Written by on

10 ที่คั่นหนังสือดีไซน์โดน ๆ

  รวมภาพดีไซน์ที่คั่นหนังสือสุดเท่และน่ารัก เอาใจคนชอบอ่าน ที่จะทำให้การอ่านหนังสือไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

เปลี่ยนความคิดที่ว่าที่คั่นหนังสือต้องเป็นกระดาษทื่อ ๆ หรือเอาอะไรก็ได้มาคั่นหนังสือไปเลย เมื่อเว็บไซต์ Boredpanda นำเสนอที่คั่นหนังสือดีไซน์ที่เห็นแล้วโดนมาเอาใจคนรักการอ่าน ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์แค่เอาไว้คั่นหน้าหนังสือเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบมาให้มีความน่ารักและน่าสนใจอีกด้วย โดยมีทั้งแบบเรียบเก๋ น่ารักกุ๊กกิ๊ก หรือแบบที่เห็นแล้วต้องบอกว่า คิดได้ไงเนี่ย ?! จะเจ๋งขนาดไหนไปดูกันเลยจ้า


ภาพจาก Peleg Design

1. ถ้ากลัวจะมืด แค่มีที่คั่นหนังสือโคมไฟไว้สักอัน ก็อ่านต่อได้แม้ในที่อับแสง

 


ภาพจาก My Bookmark

2. เขาว่ากันว่า หนังสือจะพาตัวเราไปยังที่ต่าง ๆ ที่ไม่เคยไป ดูท่าจะจริงนะเนี่ย

 


ภาพจาก Peleg Design

3. ฮิปโปตัวโตแหวกว่ายอยู่บนสันหนังสือ น่ารักเหมือนตัวจริงมาเองเลย >.<

 


ภาพจาก Designboom

4. อ่านค้างไว้หน้าไหนนะ ไหนลองยกมือให้ดูหน่อยซิ

 


ภาพจาก 25 Togo Design


5. หมดปัญหาเรื่องจำไม่ได้ว่าอ่านถึงตรงไหน เพราะมีนิ้วชี้บอกได้ทุกตำแหน่ง ไม่ต้องอ่านทวนซ้ำทั้งหน้า

 


ภาพจาก Boredpanda


6. คั่นไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านใหม่นะ (Be right back)

 


ภาพจาก Peleg Design


7. ลายซิปเก๋ ๆ อยากอ่านก็รูด เอ้ย ! เปิดเลยจ้า

 


ภาพจาก Relogik


8. สำหรับใครที่ชอบอ่านหนังสือก่อนนอน เจ้านี่เป็นได้ทั้งโคมไฟและที่คั่นหนังสือเลย

 



ภาพจาก Icoeye


9. เจ๋งไปเลย ! เมื่อที่คั่นหนังสือและหน้าปกรวมตัวเป็นเรื่องเดียวกัน

 


ภาพจาก Japan Trend Shop

10. ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วยที่คั่นหนังสือรูปใบหญ้า ติดหลาย ๆ หน้าก็ดูเป็นพุ่มได้จ้า

 


ภาพจาก Connox 

หากเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ก็คงจะโดนใจกันไม่น้อย แต่คนที่อ่านหนังสือบ้างนาน ๆ ครั้ง หรือแทบไม่มีกะจิตกะใจอ่านหนังสือเลย ก็ลองหยิบมาใช้สักแบบสองแบบ ก็น่าจะช่วยกระตุ้นนิสัยรักการอ่านได้มากเลยล่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Boredpanda ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

วันนี้กูเกิลมีดูเดิลใหม่มาเซอร์ไพรส์กันอีกแล้ว หลังจากหายไปนานพอดูเลย ทางเรา หยิบเอาเรื่องราวเกี่ยวกับผู้เป็นที่มาของดูเดิลแปลกตามาฝากกันเช่นเคย

สำหรับดูเดิลวันนี้จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกครบรอบวันเกิด 64 ปี แซลลี่ ไรด์ นักบินอวกาศหญิงคนแรกของอเมริกา ซึ่งแม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ชื่อของเธอก็ยังถูกตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์การบินอวกาศอยู่ตลอดไป


แซลลี่ คริสเตน ไรด์ หรือ แซลลี่ ไรด์ เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1951 ที่นครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เธอเป็นนักฟิสิกส์ที่เข้าร่วมงานกับนาซาในเมื่อปี ค.ศ. 1978 เมื่ออายุได้เพียง 27 ปีเท่านั้น และหลังจากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนาซาแล้ว เธอก็ได้ปฏิบัติภารกิจเป็นนักบินอวกาศเมื่ออายุ 32 ปี นับว่าเป็นนักบินอวกาศหญิงอเมริกันคนแรกที่ได้เดินทางไปแตะอวกาศ ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเป็นนักบินอวกาศที่อายุน้อยที่สุดในโลก ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีนักบินอวกาศคนไหนมาทุบสถิตินี้ได้

สำหรับภารกิจในครั้งนั้นของแซลลี่ ไรด์ เธอเดินทางไปกับยานแชลเลนเจอร์ และได้เดินทางสู่อวกาศซ้ำอีกครั้งหลังจากนั้น ก่อนที่ต่อมาเธอเมื่อเธออายุได้ 36 ปี เธอก็ออกจากนาซา แล้วไปทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในฐานะศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ โดยยังรับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอวกาศแคลิฟอร์เนียด้วย แต่แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในนาซาแล้ว ไรด์ก็ยังคงคิดค้นและทำโปรเจคท์ให้กับนาซาอยู่ เช่น โปรเจคท์เพื่อการศึกษา ISS EarthKAM และโปรเจคท์เพื่อการศึกษาดวงจันทร์ GRAIL MoonKAM


นอกจากนี้ แซลลี่ ไรด์ ยังจัดตั้งบริษัท แซลลี่ ไรด์ ไซแอนซ์ (Sally Ride Science) ขึ้นด้วย เพื่อสร้างสรรค์โปรแกรมวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษา โดยจะเน้นไปทางกลุ่มนักเรียนหญิงโดยเฉพาะ

ระหว่างนั้นไรด์ก็มีบทบาทเป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์เรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2012 ไรด์ก็เสียชีวิตลงหลังจากต่อสู้กับมะเร็งตับอ่อนมานานกว่าปีครึ่ง ด้วยวัย 61 ปี ปิดตำนานนักบินอวกาศหญิงคนแรกของอเมริกาไปนับแต่นั้น

 


 

ขอขอบคุณ ภาพจาก Nasa, University of California , google

Written by on

Written by on

สัตว์เลี้ยงของชาวเมืองลากอส ที่ประเทศไนจีเรีย

เพื่อนๆเชื่อไหมว่า บนโลกของเราก็ต่างก็มีคนเลี้ยงสัตว์แปลกๆมากมายและที่จะพามาดูวันนี้ คือ การเลี้ยงสัตว์ของคนในทวีปแอฟริกาตะวันตก นั่นก็คือชาวเมืองลากอส ในประเทศไนจีเรียนั่นเองว่าแต่พวกเขาจะเลี้ยงสัตว์อะไรนั้น ตามมาดูภาพกันเลย

สัตว์เลี้ยงของคนที่นี่ก็คือ Hyena ยังไงล่ะเหมียว เพราะถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าสุนัขป่า แต่มันกลับมีความใกล้ชิดกับแมวอย่างเหมียว มากกว่าพวกสุนัขเสียอีกนะเนี่ย

ฟังดูแล้วก็ขนลุกเหมือนกันนะเหมียว เพราะถึงแม้ว่าเจ้า Hyena จะไม่ใช่นักล่าอันดับต้นๆ แต่พวกมันก็มีกรามที่สามารถกัดกระดูกจนแตก และหนักหน่วงกว่าสิงโตเยอะ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครกล้าเอามันมาเลี้ยงได้

ต้องขอขอบคุณช่างภาพอย่าง Pieter Hugo ที่ได้ไปประสบพบเจอมาด้วยตนเอง เพราะเขาได้ไปเก็บรูปภาพความยากจน

และปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ และก็ทำให้เขาอึ้งยิ่งกว่า เพราะนั่นคือ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ได้จบสัตว์สุดโหดอย่าง Hyena มาเลี้ยง

ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น สามารถความคุมเจ้า Hyena พวกนี้ได้ด้วยกระบอง และตระกร้อครอบปาก ซึ่งจะทำให้มันไม่สามารถไปทำร้ายใครได้ และป้องปันไม่ให้มันมากัดเจ้าของ ของมันเองยังไงล่ะ แต่ถ้าตระกร้อหลุด งานนี้ตัวใครตัวมันนิฮ้า และเหตุผลที่ชาวเมืองนำเจ้า Hyena มาเลี้ยงก็เพราะว่า มันเป็นสัตว์ใหญ่ ที่กินอะไรก็ได้ไม่เรื่องมาก แถมยังช่วยขู่คนแปลกหน้าได้ด้วย

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเลี้ยงสัตว์แปลกๆ เช่น งูหลือม ลิงบาบูน และอีกหลายชนิดเลยล่ะ

เรียกได้ว่าเป็นการเลี้ยงเพื่อป้องกันอันตรายจากภัยร้ายนั่นเอง ถึงแม้ว่าบางตัวจะเชื่องจนไม่กัดใครเลยก็ตาม

ขอขอบคุณ ที่มา : spokedark ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

สถิติเผย ประเทศต่อไปนี้เด็กมีความสุขที่สุดในโลก

 

เปิดอันดับประเทศที่เด็กมีความสุขที่สุดในโลก จากการสำรวจใน 15 ชาติที่มีความสุขอันดับต้น ๆ มาดูกันว่าเด็กชาติไหนจะติดโผกันบ้าง

เราเคยคิดว่าชีวิตวัยเด็กมีความสุขที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเด็กในยุคสมัยนี้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับแทบนับไม่ถ้วน ซึ่งก็คงมีมวลความสุขสูงจนน่าอิจฉา ทว่าพอได้เห็นสถิติอันดับประเทศที่ประชากรเด็กมีความสุขที่สุดในโลกจาก METRO แล้ว โอ้โห…บางประเทศที่ติดโผอาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ 3 ที่ห่างไกลเทคโนโลยีซะด้วยซ้ำ
จากการสำรวจประชากรตัวเล็กกว่า 53,000 คน ในช่วงอายุระหว่าง 10-12 ปี จาก 15 ประเทศ ทำให้มหาวิทยาลัยเกอเธ่ ประเทศเยอรมนี พบว่า นอกจากประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศในยุโรปตะวันตกแล้ว เด็ก ๆ ที่มีความสุขที่สุดในโลกก็กระจายตัวอยู่ในประเทศดังต่อไปนี้ 

1. โรมาเนีย
2. โคลอมเบีย
3. อิสราเอล
4. แอลจีเรีย
5. ตุรกี
6. นอร์เวย์
7. เอสโตเนีย
8. สเปน
9. เยอรมนี
10. เอธิโอเปีย

ขณะที่เด็กในประเทศแอฟริกาใต้, เนปาล, โปแลนด์ และเกาหลีใต้ รั้งท้ายอันดับประเทศที่เด็กมีความสุขที่สุดในโล­กจากการสำรวจครั้งนี้

สุดท้ายแล้วนักวิจัยก็ได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า เทคโนโลยีและความสะดวกสบายไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสุข­ของเด็ก ๆ เลยแม้แต่น้อย ทว่ามีปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ อีกหลายต่อหลายอย่างที่ส่งผลให้เด็กตัวเล็กทั้งหลายมีความสุขที­่สุดในโลกได้เหมือนกัน ดังนั้นดูแลพวกเขาด้วยความใส่ใจ เพียงแค่นั้นก็สร้างรอยยิ้มและค­วามสุขให้เด็ก ๆ ได้แล้ว

ขอขอบคุณ ที่มา : kapook ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

5 หลุมประหลาดลึกลับทั่วทุกมุมโลก

เรื่องราวลึกลับที่ชวนพิศวงในโลกนี้มีอยู่มากมายหลายเรื่องทีเดียว บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ ทั้งนี้หนึ่งในเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกก็มีเรื่องราวของหลุมประหลาด วันนี้เราจึงมี 5 หลุมประหลายที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่เกิดจากทั้งธรรมชาติ หรือจากบางสิ่งบางอย่าง มาให้คุณได้อึ้งกัน

1. The Son Doong Cave

ถ้ำซอนดุงเป็นถ้ำยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปากหลุมของถ้ำมีขนาดมหึมา ถูกค้นพบในปี 2009 ที่เมือง กง บินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับนักวิทยา่ศาสตร์เป็นอย่างมาก

ภายในถ้ำมีป่าที่เขียวชะอุ่ม มีน้ำตกหลายแห่ง มีหินงอกและหินย้อยขนาดยักษ์ อีกทั้งยังมีแม่น้ำใหญ่ สูงกว่า 80 เมตร กว้าง 80 เมตร มีระยะทางยาวไม่น้อยกว่า 4.5 กิโลเมตร ขนาดโถงที่สูงที่สุดของถ้ำคือ สูง 1400 เมตร กว้าง 1400 เมตรสามารถสร้างตึกระฟ้าสูงขนาด 40 ชั้นได้อย่างสบายๆ ถือเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ

2. The Black Hole Of Andros หลุมดำแห่งอันดรอส ที่ บาฮามาส

พื้นที่แห่งนี้มีหลุมที่มีแหล่งของชั้นหินปูนที่ลึกลับที่สุดของโลก ซึ่งหลุ่มที่รู้จักกันดีที่สุดของพื้นที่แห่งนี้ก็คือ หลุมดำแห่งอันดรอส เป็นหนึ่งในบรรดาหลุมลึกใต้ทะเลของบาฮามาส ถูกพบครั้งแรกในปี 1985 หลังจากที่ได้มีเครื่องบิน บินผ่านพื้นที่ตรงนี้ ก็ได้เห็นว่าทั่วทั้งบริเวณมีหลุมต่างๆ เต็มไปหมด อีกทั้งน้ำยังมีสีดำผิดปกติ ซึ่งมาการคาดว่าหลุมเหล่านี้คือหลุมอุกกาบาต

หลุมดำของอันดรอส จะมีสีของน้ำทะเลที่แตกต่างจากหลุมอื่น เพราะมันมีสีเข้มมาก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะความลึกของหลุม มันได้รับการสำรวจครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์และนักดำน้ำที่ชื่อ Steffi Schwabe โดยนักดำน้ำคนหนึ่งอธิบายว่า เมื่อพวกเขาว่ายน้ำลึกลงไป ภายใต้นั้น พบว่าเป็นชั้นบางๆ ของน้ำ พวกเขาอธิบายว่า น้ำข้างใต้นี้มีสภาพเหมือนเจลลี่

3. The Sawmill Sink แห่งบาฮามาส

The Sawmill Sink เป็นหลุมสีน้ำเงินอีกหลุมหนึ่งที่ถูกพบในบาฮามาส ซึ่งมันมีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นที่ตั้งของการขุดค้นทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในระยะตลอด 1,000 ปีที่ผ่านมา แลัยังพบซากฟอสซิลในหลุมแห่งนี้ มีทั้งซากของเต่ายักษ์ ซากของพืชสีเขียวที่มันยังเก็บคลอโรฟิลอย่างสมบูรณ์เอาแบบไว้ ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือซากของจระเข้ยักษ์ที่นักวิจัยเชื่อว่ามันถูกฆ่าตายโดยคนในพื้นที่

ที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งของหลุมแห่งนี้คือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหลุมดิน แต่น้ำในหลุมกลับไม่เคยแห้งแม้แต่น้อย มันจะมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดและเต็มไปด้วยน้ำอยู่เสมอ เช่นนี้จึงทำให้มันสามารถรักษาซากกระดูกต่างๆ เอาไว้ได้

4. Devil ' s Sinkhole หลุมของปีศาจที่รัฐเท็กซัส

หลุมของปีศาจ เป็นหลุมขนาดใหญ่ ข้างใต้เป็นห้องใต้ดินขนาดใหญ่ มีขนาดปากหลุมประมาณ 15 เมตร ลึกลงไปเป็นถ้าขนาด 106 เมตร ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวกว่า 3 ล้านตัว ในปัจบันหลุ่มแห่งนี้ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว

ประวัติศาสตร์ของหลุมแห่งนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ พบว่าหลุมนี้กำเนิดมายาวนานกว่า 4000-2500 ปีก่อน บ้างก็ว่าถ้ำถูกถล่มโดยพวกล่าสมบัติ ต่อมาก็ใช้เป็นที่พักพิงของกลุ่มคาวบอย ซึ่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของที่นี่ถูกทำลายลงเพราะมีผู้ผลิตปุ๋ยแอมโมเนียเข้ามาเก็บเกี่ยวขี้ค้างคาวจากในถ้ำ ทำให้หลักฐานหลายอย่างถูกทำลายไป

5. Mount Baldy 's Mysterious Holes หลุมลึกลับแห่งเขาบาลดี้

Mount Baldy 's Mysterious Holes หรือที่แปลว่า ภูเขาหัวล้าน ที่แห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในมณฑลซานดิโอ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกามีความยาวประมาณ 12 ไมล์ เป็นที่ที่คนมันมาพักผ่อนหย่อนใจหรือเดินสำรวจ

จนกระทั่งในปี 2013 ได้เกิดเรื่องประหาดขึ้น เมื่อ Nathan Woessner วัย 6 ขวบ กำลังเดินสำรวจอยู่ในบริเวณนี้ จู่ๆ ก็ได้เกิดหลุมทรายดูดขึ้น หนูน้อยรายนี้ถูกดูดลงไปใต้พื้นทรายลึกกว่า 3 เมตร เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงจึงนำตัวหนูน้อยออกมาได้อย่างปลอดภัย

เรื่องดังกล่าวสร้างความงุงงงให้กับนักธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก เพราะภูมิทัศน์ของเขาหัวล้านเป็นทราย ซึ่งไม่น่าจะสร้างอากาศจนเป็นเหตุให้เกิดหลุมยุบ หรือทรายดูดได้ แม้จะใช้เรด้าห์ตรวจจับก็ยังไม่พบช่องว่างที่จะทำให้เกิดหลุม แต่หลุมได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้รัฐบาลสั่งปิดปิดอุทยาน จนถึงวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงสรุปไม่ได้ว่าหลุมยุบเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ขอขอบคุณ ที่มา : patjaa.com ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

 
บินดิ เออร์วิน ลูกสาวนักล่าจระเข้ดัง สตีฟ เออร์วิน ตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งในวัย 16 ปี สวยแถมรักสัตว์เหมือนป๊ะป๋าเป๊ะ เป็นเวลา 8 ปีแล้วกับการจากไปของนักล่าจระเข้ชื่อดังชาวออสเตรเลีย ในตอนนั้นมีการเผยภาพ สตีฟ เออร์วิน กับการทำงานของเขาในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นการำลึกถึงชายผู้มีหัวใจแอดเวนเจอร์คนนี้ และในบรรดาภาพเหล่านั้นก็มีมุมชีวิตส่วนตัวของ สตีฟ และลูกสาวคนโต

บินดิ เออร์วิน อยู่ด้วย

ภาพในวันนั้นเธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงในชุดซาฟารียิ้มแฉ่งอยู่เคียงข้างคุณพ่อ แต่ตอนนี้ หนูน้อย บินดิ เออร์วิน เธอโตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว อายุ 16 ปีเต็ม กำลังจะย่างเข้า 17 ในเดือนกรกฎาคมนี้ เว็บไซต์ Elite Daily ซึ่งนำภาพอัพเดทของเธอมาฝากยังชมเปาะว่านอกจากจะโตขึ้นแล้ว ก็ยังมีความคิดอ่านที่น่ารักมาก ๆ ด้วย และที่เห็นได้ชัดสุด ๆ ก็คือความอ่อนโยนรักสัตว์ ไม่ว่าจะสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่าอย่างเต่า เสือ งู สาวน้อยบินดิเธอรักของเธอจริง ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ตั้งใจว่าหลังเรียนจบก็จะกลับมาลุยงานเต็มตัวที่สวนสัตว์ออสเตรเลียของคุณพ่อ เรียกได้ว่าลูกสาวคนนี้ได้เลือดเดียวกับป๊ะป๋ามาเต็มที่เลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

ขอขอบคุณภาพจาก Instagram bindisueirwin, ทวิตเตอร์ @bindiirwin

Written by on

Written by on

มหัศจรรย์ 10 บุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง

บนโลกใบนี้ ยังมีบุคคลแปลกๆ อีกมากมาย ทั้งตั้งใจให้ตัวเองแปลก หรือแปลกเองโดยธรรมชาติ 10 บุคคลสุดแปลกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้

1. มิเคล รัฟฟิเนลลิ หญิงผู้ครองสถิติมีสะโพกใหญ่ที่สุดในโลก โดยวัดรอบสะโพกได้ถึง 96 นิ้ว และมีน้ำหนักถึง 190 กิโลกรัม

2. ทอม สตานิฟอร์ด ชายผู้มีไขมันในร่างกาย 0% เขาเป็นโรคประหลาดที่ทำให้ร่างกายของเขาไม่มีไขมันสะสมใต้ชั้นผิวหนัง เป็นโรคที่ประหลาดสุดๆ และเคยพบเพียงแค่ 8 คนเท่านั้นบนโลกใบนี้

3. มิเชล คอบเค หญิงผู้ที่เอวเล็กที่สุด เนื่องจากเธอใส่คอร์เซ็ตนานติดต่อกันถึง 3 ปี เพื่อให้ตัวเองมีเอวเล็กที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ จนทำให้เธอมีเอวเล็กเพียง 16 นิ้วเท่านั้น

4. ดีดิเยร์ มอนทาลโว่ เด็กชายจากโคลัมเบีย ผู้ที่มีเนื้องอกขนาดยักษ์อยู่ที่หลังของเขาเหมือนกับเป็นกระดองเต่า โชคดีที่สุดท้ายเขาได้รับการผ่าตัดเพื่อนำเนื้องอกดังกล่าวออก จนกลับมามีชีวิตปกติได้อีกครั้ง

5. แมนดี้ เซลลาร์ หญิงที่มีขาใหญ่โตที่สุด โดยเกิดจากกระดูกที่บิดเบี้ยวและก้อนเนื้อที่โตขึ้นภายใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นโรคที่หายากมาก ทำให้ขาเธอมีน้ำหนักถึง 95 กิโลกรัม และต้องสั่งทำรองเท้าพิเศษที่มีราคาสูงถึงคู่ละ 128,000 บาท

6. โฆเซ่ เมสเทร ผู้ที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่บนใบหน้า ตั้งแต่อายุ 14 ปี เขาเริ่มมีเนื้องอกผุดขึ้นมา และมันก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนมีน้ำหนักถึง 5 กิโลกรัม มันส่งผลให้เขาตาบอดข้างนึง และมีความลำบากในการหายใจ การกินและการนอนอย่างมาก เขาใช้ชีวิตกับมันกว่า 40 ปี จนกระทั่งตัดสินใจไปผ่าตัดออกในปี 2010

7. รูดี้ ซานโตส ชายแก่จากฟิลิปปินส์ ชายผู้ทนทุกข์จากการเป็นโรคประหลาด ที่เกิดจากความผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์แฝด ส่งผลให้เขามีเหมือนกับแขนหรือขาพิเศษที่งอกออกมาจากหน้าท้อง แต่นั่นทำให้เขากลายเป็นคนดังระดับชาติ โดยการโชว์ตัวในช่วงปี 70-80s สามารถทำรายได้ให้เขาถึงคืนละ 14,000 บาท

8. อามู ฮัดจิ ชายแก่ชาวอิหร่าน ที่ไม่ได้อาบน้ำมานานกว่า 60 ปี นั่นอาจทำให้เขาเป็นชายที่สกปรกที่สุดในโลกก็ว่าได้ เขาใช้ชีวิตอยู่กับกองขยะ สิ่งสกปรกและซากสัตว์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาก็ไม่ได้เป็นโรคที่เกี่ยวกับผิวหนังร้ายแรงแต่อย่างใด แถมยังมีอายุยืนยาวได้ถึง 80 ปีอีกด้วย

9. เอลิซานี่ ดา ครูซ ซิลวา หญิงวัยรุ่นอายุ 18 ชาวบราซิล ผู้มีความสูงถึง 2.06 เมตร นั่นทำให้เธอเป็นหญิงวัยรุ่นที่มีความสูงมากที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้น เธอยังมีแฟนหนุ่มวัย 22 ที่มีความสูงเพียง 165 เซนติเมตรเท่านั้น

10. เดเด้ โคสวารา ชายชาวอินโดนีเซีย ผู้ที่เกิดมาเป็นโรคประหลาด ที่มีผิวหนังเหมือนเปลือกไม้ ถือว่าเป็นเคสที่หายากมาก โดยเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมผิวหนังที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แต่เขาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนกระทั่งปี 2008 เขาได้รับการรักษาเพื่อตัดเนื้อบางส่วนออกไปถึง 6 กิโลกรัม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดการเจริญเติบโตของผิวที่ผิดปกติ และรักษาเขาให้หายขาดได้

ขอขอบคุณ ที่มา : viralscape เรียบเรียงโดย : petmaya ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on