ร่มสัญลักษณ์ของความอ่อนแอในสมัยโบราณ

ร่มสัญลักษณ์ของความอ่อนแอในสมัยโบราณ

สมัยนี้ใครๆ ก็ถือร่มกันได้ทั้งนั้น แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้ชายที่ถือร่มเท่ากับประกาศตัวว่าเป็นชายหัวใจหญิง หรือกะเทยเลยทีเดียว

ร่มถือกำเนิดเป็นครั้งแรกที่ดินแดนเมโสโปเตเมียซึ่งแห้งแล้งมีแต่ทะเลทราย ชาวเมโสฯจึงไม่ได้ใช่ร่มกันฝน แต่เอาไว้บังแดดให้หายร้อน พวกเขาจึงเรียกสิ่งประดิษฐ์นี้ว่า umbra แปลว่า "บังแดด"

พอชาวอียิปต์ได้ครอบครองดินแดนในแถบเมโสโปเตเมีย ก็เกิดความเชื่อว่าแผ่นฟ้าทั้งหมดคือร่างกายของเทพธิดานัต ซึ่งแผ่ปกคลุมโลกเฉกเช่นร่มคันใหญ่มหึมา ในสายตาชาวอียิปต์ร่มเลยกลายเป็นภาคหนึ่งของเทพธิดานัต และจะกางเหนือศีรษะของผู้สูงศักดิ์เท่านั้น เช่น ฟาโรห์ อำมาตย์คนสำคัญ ถ้าฟาโรห์เรียกให้ใครเข้ามาบังแดดในร่มคันเดียวกับพระองค์ เท่ากับเป็นการให้เกียรติสูงสุด คนๆ นั้นต้องเป็นคนที่ทรงโปรดปรานมากๆ เช่น มเหสี หรือขุนศึกที่สร้างความดีความชอบครั้งยิ่งใหญ่

พอมาถึงยุคโรมันและกรีกเรืองอำนาจ นักรบโรมันซึ่งจะต้องเก๊กท่าห้าวหาญอยู่ตลอดเวลา เกิดมองว่าการมีร่มมาบังแดดเป็นการแสดงความอ่อนแอเหมือนสาวๆ ผิวบางที่กลัวแดดร้อนลมแรงของทะเลทราย เลยแอนตี้กันยกใหญ่จนกลายเป็นกระแสต่อต้านการกางร่มขึ้นมา สมัยนั้นถือว่าร่มเป็นของที่มีไว้ให้คนอ่อนแออย่างผู้หญิงกับเด็กใช้กัน ผู้ชายวัยฉกรรจ์จะไม่ยอมใช้ร่มเป็นอันขาด ยกเว้นแต่จะกางให้คนรัก (ส่วนตัวเองยืนทนร้อน)

สำหรับการใช้ร่มเพื่อกันฝนก็เริ่มมีใช้กันในยุคโรมันนี่เอง เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งขณะที่สาวๆ กำลังไปดูละครกลางแจ้งได้เกิดมีฝนตกลงมา พวกสาวๆ ร่วมร้อยคนก็เลยยกร่มขึ้นมาบังฝนสร้างความรำคาญ (และอิจฉา) ให้กับผู้ชายที่ยืนกันตัวเปล่าๆ เป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีการฟ้องร้องกันเลยทีเดียว ในศตวรรษที่ 1 แห่งคริสตกาลมีคนเสนอเรื่องนี้ให้จักรพรรดิโดมิเทียนทรงตัดสิน คนเสนอซึ่งเป็นผู้ชายคงคิดว่าพระจักรพรรดิจะเข้าข้างลูกพวกผู้ชายด้วย แต่ผิดคาดจักรพรรดิโดมิเทียนทรงตัดสินให้ผู้หญิงมีสิทธิ์กางร่มกันฝนในที่สาธารณะได้ นับจากนั้นการใช้ร่มก็เลยยิ่งแพร่หลาย สามารถใช้ได้ในทุกโอกาส และผู้หญิงในสมัยต่อมาก็ได้คิดปรับปรุงเอาน้ำมันมาทาร่ม ทำให้กันน้ำได้โดยไม่เปื่อยยุ่ย

ความเชื่อเรื่องร่มเป็นของใช้ของผู้หญิงเท่านั้น ได้แพร่จากกรีกโรมันเข้าไปในยุโรปทำให้พวกผู้ชายไม่ยอมถือร่มโดยเด็ดขาด ในสมัยนั้นร่มถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรบรรจงสร้างมาก มีการติดลูกไม้ ติดระบายสวยงามและผู้หญิงก็จะถือร่มเหมือนเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง

ผู้หญิงผูกขาดการถือร่มอยู่หลายร้อยปีจนถึงปี ค.ศ.1750 "นายโจนาส แฮนเวย์" ชายชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่ออกมารณรงค์สิทธิในการใช้ร่มของผู้ชายโจนาสจะถือร่มติดมือตลอดเวลาไม่ว่าจะไปทำธุระที่ไหน ตอนแรกมีแต่คนล้อเลียนเยาะเย้ยการกระทำผ่าประเพณีสังคมของเขา เพื่อนๆ คิดว่าเขาเป็นกะเทย เด็กวัยรุ่นจะตะโกนล้อเลียนเวลาเขาเดินผ่าน ส่วนคนขับรถเกลียดโจนาสมาก เพราะถ้าชาวอังกฤษทำตามเขา พากันถือร่มออกมาเดินเวลาฝนตกกันหมด คนที่เช่ารถม้าเพื่อหลบฝนก็จะน้อยลง คนขับรถม้าก็จะขาดรายได้ไปด้วย ถึงจะถูกเย้ยหยันแต่โจนาสก็ยังยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ต่อไป จนในที่สุดผู้ชายคนอื่นๆ ก็เริ่มเอาอย่าง และเริ่มเห็นว่าการลงทุนซื้อร่มเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะในกรุงลอนดอนฝนตกสลับกับแดดออกตลอดวัน พอถือร่มแล้วก็ไม่ต้องเรียกรถม้าทุกครั้งที่ฝนตกอีก ทำให้ประหยัดเงินได้มากทุกคนเลยหันมานิยมถือร่มตามโจนาสและร่มก็กลายเป็นของใช้ของคนทุกเพศมาจนถึงทุกวันนี้

Tip ความเชื่อเกี่ยวกับร่ม

  • ในสมัยของชาวตะวันตก บาทหลวงจะกางร่มเพื่อเดินนำหน้าศพเลยถือเป็นเคล็ดว่าอย่าวางร่มบนโต๊ะหรือบนเตียง ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุร้ายกับคนในบ้าน
  • อย่าให้ร่มเป็นของขวัญกับใคร ถ้าให้ก็เท่ากับแช่งคนที่ได้รับของขวัญให้มีอันเป็นไป
  • คนที่ทำร่มหลุดมือจะเป็นบ้า

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Lisa ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

airban-300x250
0
Shares