รวบรวมข้อมูล ความรู้ บทความดีๆ เด็ดๆ เกี่ยวกับการลดความอ้วน การลดน้ำหนักที่เราสามารถทำเองได้ นอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยลดน้ำหนัก ช่วยให้หุ่นผอมเพรียวแล้ว ยังจะทำให้คุณสาวๆ มีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากผลข้างเคียงได้ด้วยค่ะ หมวดหมู่นี้จะเหมาะสำหรับคุณๆ ที่กำลังต้องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วนอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะกำลังเริ่มต้นหรือลดมานานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล สามารถที่จะนำวิธีต่างๆ ไปปฏิบัติตามกันได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีในการลดน้ำหนัก อาหารที่ทานแล้วช่วยลดความอ้วนหรือทานแล้วไม่อ้วน วิธีการออกกำลังกายเพื่อลดหุ่นเฉพาะส่วน ลองเลือกนำไปปฏิบัติตามกันได้เลย ซึ่งทาง เพ็ชรสังข์.คอม ได้รวบรวมไว้ให้คุณผู้อ่านอย่างมากมายและครบครันแล้วค่ะ

Written by on

มารู้จักกับ 10 ตัวการร้าย ที่ทำให้ลดหน้าท้องเท่าไหร่ก็ไม่เฟิร์มสักที

การลดหน้าท้องเป็นอีกสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ เพราะหากรูปร่างผอม น้ำหนักลด แต่พุงป่องก็คงไม่สวยอยู่ดี ไม่ว่าจะงัดออกมาหลายกระบวนท่าแล้วเจ้าหน้าท้องย้วยๆ ก็ไม่หายไปสักที หากใครที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ อาจเป็นเพราะ ตัวการร้ายเหล่านี้ก็ได้นะคะ

ปัญหาน้ำหนักตัวยังไม่ทำให้หนักใจเท่าปัญหาหน้าท้องที่ล้ำหน้าออกมาเกินขีดจำกัดเลยว่าไหมคะ เพราะต่อให้มีรูปร่างสมส่วนแต่มีหน้าท้องป่อง ๆ แถมมาด้วยก็ใส่เสื้อผ้าไม่สวยแน่ ๆ ที่สำคัญใครกำลังพยายามลดหน้าท้องมานานแล้วแต่ผลลัพธ์กลับไม่คืบหน้า ข้อมูลทางการแพทย์จาก เว็บไซต์ไทม์ ก็เผยว่า อาจเป็นเพราะ 10 เหตุผลตัวร้ายเหล่านี้คอยขัดขวางให้คุณลดหน้าท้องไม่สำเร็จสักทีก็เป็นได้

อีกทั้งการมีหน้าท้องนูน ๆ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งได้ด้วยนะ เอ้า ! ถ้าอย่างนั้นรีบมาลดหน้าท้องกันด่วนเลย

ภาพจาก : sabdee.com

1. อายุมากขึ้น

อายุยิ่งมากก็ยิ่งลดหน้าท้องยากมากขึ้น นั่นเป็นเพราะกลไกธรรมชาติของร่างกายทำงานได้ช้าลง ด้อยประสิทธิภาพตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะคุณสาว ๆ ที่ก้าวเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเทอโรนจะถูกผลิตน้อยลง ส่งผลให้ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนมีอัตราสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งความแปรปรวนของฮอร์โมน ณ จุดนี้ก็อาจเหนี่ยวรั้งให้ผู้หญิงควบคุมน้ำหนักตัวได้ยาก รวมทั้งหน้าท้องก็จะขึ้นง่ายแต่ทำกลับให้แบนราบเหมือนเดิมลำบาก ทว่าแม้เราจะไม่สามารถต้านทานธรรมชาติได้ แต่ถ้าดูแลตัวเองได้ดี กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดไขมัน ลดแป้ง และออกกำลังกายสม่ำเสมอ หน้าท้องแบนราบในช่วงเลยวัยรุ่นมาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความตั้งใจหรอกนะคะ

ภาพจาก : beautiful-diet.com

2. ออกกำลังกายผิดวิธี

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเคลื่อนไหวร่างกายเรียกเหงื่อทั่วไปอาจดีกับหัวใจเป็นอย่างมาก แต่นั่นไม่เพียงพอให้คุณลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนได้มากอย่างที่คิดไว้ เพราะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยเบิร์นได้แค่ไขมันบางส่วนเท่านั้น ซึ่งหากจะให้ดีควรต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอควบคู่ไปกับการเล่นเวท เนื่องจากการเล่นเวทจะช่วยเบิร์นไขมันและสร้างกล้ามเนื้อไปในตัว ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ครอบคลุมมากกว่า แถมยังช่วยให้คุณฟิตเฟิร์มส่วนเกินให้กลับมาเชฟบ๊ะได้ง่ายกว่า

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายก็แนะนำให้ออกกำลังกายระดับปานกลาง (Moderate-Intensity Exercise) หรือการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนาน 30-60 นาที/ครั้ง ให้ได้ประมาณ 250 นาที/สัปดาห์ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็พยายามออกกำลังกายแบบเข้มข้นสูง (High-Intensity Exercise) ซึ่งจะเป็นการออกกำลังกายแบบเร็วและออกแรงสุดและค่อย ๆ ผ่อนให้ช้าสลับกันไปเป็นช่วง ๆ อย่างนี้ให้ได้สัปดาห์ละ 125 นาที

ภาพจาก : rbac.ac.th

3. กินอาหารสำเร็จรูปมากเกินไป

เหตุผลง่าย ๆ ที่เชื่อว่าเราทุกคนรู้กันดีอยู่กับใจ แต่ห้ามความอยากของปากไม่ได้สักที ดังนั้นก็คงไม่ต้องแปลกใจหากหน้าท้องของคุณจะมาเต็มขนาดนี้ ยิ่งกับคนที่ชอบดื่มน้ำหวาน อาหารฟาสต์ฟู้ด และอาหารประเภทแป้งขัดสีเป็นประจำ สารปนเปื้อนที่มาพร้อมกับกระบวนการแปรรูปอาหารเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงไปยังร่างกายของเรา สร้างข้อบกพร่องและอาการอักเสบจนเป็นเหตุให้หน้าท้องยื่นออกมา คราวนี้จะกลับไปลดหน้าท้องให้แบนราบก็คงยาก ถ้ายังไม่ปรับพฤติกรรมรับประทานอาหารของตัวเองสักที

ภาพจาก : adevalles.org

4. รับประทานไขมันชนิดไม่ดีเป็นส่วนใหญ่

ไขมันไม่ใช่อาหารต้องห้ามของร่างกาย แค่ต้องรับประทานให้เป็น ซึ่งนอกจากจะต้องจำกัดปริมาณไขมันให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ก็ควรต้องเลือกกินไขมันให้ถูกชนิดด้วย โดยไขมันชนิดดีที่ควรรับประทานก็ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats) ประเภทไขมันจากอะโวคาโด น้ำมันมะกอก เป็นต้น และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fats) ประเภทไขมันจากเมล็ดดอกทานตะวัน ไขมันจากปลา ไขมันจากถั่วชนิดต่าง ๆ ซึ่งมักจะมีโอเมก้า 3 ปะปนอยู่มาก และหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันอิ่มตัวอย่างไขมันจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน และไขมันจากผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากไขมันอิ่มตัวประเภทนี้จะเข้าไปสะสมอยู่ในช่องท้อง กลายเป็นไขมันที่เกาะอยู่ภายในอวัยวะ (Visceral Fat) เป็นที่มาของรอบเอวหนา ๆ และเซลลูไลท์นั่นเองจ้า

ภาพจาก : google.com

5. ไม่จริงจังกับการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเอาชนะไขมันและความอ้วนได้จริง เพียงแต่เราต้องใส่ความมุ่งมั่นตั้งใจกับการออกกำลังกายให้มาก ไม่ใช่ว่าเหนื่อยก็พัก หนักก็พอ แต่ต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และหากอยากเห็นผลลัพธ์เป็นหน้าท้องแบนราบเร็ว ๆ ผลวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Medicine and Science in Sports and Exercise ก็เผยว่า การออกกำลังกายแบบความเข้มข้นสูง (High-Intensity Workout) ช่วยลดหน้าท้องได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบอื่น ๆ แถมยังใช้เวลาเบิร์นไขมันส่วนเกินน้อยกว่าอีกต่างหาก ที่สำคัญพอลดหน้าท้องได้สำเร็จแล้วก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ หยุดออกกำลังกายไปซะดื้อ ๆ นะคะ เพราะไม่เช่นนั้นหน้าท้องก็มีโอกาสกลับมาหาคุณอีกไม่ยาก

ภาพจาก : kapook.com

6. เครียดพาอ้วน

ความเครียดไม่เคยดีต่อสุขภาพเลยสักนิดเดียว เพราะนอกจากจะโน้มน้าวให้ร่างกายอ่อนแรง เศร้าซึม จนอยากกินของหวานเพื่อปลุกความสดชื่นให้ร่างกายแล้ว เมื่อเครียดร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาเกินปกติ ทำให้ไขมันในเลือดพุ่งกระจายไปยังเซลล์ต่าง ๆ ก่อให้เกิดภาวะไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ได้ง่ายขึ้น ทีนี้ก็ถึงตาหน้าท้องและไขมันส่วนเกินจะออกอาละวาดแล้วละ

ภาพจาก : twitter.com

7. พักผ่อนไม่เพียงพอ

ผลวิจัยจากสถาบันสุขภาพนานาชาติของอเมริกาเผยว่า กลุ่มคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง มีอัตราน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 30% หรือมากกว่านั้น ในขณะที่อาสาสมัครกลุ่มที่นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ มีแนวโน้มน้ำหนักตัวลดลง ซึ่งก็สรุปได้ว่า คนที่นอนน้อยร่างกายจะเกิดการแปรปรวน กระบวนการเผาผลาญต่าง ๆ ก็ด้อยประสิทธิภาพลงจนเป็นเหตุให้มีโอกาสตุ้ยนุ้ยกว่าคนที่นอนหลับเต็มอิ่ม ดังนั้นต่อไปก็รีบเข้านอนเร็ว ๆ กันเถอะ

ภาพจาก : magicbodyonline.com

8. คุณมีรูปร่างเป็นทรงแอปเปิล

หากคุณเป็นคนที่ช่วงเอวหนากว่าส่วนสะโพกและบั้นท้าย รูปร่างลักษณะนี้เรียกว่าทรงแอปเปิล ซึ่งธรรมชาติของยีนลักษณะนี้จะบังคับให้คุณเป็นคนที่มีหน้าท้องโดยอัตโนมัติ แถมยังลดหน้าท้องได้ยากกว่าลักษณะอื่น ๆ อีกด้วย

ภาพจาก : pobpad.com

9. ภาวะของโรคบางอย่าง

ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบหรือ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนออกมามากกว่าปกติ เป็นผลให้น้ำหนักขึ้นง่าย และมีภาวะผิดปกติในหลาย ๆ จุด โดยส่วนมากจะเกิดกับหญิงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งอาจทำให้คุณมีปัญหากับประจำเดือน ขนดก มีบุตรยาก ผิวหน้ามัน และเป็นสิวมากร่วมด้วย

ภาพจาก : thaiza.com

10. เพิกเฉยต่อไขมันหน้าท้อง

หลายคนคิดว่าไขมันหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เลยไม่ได้ใส่ใจจะควบคุมอาหารหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งบางรายยังห่างไกลการออกกำลังมาก ๆ ด้วย ซึ่งจุดนี้อาจทำให้คุณลืมระมัดระวังตัวจากโรคร้ายกลุ่ม NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ซึ่งมาพร้อม ๆ กับโรคอ้วนลงพุง และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายเริ่มแย่ไปแล้ว ฉะนั้นพยายามดูแลสุขภาพของตัวเองไว้ก่อนดีกว่านะคะ เหล่าอาหารไขมันสูง แป้งเน้น ๆ น้ำตาลแน่น ๆ หลีกเลี่ยงให้ไกลด่วนเลย แล้วอย่าลืมออกกำลังกายสลายพุงกันเป็นประจำด้วยล่ะ

โรคอ้วนลงพุงดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่จริง ๆ แล้วแฝงไปด้วยปัญหาสุขภาพและโรคอันตรายอย่างโรคหัวใจ โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด โรคเบาหวาน และมะเร็งอีกหลายชนิด ดังนั้นทางที่ดีพยายามรักษาหน้าท้องให้แบนราบไร้ไขมันส่วนเกินกันดีกว่าเนอะ

ขอบคุณ ที่มา : Kapook ภาพจาก : meloveclub

Written by on

Written by on

4 เคล็ดลับเด็ดช่วยลดไขมัน สำหรับสาวยุคใหม่

คุณสาวๆ ที่คลั่งไคล้การลดน้ำหนัก คงจะมีสูตรเด็ดเคล็ดลับในการช่วยเผาผลาญพลังงานในสูตรเฉพาะของตัวเองกันอยู่แล้ว แต่อาจจะมีเคล็ดลับบางอย่างที่คุณอาจมองข้ามอยู่ก็ได้

คุณรู้จักเคล็ดลับการเผาผลาญไขมันมาแทบทุกอย่างแล้ว แต่นี่คือบางอย่าง ที่คุณสามารถเพิ่มเข้าไปได้เพื่อจัดการโจมตีไขมันในแบบที่ต่างออกไป

ภาพจาก : kapook.com

1. เล่นโยคะตอนเช้า เพียงแค่ 15 นาที การเล่นโยคะในตอนเช้าจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น การย่อยดีขึ้น ทั้งหมดนำไปสู่การเผาผลาญไขมันและแคลอรีที่มากขึ้น และสุขภาพจิตจะดีไปตลอดทั้งวันด้วย

ภาพจาก : kapook.com

2. ท้าทายตัวเองสัปดาห์ละอย่าง การออกกำลัง เพื่อให้ตัวเองแข็งแรงและดูดี ไม่ได้ผลดีเท่ากับการออกกำลังอย่างมีเป้าหมาย เพราะการตั้งเป้าหมายจะทำให้คุณฝึกตัวเองเต็มที่ขึ้น ลองตั้งเป้าหมายในแต่ละสัปดาห์ เช่น การวิ่งขึ้นลงบันไดอย่างรวดเร็ว 10 รอบ แข่งเทนนิสหรืออกกำลังกายที่คุณไม่เคยลองมาก่อน เช่น เต้นระบำหน้าท้อง หรือชกมวย

ภาพจาก : beauty24store.com

3. ยกน้ำหนักพร้อมคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอสลับวันกับการยกน้ำหนักเป็นเรื่องดี แต่การออกกำลังแบบคาร์ดิโอสัก 20-30 นาที ด้วยความหนักที่หลากหลายกันหลังการยกน้ำหนัก จะช่วยเผาผลาญไขมันในระหว่างนั้นและหลังจากนั้นอีกหลายชั่วโมง ลองวอร์มอัพด้วยการออกกำลังแบบคาร์ดิโอสัก 7 นาที ตามด้วยการยกน้ำหนัก 40 นาที และออกกำลังแบบอินเทอร์วัลอีก20 นาที มันจะช่วยคุณเผาผลาญไขมันได้สูงสุดในเวลาน้อยที่สุด

ภาพจาก : pt-thailand.com

4. สั้นและหนักหน่วง หมดสมัยของการออกกำลังหรือยกน้ำหนักนานๆ แล้ว ทุกวันนี้เป็นเรื่องการออกกำลังแบบสั้น ๆ แต่มีประสิทธิภาพ การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Sports Medicine and Physical Fitness ชี้ว่า การยกน้ำหนักแบบหนัก ๆ ในช่วงสั้น ๆ ทำให้กล้ามเนื้อพัฒนาดีขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการยกน้ำหนักตามปกติ และทำให้มีกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันมากกว่า

ขอบคุณ ที่มา : Lisa ภาพจาก : wholelifestylenutrition

Written by on

Written by on

เครื่องออกกำลังแบบมีสายลดเอวได้จริงหรือ

คุณสาวๆ ที่ชอบไปฟิตเนสคงจะเคยเห็นเครื่องออกกำลังกายแบบที่มีสาย ที่เอาไว้คาดเอวแล้วมันจะสั่นๆ กันนะคะ ไอ้เจ้าเครื่องออกกำลังกายตัวนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพราะคุณสาวๆ เชื่อกันว่าจะช่วยลดความหนาของเอวได้ แต่จริงๆ แล้วมันจะช่วยได้ไหม เรามาคำตอบมาฝากกันแล้วค่ะ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเผยถึงเรื่องนี้ว่า เครื่องสั่นเอวนั้นทำให้ไขมันมีการเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้ปริมาณไขมันลดลงได้ แต่การสั่นเอววอย่างเดียวจะทำให้ร่างกายเราไม่ได้ออกกำลังกายจริงๆ เพราะหัวใจก็ยังเต้นในระดับปกติ ถ้าจะให้ดีควรจะวิ่งหรือหาวิธีอื่นที่หัวใจได้สูบฉีด

รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าได้พึ่งเครื่องออกกำลังกายอย่างเดียวค่ะ ควรจะออกแรงวิ่งให้ร่างกายทุกส่วนได้ขยับ ยังหนุ่มๆ สาวๆ ยังมีแรงอีกเหลือเฟือค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ลดพุงง่ายๆ ด้วยยางรัดผม

พุงย้วยๆ มองยังไงก็ไม่สวย สาวๆ ส่วนใหญ่จึงให้ความสนใจกับการลดพุงเพื่อให้มีพุงหรือหน้าท้องที่แบนราบ ดูแข็งแรง เพราะพุงถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการดูแลรูปร่างของสาวๆ การออกกำลังเพื่อลดพุงนั้นก็มีได้หลายวิธี ไม่ว่าจะ ซิทอัพ ควบคุมอาหารหรือแม้แต่ทานยาลดความอ้วน

แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น การลดพุงได้กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ ไปเสียแล้ว ในเมื่อพวกเขาสามารถที่จะมีหน้าท้องที่แบนราบได้ โดยที่ไม่ต้องอดอาหารหรือออกกำลังกายกันอย่างหนัก พวกเขาเพียงแค่มีหนังยางเส้นเดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ง่าย ๆ เลยจากการที่เราทิ้งตัวลงนั่ง เหยียดขาให้ตึง โดยที่เท้าทั้งสองข้างแนบชิดกัน และยกปลายเท้าตั้งขึ้น จากนั้นก็นำยางรัดผมแบบหนา (อาจจะมีส่วนผสมของไหมพรมเพื่อไม่ให้รัดจนเจ็บเกินไป) มาคล้องลงไปในหัวแม่เท้าทั้งสองข้างที่ติดกัน (อย่าพยายามให้ส้นเท้าแยกจากกัน) เสร็จแล้วก็นอนราบลงกับพื้น เพียง 5 นาทีต่อวัน พุงของคุณก็จะสามารถแบนราบได้โดยที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย

ซึ่งวิธี "ยางรัดผม ลดพุง" นี้ คนที่คิดค้นเขาบอกว่า เมื่อกระดูกบั้นเอวเกิดอาการเบี้ยว โย้เย้ อยู่ไม่ตรงที่แน่นอนนั่นเอง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อบั้นเอว และหน้าท้องของเรานั้นหยุดการทำงานที่ดีไป

ดังนั้นเมื่อเราได้ใช้หนังยางรัดลงไปที่นิ้วหัวแม่เท้า ซึ่งเป็นจุดสำคัญของร่างกายที่จะไปช่วยบังคับการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้ทำงานดีขึ้นและตรงเป้าหมาย ช่วยให้กระดูกบั้นเอวของเรากลับคืนมาสู่ในที่ตั้งอันมั่นคง เป็นปกติ คือไม่เบี้ยวโย้เย้ กล้ามเนื้อหน้าท้องและรอบบั้นเอวก็จะค่อย ๆ แบนราบลง

โอ้โห...สุดยอดไปเลยใช่มั้ย น่าทึ่งจริง ๆ ขอยกนิ้วให้พี่ยุ่นเขาเลย

ขอบคุณ ที่มาและภาพ : kapook , beauty24store

Written by on

Written by on

เปลี่ยนบุคลิกช่วยหุ่นเพรียว

บุคลิกของเราก็ช่วยให้ดูหุ่นเพรียวสวยได้นะคะ เช่นลักษณะการนั่ง การยืน เราคงจะเคยโดนคุณพ่อคุณแม่ดุกันมาแล้วว่าอย่ายืนหลังโก่ง เวลาเดินให้ตัวตรง เวลานั่งอย่าก้มมากเกินไปใช่ไหมค่ะ เพราะการเปลี่ยนบุคลิกตามที่ผู้ใหญ่บอกก็สามารถทำให้เราดูผอมเพรียวได้ วันนี้เราเลยมีท่ายืนท่านั่งในอิริยาบถต่างๆ ที่ควรทำตามมาฝากกันค่ะ

1. ยืนแปรงฟัน ควรยืนหลังตรง ไหล่ผายออก คอตั้งตรงมือข้างที่ถือยาสีฟันยกขึ้นให้ศอกอยู่ระดับไหล่ การยืนที่ถูกต้องแบบนี้จะช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับกิจกรรมต่อไปของวันด้วยล่ะค่ะ ที่สำคัญคือ อย่ายื่นหน้าเข้าหากระจกเพราะจะเพิ่มแรงกดให้กับกระดูกต้นคอและทำให้กระดูกสันหลังอ่อนแอด้วย

2. ท่าคุยโทรศัพท์ ควรใช้อุปกรณ์เสริมในการคุย เพราะจะทำให้คุณคุยโทรศัพท์ได้สะดวกไม่ว่าจะอยู่ในท่าใด สิ่งที่ไม่ควรทำคือการเอนศีรษะเข้าหาโทรศัพท์หรือวางไว้ระหว่างไหล่กับหู จะทำให้กระดูกคอเสื่อมได้ค่ะ

3. ท่านั่งทำงาน นั่งหลังตรง แผ่นหลังและข้อพับเข่าด้านหลัง ห่างจากเก้าอี้ 2-4 นิ้ว ถ้าใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คให้ปรับหน้าจอเอนราว 110 องศา แต่ถ้าเป็น PC ต้องปรับเก้าอี้ให้ระดับสายตาพอดีกับหน้าจอวางคีย์บอร์ดไว้ด้านหน้าในตำแหน่งที่ยื่นมือพิมพ์ได้สะดวก ท่าที่เหมาะสมคือศอกทำมุม 90 องศา และแนบชิดกับลำตัว

4. ท่าเดิน เดินให้ศีรษะ ไหล่ หัวเข่าและนิ้วเท้าอยู่ในระนาบเดียวกัน ก้าวให้จมูกเท้าสัมผัสพื้นเป็นส่วนแรก แกว่งแขนตามสบาย ถ้าจะเดินเพื่อออกกำลังให้แขม่วหน้าท้อง และแขนทำมุม 90 องศาไปด้วยค่ะ

5. ท่านั่งดูโทรทัศน์ วางเท้าทั้งสองขนานกับพื้น เข่าชิด หลังตรงไม่เกร็ง สามารถนั่งตามสบายได้ช่วงพักโฆษณา ไม่ควรนั่งตัวเอนหลังจมไปกับโซฟา เพราะจะทำให้หลังค่อม และปวดเมื่อยแม้จะกลับมานั่งในท่าปกติแล้วก็ตาม

ทราบถึงบุคลิกที่ดีกันไปแล้วก็อย่าลืมค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะคะ แล้วเราจะพบว่าบุคลิกของเราชวนมองมากขึ้นและยังทำให้รูปร่างของเราดูเพรียวลมมากขึ้น ใครที่รู้สึกว่าตัวเองดูตันๆ ลองปรับดูนะคะ ไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

5 วิธีลด 500 แคลอรีต่อวัน

สาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนักอยู่รีบมาฟังทางนี้ด่วนๆ เลยค่ะ เรามีเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณลดจำนวนแคลอรีให้ได้วันละ 500 แคลอรีมาฝากกันคะ ซึ่งหากคุณลดได้วันละ 500 แคลอรีแล้วละก็เท่ากับว่าในเดือนนึงคุณจะลดได้ถึง 2 กิโลกรัมเลยทีเดียวค่ะ

1.อย่าอยู่นิ่ง คุณสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 350 แคลอรีต่อวัน เพียงแค่การไม่หยุดอยู่กับที่ ไม่ว่าจะเป็นการเดนิไปเดินมาหรือทำนู่นทำนี่ เมื่อคุยโทรศัพท์ให้ลุกขึ้นเดิน หรือทำท่ากายบริหารไปด้วยถ้าคุณสะดวก และอย่ากินหน้าคอม หรือหน้าจอทีวี การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ชี้ว่า พฤติกรรมเช่นนั้นจะทำให้คุณกินเพิ่มขึ้นอีก 288 แคลอรีเชียวนะ ลองเปลี่ยนไปเดินสักชั่วโมงดีกว่า ซึ่งพอนับปริมาณแคลอรีที่คุณไม่ใต้กินรวมกับแคลอรีที่คุณเผาผลาญแล้ว วันหนึ่งต้องได้ถึง 500 แคลอรีแน่ ๆ

2.อย่าสวาปาม 'สลัด' โดยเฉพาะเมื่อสลัดมาในชามโต จริงอยู่ที่สลัดมักจะดีต่อสุขภาพ แต่ส่วนผสม เช่น ไข่ ครีมสลัด ชีสผง ผลไม้แห้ง ขนมปังกรอบ หรือแม้แต่ถั่วนั้น เป็นอาหารที่มีแคลอรีสูง โดยถั่วเพียงหนึ่งหยิบมือก็จะให้ถึง 175 แคลอรีแล้ว (แม้จะมีคุณค่าทางสารอาหาร) คุณสามารถลดถึง 500 แคลอรีได้ ด้วยการตัดเครื่องสลัดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง และเลือกผักที่มีแคลอรีต่ำ เช่น หัวหอม เห็ด หรือพริกหวานแทน

3.ใช้ถ้วยชามเล็ก ๆ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ชี้ว่ายิ่งชามใหญ่คุณก็จะยิ่งกินเยอะ หากคุณเปลี่ยนขนาดจานจากเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 นิ้ว มาเป็น 10 นิ้ว คุณจะกินน้อยลง 20-25% หรืออย่ากินหมด ให้เหลืออาหารไว้สัก 25% ทุกมื้อ หมายความว่าในหนึ่งวัน จะลดได้กว่า 500 แคลอรีโดยไม่รู้สึกหิวด้วยซ้ำ และเราก็ไม่อนุญาตให้คุณกินมันฝรั่งทอดกรอบกหรือของว่างอื่น ๆ จากถุง เพราะคุณจะรู้สึกว่า 'ต้องกินให้หมด' อย่าตกหลุมพรางเชียว

4.ละเว้นเครื่องดื่มหวานมัน การใส่น้ำเชื่อม น้ำผลไม้สังเคราะห์เข้มข้น หรือนม อาจทำให้ของหวานที่คุณดื่มเปลี่ยนไป เช่น เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต จะให้พลังงานแค่ 30 แคลอรี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นลาเต้ปั่นราดวิปครีมแล้ว อาจจะมีพลังงานสูงถึง 670 แคลอรีเลยนะ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เลือกเครื่องดื่มที่ผสมโซดาผสมมะนาว หรือผสมน้ำแครนเบอร์รี่ อาจจะช่วยให้คุณตัดออกไปได้ 800 แคลอรีต่อวันเลยล่ะ!

5.กินกับคนน้อย ๆ การกินข้าวกับคนตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป อาจทำให้คุณกินมื้อนั้นเพิ่มขึ้นถึง 96% เชียวนะ แถมสำรับกับข้าวที่เตรียมไว้ใกล้โต๊ะอาหารจะยิ่งทำให้คุณกินจานที่สองและสาม ต่ออย่างรวดเร็ว แต่คุณสามารถลดแคลอรีได้โดยการชวนเพื่อนมากินข้าวน้อย ๆ ตั้งสำรับแต่พอดี ส่วนที่เหลือเก็บไว้ในครัวให้ตักลำบากหน่อยดีกว่า

เผาผลาญให้มากขึ้น : กินก่อนเข้าฟิตเนส!

การกินอาหารหรือไม่กินก่อนออกกำลังกาย อาจจะถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า คุณควรจะกินก่อนเข้าฟิตเนส เพราะร่างกายจะมีพลังงานสำหรับการออกกำลังให้นานขึ้น และเบิร์นแคลอรีได้มากขึ้น ซึ่งอาหารที่แนะนำก็คือ ขนมปังโฮลเกรนสักแผ่น (ทาเนยถั่ว) หรือผลไม้

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Lisa ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

15 เทคนิคกลบเกลื่อนเมื่อคุณลดน้ำหนักไม่เร็วทันใจ

ถ้าเดทนัดสำคัญใกล้เข้ามา แต่แผนการรีดน้ำหนักของคุณยังไปไม่ถึงไหนเลย ไม่ต้องหันไปพึ่งยาลดความอ้วนให้ร่างกายเสียศูนย์หรอกค่ะ เพราะเรามีวิธีอำพรางความอ้วนที่ไม่ทำร้ายสุขภาพอยู่ที่นี่แล้ว

1. เมคอัพเป็นธรรมชาติ ผู้หญิงเจ้าเนื้อจะมีแก้มมาก คางย้อยและเนื้อแก้มมักจะเบียดจนตาดูเล็กลง ฉะนั้นวิธีแต่งหน้าที่ดีที่สุดคือแต่งหน้าด้วยโทนสว่างเป็นธรรมชาติส่วนที่ปากก็ใช้สีอ่อนๆ เข้าไว้เพื่อไม่ให้คางสองลอนกลายเป็นจุดเด่น และพยายามใช้มาสคาร่าเน้นดวงตาให้กลมโตกว่าความเป็นจริง จะช่วยให้ดูน่ารักสดใสขึ้น
2. ส้นสูงชนะเลิศ รองเท้าส้นสูงจะเพิ่มความเพรียวให้กับรูปร่างของคุณแต่ควรจำกัดความสูงของส้นให้ไม่เกิน 1 นิ้วครึ่งเท่านั้น เพราะคนเจ้าเนื้อมักจะมีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อมอยู่แล้วจึงไม่ควรเอาส้นสูงปรี๊ดไปเพิ่มภาระให้กระดูกอีกโดยไม่จำเป็น ส่วนรองเท้าส้นตันส้นตึกนั้นเป็นศัตรูของคุณมันจะทำให้คุณดูตันเป็นแท่งสี่เหลี่ยมเดินได้ไปในบัดดล
3. สีดำล้ำเลิศ สีดำเป็นสีคลาสสิคที่ไม่มีวันตาย และความขรึมของมันยังช่วยให้คนใส่ดูผอมลงอย่างน้อยก็ครึ่งกิโล ที่สำคัญเสื้อผ้าสีดำใส่ได้ทุกโอกาส ซื้อครั้งเดียวก็เก็บไว้ใส่ได้อีกหลายปี คุ้มสุดๆ
4. แต่งตัวสีเดียวกัน การใส่เสื้อสีหนึ่งกางเกงสีหนึ่ง จะเน้นความอวบบริเวณเอวและสะโพกของคุณ แต่ถ้าใส่สีเดียวกันทั้งท่อนบนและล่างปัญหานั้นก็จะหมดไป คุณไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันทั้งตัว อาจจะไล่เฉดสีอ่อนแก่ให้ดูสนุกขึ้น หรือไม่ก็เลือกใช้สีอื่นที่ใกล้เคียงกันที่สุดมามิกซ์แอนด์แมทช์ จะได้โชว์กึ๋นในการแต่งตัวของคุณได้ด้วยไง
5. ลายทางเท่านั้น ที่จริงแล้วคนอ้วนก็ใส่เสื้อผ้าลายๆ ได้ เพียงแต่ต้องเลือกลายที่ไม่ให้เสียลุคส์ อย่างเช่นลายทางหรือลายเล็กๆ กระจายห่างๆ ส่วนลายที่ใส่เมื่อไรหมดอนาคตเมื่อนั้นต้องยกให้ลายขวาง เพราะมันจะเน้นความกว้างของลำตัวทำให้คุณดูกางออกไปอีกอย่างน้อย 4-5 นิ้ว
6. เลือกแสกให้ผอม ผมแสกกลางจะทำให้ใบหน้ากลมๆ ดูกลมบ๊อกกว่าเดิม คนอ้วนจึงควรแสกผมข้างแล้วปล่อยยาวให้เส้นผมช่วยปิดแก้มไว้จะดีกว่า อีกทรงหนึ่งที่ขอห้ามเด็ดขาดคือทรงรวบหมดแล้วมัดเป็นหางม้า เพราะทรงนี้เขาสงวนลิขสิทธิ์ไว้ให้คนหน้าเรียว ไม่ใช่ผู้หญิงแก้มเยอะคางย้อยแถมคอสั้นอย่างเรา
7. เผาผลาญพลังงานเวลาเดิน การแกว่งแขนน้อยๆ ระหว่างเดินจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้มากกว่าปกติ แต่ที่เด็ดยิ่งกว่านั้นคือเวลาแขนแกว่งไปมาจะทำให้ช่วงเอวดูคอดเข้าและพรางตาให้หน้าท้องดูแบนลงโดยอัตโนมัติ
8. นั่งไขว้เท้าเสมอ เวลานั่งอย่าลืมวางเท้าทั้งสองข้างไว้ข้างหน้าสลับข้อเท้าไขว้กันไว้ ส่วนมือก็วางไว้ประมาณตัก ท่านี้หลอกตาให้น่องของคุณดูกลมกลึงขึ้นทันที ส่วนที่ต้องวางมือบนตักก็เอาไว้ปิดพุงลูกกลมๆ ของคุณนั่นไง
9. เกร็งหน้าท้องเวลาเดิน นางแบบหลายคนก็ใช้วิธีนี้แทนการเข้าโรงยิม ถ้าคุณเกร็งหน้าท้องเวลาเดินตลอดทั้งวัน จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้มากพอๆ กับการซิทอัพถึง 50 ครั้งต่อวัน และภายในสองสัปดาห์หน้าท้องก็จะลดลงจนเห็นได้ชัด
10. ใส่กางเกงสำหรับไดเอท แผนการนี้ใช้เงินทุนไม่สูงแต่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า แค่ซื้อกางเกงยีนส์ขนาดพอดีตัวมาตัวหนึ่งเอาไว้ใส่เวลาออกไปทานข้าวนอกบ้าน และบังคับตัวเองให้หยุดกินทันทีที่เอวกางเกงเริ่มรัดจนอึดอัด เพียงเท่านี้คุณจะไม่มีวันกินเกินขนาด ไม่ว่าจะไปร่วมแจมในงานไหนก็ตาม
11. เรียกหาน้ำเปล่า ก่อนทานอาหารทุกมื้ออย่าลืมเรียกหาน้ำเปล่ามาดื่มก่อน 1 แก้วโตๆ เพื่อให้กระเพาะไม่ว่าง วิธีนี้ช่วยแก้หิวทำให้อิ่มเร็วขึ้น ต่อให้ของบนโต๊ะหน้าตาน่ากินแค่ไหน คุณก็จะไม่รู้สึกอยากกินมากเท่ากับตอนที่หิวโซแน่นอน
12. จานเล็กคือคำตอบ เวลาจะสั่งอาหารอย่าลืมพูดคำว่า "จานเล็กค่ะ" ให้ติดปาก ถ้าจะกินพิซซ่าก็เลือกถาดเล็ก สั่งปูผัดผงกระหรี่ก็เอาจานเล็ก ไขมันที่จะเข้ามาสะสมอยู่ในท้องของเราจะได้เล็กน้อยตามไปด้วยไง
13. อย่าอ่านเมนูนานเกิน 5 นาที เวลาอ่านรายชื่ออาหาร ประสาทตาจะส่งสัญญาณไปที่สมอง จากนั้นสมองจะสร้างภาพอาหารจานนั้นขึ้นในจินตนาการของเรา ทำให้สมองส่วนความหิวถูกกระตุ้น พอมาถึงขั้นนี้คุณก็จะสั่งอย่างบ้าคลั่ง ไอ้นั่นก็น่ากินไอ้นี่ก็น่าอร่อย มารู้ตัวอีกทีมีแต่ของอ้วนๆ มาวางเต็มโต๊ะเสียแล้ว
14. ชวนเพื่อนไปด้วย การมีเพื่อนไปด้วยทำให้คุณไม่ต้องรับภาระกินอาหารทั้งจานคนเดียว หรือถ้าอยากกินของหวานที่รู้อยู่เต็มอกว่าแคลอรีเพียบแน่ๆ อย่างน้อยคุณก็ยังมีทางออกด้วยการสั่งแค่จานเดียวแล้วแบ่งกันกินกับเพื่อน
15. คิดเมนูมาจากบ้าน ถ้ากลัวจะแพ้ใจตัวเอง ก่อนจะออกจากบ้านคุณควรคิดถึงรายการอาหารทุกอย่างที่อยากกิน จากนั้นก็ตัดออกทีละชื่อจนกว่าจะเหลือเมนูที่อยากกินที่สุดแค่ 2 เมนูเท่านั้น วิธีนี้อาจจะฟังดูโหดแต่ที่จริงแล้วทำง่ายกว่าที่คิด เพราะวันนี้คุณกินเจ้า 2 จานนี้ไปแล้ว พรุ่งนี้พอให้คิดเมนูใหม่ คุณก็จะไม่ลำบากใจที่จะตัด 2 จานนี้ทิ้งไปแล้วเอาเมนูอื่นที่ยังไม่ได้กินขึ้นมาแทน เท่านี้ก็ได้กินของโปรดครบทุกจาน แถมไม่ต้องฉีกกฎไดเอทของตัวเองด้วย

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on