดเดียว

ต่อไปนี้เมื่อเราได้เห็นมัลเบอร์รี่ อยากจะให้นึกถึงเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่นี้กันด้วยนะคะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเตือนสติเราได้ว่าเราควรจะให้ความสำคัญกับคนรักในช่วงเวลาปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะวันหนึ่งเมื่อเราต้องพรากจากกัน เราจะได้ไม่เสียใจและไม่เสียดายที่เคยได้รักกันค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

แม่มดดำราชินีแห่งศาสตร์มืด

ฉบับที่แล้วเจ๊ได้เล่าเรื่องราวของแม่มดขาวให้สาวๆ ทั้งหลายได้ฟังกันไปแบบเต็มอิ่ม วันนี้เจ็เลยขอพื้นที่เล็กๆ เล่าเรื่องตำนานของแม่มดดำกันบ้าง รับรองว่าความลึกลับของแม่มดดำจะสะกดคุณผู้อ่านเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัดเลยล่ะค่ะ

แม่มดดำ แม่มดดำคือพวกที่เคารพบูชาซาตาน และใช้เวทมนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือจากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีทั้งหลายที่ฝึกเวทมนตร์คาถาแนวนี้จัดเป็นแม่มดดำทั้งหมด แม่มดดำมักจะคลุกคลีอยู่กับภูตผีปีศาจที่ชั่วร้ายต่างๆ อย่าง แพน หรือ ลิลิธ-ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำนั้นจะแสวงหาความรู้ในศาสตร์ที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่จะหาความสงบทางจิตใจอย่างแม่มดขาว

ถึงแม้ว่าจะเป็นแม่มดที่มีความสามารถทางไสยศาสตร์ต่างๆ แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป ยังคงต้องการปัจจัยสี่อยู่ ดังนั้นแม่มดจึงมักจะหารายได้เพื่อมาเลี้ยงชีวิตให้รอด โดยการรับค่าตอบแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์ หรือขายเครื่องรางของขลังโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดือดร้อนหรือไม่

การสืบทอดวิชาของแม่มดดำ วิธีการรับศิษย์ของแม่มดดำนั้น มีพิธีที่เรียกว่าฟังแล้วต้องแอบขนลุกกันเล็กๆ เลยล่ะค่ะ แม่มดดำนั้นจะรับศิษย์เพื่อมาสืบทอดวิชาไสยศาสตร์ โดยศิษย์ที่มารับช่วงต่อนั้นจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นรูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม แต่ว่าการจะได้มาซึ่งสิ่งๆ นี้ต้องแลกด้วยการไม่สามารถมีทายาทได้ และรางวัลอีกอย่างนึงที่ศิษย์ของแม่มดดำจะได้รับคือ การมีอายุยืนยาวเป็นร้อยๆ ปี

สำหรับการเรียนวิชาแม่มดนั้นจะเริ่มตอนอายุเท่าไหร่ก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป โดยระยะแรกๆ นั้นจะเริ่มจากคาถาต่างๆ เช่น การใช้เวทมนตร์ทำเสน่ห์ การสาปพืชให้เหี่ยวเฉา และรวมถึงการมองอนาคต เมื่อวิชาแก่กล้าขึ้นก็จะศึกษาเรื่องการทำตัวลอยในอากาศ หรือเหาะโดยไม้ต้องใช้ไม้กวาด หลังจากนั้นจะฝึกการแปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆ ไปจนถึงศาสตร์ขั้นสูง เพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วไป และความยากอีกอย่างหนึ่งในการศึกษาวิชาแม่มดนั้นคือทุกสูตร ทุกวิชา ทั้งเวทมนตร์คาถาและสูตรยาต่างๆ นั้นต้องสืบทอดกันแบบปากเปล่า ไม่มีตำราหรือหนังสือบันทึกไว้

ยุคมืดของแม่มด ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดกันอย่างเปิดเผยมาก ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเกิดเหตุผิดธรรมชาติ ฝนไม่ตก เกิดโรคระบาด สิ่งแรกที่คนในสมัยนั้นจะนึกถึงคือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมคนรวบรวมกำลังออกตามล่าหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่ผู้ที่จะมารับโทษมักจะเป็นแพะรับบาป แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูไม่สมเหตุสมผลก็ตาม เช่น แค่เป็นหญิงแก่ที่เลี้ยงหมาแมวไว้แก้เหงาที่บ้าน ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกลากมาเผาประจานทั้งเมืองหรือแม้แต่หญิงสาวบางคนที่หน้าตาสวยมากๆ ก็จะโดนใส่ร้ายว่าเอาวิญญาณเข้าแลกกับแม่มดเพื่อให้ได้หน้าตาที่น่ามองนี้มา และถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดในที่สุด แถมผู้ชายในสมัยนั้นมักทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างว่า "สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต" (Thou shit not a suffer a witch to live) และการทารุณกรรมนั้นก็จะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เฆี่ยนประจาน ทรมานด้วยวิธีต่างๆ สารพัด ใครที่ทนความทรมานไม่ไหวก็จำเป็นต้องรับสารภาพออกมา แล้วก็จะถูกนำไปเผาทั้งเป็น

โอ๊ย!! เจ๊ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายจะโหดร้ายทารุณกับผู้หญิงได้ขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ ภาพพจน์ของแม่มดดำนั้นไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เลยทำให้ถูกมองว่าแย่ไปซะทุกอย่าง ใครที่เข้าข่ายน่าจะเป็นแม่มดดำก็เลยต้องถูกตามล่า เจ๊อยากจะฝากผู้หญิงอย่างเราๆ ในสมัยนี้ไว้นิดนึงนะคะว่าบางครั้งภาพพจน์ภายนอกมันก็ทำให้เราถูกตัดสินได้ง่ายๆ ถ้าเรามั่นใจว่ามีดีอยู่ในตัวก็ควรจะแสดงออกมาให้ได้เห็นทั้งภายนอกและภายใน จะได้ไม่มีใครมาว่าร้ายเราได้ยังไงล่ะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานเพเนโลปี้และโอดิซุส รักที่เฝ้ารอ

ก่อนที่เราจะไปฟังตำนานรักของเพเนโลปี้และโอดิซุสเราอยากจะถามคุณผู้อ่านก่อนค่ะว่าคุณเคยรอคอยใครสักคนที่คุณรักนานที่สุดแค่ไหน? บางคนเป็นเดือน บางคนอาจจะเป็นปี แต่บางคนแค่มาตามนัดสายไม่กี่นาทีก็โมโหแล้ว ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นยังไง ไปดูเรื่องราวการรอคอยที่ยิ่งใหญ่ของ ?เพเนโลปี้' แล้วเราเชื่อว่าความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปค่ะ

ย้อนไปเมื่อครั้งที่กรีกทำสงครามครั้งใหญ่กับกรุงทรอย นอกจากความสูญเสียในสงครามแล้วยังสร้างความเดือดร้อนให้แก่ ? เพเนโลปี้' และ ?โอดิซุส' คู่รักที่ครองเมืองเล็กๆ ชื่อว่า ?อิธาก้า' อย่างสงบสุขมาโดยตลอดอีกด้วยแต่เมื่อครั้นสงครามมาถึง โอดิซุสก็ได้รับคำสั่งให้ออกมาร่วมทัพ จึงจำต้องพรากจากภรรยาที่รักและลูกน้อยไปอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ในระหว่างที่โอดิซุสกำลังเดินทางกลับบ้านด้วยดวงใจที่สุขล้น ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น นั่นคือเรือที่โอดิซุสโดยสารมาเกิดแตกและหลงทางอยู่เป็นเวลายาวนานถึง 10 ปี กว่าจะกลับมายังเมืองอาธาก้าได้ ส่วนทางด้านของเพเนโลปี้ สาวงามผู้ซื่อสัตย์ภักดีต่อสามี ก็มีผู้ชายเข้ามาพยายามไขกุญแจหัวใจของนางอยู่มากมายเพราะต่างก็คิดว่านางเป็นหญิงม่ายที่สามีตายในสงครามไปแล้ว แต่เพเนโลปี้ไม่เคยเชื่อว่าสามีตายไปแล้วจริงๆ และยังคงมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวังว่าสามีของเธอจะกลับมาหาอยู่เสมอ ความรักแสนซื่อสัตย์ของเธอที่มีต่อโอดิซุสไม่เคยเสื่อมคลายลงไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ชายหนุ่มจากทั่วสารทิศต่างมุ่งหมายจะมาสู่ขอเธอ เธอแสนจะลำบากใจที่จะปฏิเสธชายหนุ่มเหล่านั้น จึงบอกไปว่าเธอจะแต่งงานใหม่อีกครั้งก็ต่อเมื่อเธอทอเสื้อคลุมที่งดงามให้แก่พ่อสามีผู้แก่เฒ่าเสร็จเสียก่อน โดยเพเนโลปี้ใช้เวลาในตอนกลางวันในการทอผ้า และเมื่อตกกลางคืนเธอก็จะดึงไหมที่ทอผ้านั้นออก เธอทำอย่างนี้เรื่อยมาจนบรรดาผู้ชายที่มาเฝ้ารอขอเธอแต่งงานเริ่มเบื่อหน่าย และท้อจนเลิกล้มความตั้งใจที่จะขอเธอแต่งงานไปหมด และแล้ววันที่เพเนโลปี้รอคอยก็มาถึง เมื่อเวลาผ่านไปถึง 10 ปี โอดิซุสก็กลับมาหาเพเนโลปี้ที่เมืองอิธาก้า และทั้งสองก็ครองรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง หลังจากอดทนอดกลั้นจนผ่านช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่แสนทรมานมาได้อย่างยากลำบาก

เรื่องนี้เราต้องขอนับถือกำลังใจในการอดทนรออย่างมั่นคงและมีความหวังของเพเนโลปี้ค่ะ ลองคิดดูสิคะ ถ้าวันนึงเพเนโลปี้เลิกล้มความตั้งใจที่จะรอคอยสามี และต้องมาพบว่าสุดท้ายสามีที่เค้ารักก็กลับมาหาเค้า คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจที่สุด และก็ขอยกย่องความพยายามอันยิ่งใหญ่ของโอดิซุส ที่มุ่งมั่นตั้งใจเดินทางกลับมาหาครอบครัวที่เป็นที่รัก ซึ่งจริงๆ แล้วโอดิซุสจะไปเริ่มต้นใหม่กับหญิงสาวคนไหนสักคนในเมืองอื่นๆ ก็ได้ แต่ด้วยรักแท้ที่มีต่อเพเนโลปี้ ต่อให้ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีเค้าก็จะพยายามกลับมาหาคนรักให้ได้ ความรักแบบนี้แหละค่ะที่แสนยิ่งใหญ่และต้องยอมรับว่าหาได้ยากมากๆ ในปัจจุบัน

หลังจากฟังเรื่องราวรักทรหดของเพเนโลปี้และโอดิซุสแล้ว หวังว่าหลายๆ คนคงเปลี่ยนความคิดเรื่องการต้องรอคอยคนที่เรารักเสียใหม่นะคะ เพราะถ้าเค้าคือรักแท้ของเราแล้ว ต่อให้นานแค่ไหนก็เชื่อเถอะค่ะว่ามันแสนคุ้มค่าที่จะรอคอย

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานรักนักบุญวาเลนไทน์

ในวันแห่งความรักที่ทำให้ทุกคนบนโลกมีความสุขกับความรักอันสดใสในปัจจุบันนี้ จะมีสักกี่คนคะที่รู้ว่าที่มาของวันวาเลนไทน์นี้ช่างโศกเศร้าเหลือเกิน วันนี้เราอยากจะเล่าเรื่องตำนานรักของนักบุญวาเลนไทน์ ผู้ก่อให้เกิดวันดีๆ อย่างวันแห่งความรักนี้ขึ้นทั่วโลกค่ะ

วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ "วันวาเลนไทน์" (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักจะบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ ต่อมาวันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages และในปัจจุบันก็มีการมอบของขวัญ อาจจะเป็นช่อดอกไม้ ช็อกโกแลต หรือของขวัญมีค่าต่างๆ แก่กัน เพื่อแสดงออกถึงความรักที่มีให้แก่กันค่ะ

เรื่องราวของวันวาเลนไทน์นี้มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 เกิดขึ้น ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคนสักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุญ ? วาเลนตินุส' (Valentinus) มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระคริสต์มาก เขาได้กล่าวไว้ว่าแม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกตัดสินให้นำไปขังคุก

ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้นได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุสสอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดชื่อ ?จูเลีย' จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลียสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ได้โดยคำบอกเล่าของวาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า "ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม" เขาตอบว่า "พระองค์เจ้าจะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน" จูเลียกล่าว "ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าอธิษฐานขออะไรทุกๆ เช้า ทุกๆ เย็น..ข้าหวังว่าข้าจะได้มองเห็นโลก เห็นทุกๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง" วาเลนตินุสจึงบอก "พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่านเท่านั้นเอง"

จูเลียผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมืออธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเองก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อยๆ ลืมตา แล้วเธอก็มองเห็นเขา เธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า "From Your Valentine" เขาสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์หรืออัลมอนด์สีชมพูไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยทุกวันนี้ต้นอามันต์สีชมพูจะเป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม

เมื่อได้รู้เรื่องราวของนักบุญวาเลนไทน์แล้ว ทุกคนคิดเหมือนกันมั้ยคะว่า ถ้าหากความรักของเราเป็นรักที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ใจแล้ว ต่อให้ตัวนั้นต้องตายจากกันไป ความรักก็ยังติดตรึงอยู่ในใจทุกคนอยู่เสมอ ขอให้ทุกคนได้พบกับรักที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับนักบุญวาเลนไทน์นะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานต่างหูสุดยอดเครื่องประดับทุกยุคสมัย

ความสวยบางครั้งก็มักต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด การเจาะหูเพื่อใส่ต่างหูก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สาวๆ ยอมเจ็บตัวเพื่อจะได้มีต่างหูสวยๆ ไว้ประดับบนใบหน้าตามแฟชั่น แต่สาวๆ รู้มั้ยคะว่าในสมัยก่อนนั้นการใส่ต่างหูมีสาเหตุแตกต่างกันไปมากมาย เราขอนำเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับต่างหูมาแบ่งปันกันค่ะ

หลักฐานร่องรอยการใช้ต่างหูที่เก่าที่สุดของมนุษย์ คาดว่าน่าจะเป็นหลักฐานที่พบในมัมมี่นิรนามที่เพิ่งสรุปกันไปว่าเป็นราชินีสำคัญพระองค์หนึ่งของอาณาจักรไอยคุปต์โบราณค่ะ โดยคาดว่าอายุของพระนางน่าจะประมาณ 5,000 ปีที่แล้ว ซึ่งที่ใบหูของพระนางมีการเจาะหูเพื่อใส่ต่างหู และมีการขุดพบต่างหูหลากรูปแบบที่สวยงามในสุสานมากมายของอียิปต์

ในแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในทุกภูมิภาคของโลกมีการขุดพบเครื่องประดับนานาชนิด และพบต่างหูที่เก่าแก่ที่สุดที่ติดอยู่ข้างใบหูของโครงกระดูกของมนุษย์ในยุคน้ำแข็งที่ไซบีเรียประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว ทำจากกระดูกสัตว์ ซึ่งน่าจะเป็นกระดูกของช้างแมมมอธ และต่อมาคนในยุคโบราณหลัง 10,000 ปี มักนิยมใส่ต่างหูกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเพศหญิงค่ะ

ต่างหูในวัฒนธรรมจีน ผู้หญิงจีนโบราณไม่ได้สวมใส่ต่างหูเพื่อความสวยงามตามแฟชั่นหรอกนะคะ แต่การใส่ต่างหูของพวกเขามีไว้เพื่อเตือนสติ ให้สาวๆ รู้จักระมัดระวังพฤติกรรมและให้รู้จักวางตัวให้เหมาะสมค่ะ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการกำเนิดของต่างหูเอาไว้มากมาย แต่ที่นิยมที่สุดคือเรื่องของหญิงสาวที่เกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวยมากครอบครัวหนึ่ง แต่หญิงสาวคนนั้นค่อนข้างหัวดื้อ แสนซนและไม่เชื่อฟังพ่อแม่เท่าไหร่ พ่อแม่ของเธอพยายามทำทุกอย่างให้เธอมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นกว่านี้ แต่ความพยายามของพวกเขาก็ไม่เคยสำเร็จสักที อยู่มาวันหนึ่งแม่ของหญิงสาวนั้นได้เกิดความคิดดีๆ โดยการนำวัตถุมาคล้องไว้ที่ใบหน้าของเธอโดยเกี่ยวไว้ที่หู เมื่อใดที่หญิงสาวหัวดื้อแสนซนเคลื่อนไหวร่างกายเร็วๆ ในอิริยาบถที่ไม่สุภาพและโลดโผน วัตถุที่แขวนไว้บนใบหน้าของเธอก็จะตีใบหน้าของเธอ ต่อมาหญิงสาวนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน มีกิริยามารยาทที่งดงามมากขึ้น

อีกตำนานหนึ่งเกี่ยวกับกำเนิดของต่างหูของชาวจีนนั้นเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้า เมื่อนานมาแล้วมีหญิงสาวยากจนที่ต้องสูญเสียพ่อและแม่ไปก่อนเวลาอันควร เธอโศกเศร้าและเสียใจมาก ร้องไห้ตลอดเวลาจนเกือบจะตาบอด และล้มป่วยไม่เป็นอันทำมาหากินอะไรเลย วันหนึ่งมีแพทย์เดินทางผ่านมายังบ้านเกิดของเธอและทราบข่าวเรื่องนี้เข้า จึงได้ทำการรักษาทั้งร่างกายและจิตใจของหญิงสาวผู้ยากจนให้กลับมาเป็นปกติ เธอจึงสวมต่างหูเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่แพทย์คนนั้น และหลังจากที่เธอได้สวมใส่ต่างหูเธอก็ดูสวยวันสวยคืน สาวๆ คนอื่นเห็นดังนั้นจึงได้สวมต่างหูตามเธอและกลายเป็นที่นิยมเรื่อยมา

ต่างหูในวัฒนธรรมอื่นๆ ในเผ่าดั้งเดิมหลายๆ เผ่า เชื่อว่าลักษณะของต่างหูนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมายากล ซึ่งเชื่อว่าปีศาจจะเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์โดยผ่านเข้าไปทางใบหู และยังเชื่อว่าโลหะนั้นสามารถจะต่อต้านกับปีศาจที่ว่าได้ จึงนำโลหะดังกล่าวมาทำเป็นต่างหูไว้สวมใส่ค่ะ

ในสมัยโรมันโบราณได้ยกให้ต่างหูเป็นสัญลักษณ์ของทาส โดยจะสวมต่างหูหลายๆ แบบต่างกันไปเช่นต่างหูแบบโจรสลัดจะสวมเพื่อเชื่อว่าจะได้รับการปกป้องจากพระเจ้า หรือเด็กที่มีต่างหูที่หูซ้ายจะเป็นน้องคนสุดท้องในครอบครัว และเด็กที่มีต่างหูอยู่ที่หูขวาจะเป็นน้องคนสุดท้องของตระกูล เป็นต้นค่ะ

ในรัสเซีย ผู้หญิงจะมอบต่างหูให้แก่สามีที่ไปออกรบ เพราะเชื่อว่าจะเป็นเครื่องรางที่ปกป้องสามีจากการได้รับบาดเจ็บจากสงคราม

สำหรับนักเดินเรือล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะเจาะหูกันทั้งนั้น เพราะการสวมใส่ต่างหูเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาได้เดินเรือไปรอบโลกหรือเดินเรือข้ามเส้นศูนย์สูตรมาแล้วนั่นเองค่ะ
ในปัจจุบันความเชื่อเรื่องต่างหูต่างๆ นั้นค่อยๆ จางหายไป จนเหลือเพียงเป็นแฟชั่นกระแสหนึ่งเท่านั้นที่จะช่วยทำให้ใบหน้าของเราดูสวยเด่นขึ้น เราจึงขอแนะนำเคล็ดลับในการเลือกซื้อต่างหูเพื่อให้สาวๆ ได้เอาไปใช้ในการซื้อต่างหูสักคู่ไว้ใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ

  • ใบหน้ากลม : ควรเลือกใส่ต่างหูที่เป็นทรงห้อยระย้าลงถึงประมาณช่วงกรามค่ะ เพื่อทำให้ใบหน้าดูยาวขึ้น ที่ฮิตมากๆ ตอนนี้ก็มักจะเป็นแบบพู่ใหญ่ๆ หรือขนนก และต่างหูทรงระย้ายังเหมาะกับสาวๆ ที่มีลำคอสั้นด้วยนะคะ
  • ใบหน้ารูปหัวใจ : ควรเลือกต่างหูที่มีฐานด้านล่างกว้างๆ ค่ะหรือจะเป็นรูปสามเหลี่ยมก็ได้ ต่างหูแบบนี้จะช่วยพรางคางที่แหลมเล็กกว่าส่วนหน้าผากได้ดีมากๆ เลยค่ะ
  • ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม : ต่างหูทรงกลมเหมาะกับสาวๆ ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมมากที่สุดค่ะเพราะจะช่วยปรับโครงหน้าให้ดูนุ่มขึ้น ไม่ดูทื่อๆ เพราะใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมค่ะ
  • รูปหน้ายาว : สาวๆ ที่มีรูปหน้ายาวไม่ควรใส่ต่างหูที่ยาวระย้าค่ะ เพราะหน้าจะยิ่งดูยาวมากกว่าเดิมเข้าไปอีก และสำหรับสาวๆ ที่รู้สึกว่าใบหน้าหมองคล้ำก็ควรจะเลือกใส่ต่างหูที่เป็นต่างหูเพชร มุก หรือคริสตัลสีสว่างๆ ค่ะ เพราะจะช่วยให้ใบหน้าของเราดูโดดเด้งขึ้นมาหลายเท่า แถมไม่ต้องพึ่งพาไวท์เทนนิ่งเลยจ้า

แม้ว่าต่างหูจะเป็นเพียงเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ แต่ก็มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและในปัจจุบันการเลือกซื้อต่างหูให้เหมาะกับรูปหน้าตามแฟชั่นก็ยังสำคัญไม่แพ้กัน เห็นเป็นเครื่องประดับเล็กๆ แบบนี้ ขอบอกว่าเล็กก้เล็กพริกขี้หนูนะคะ อิอิ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on