หมวดหมู่นี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลสำคัญ ทั้งบุคคลสำคัญของไทย และบุคคลสำคัญของโลก มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักการเมือง นักเรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชน และบุคคลสำคัญอื่นๆ ทั่วทุกมุมโลก รวบรวมเกี่ยวกับประวัติ ชีวประวัติ ของบุคคลสำคัญต่างๆ รวบรวมเกี่ยวกับผลงานที่สร้างชื่อ ทฤษฎีและกฎต่างๆที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้คุณผู้อ่านมีความรู้และความเข้าใจในตัวบุคคลผู้นั้นมากขึ้น

Written by on

กิมย้ง (Jin Yong)

กิมย้ง (Jin Yong) หรือ ดร.หลุยส์ ฉา หรือ จาเหลียงหยง เป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดัง เจ้าของผลงานมังกรหยก 8 เทพอสูรมังกรฟ้า อุ้ยเสี่ยวป้อ และอีกมากมาย คนที่ได้รับฉายาว่า "เจ้ายุทธจักรกำลังภายใน" หรือมีคนเปรียบเปรยว่า 100 ปีมี 1กิมย้ง คือใน100 ปีจะมีคนแบบกิมย้งจะเกิดขึ้นซักที กิมย้งมีหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเอง ชื่อ "หมิงเป้า" ปัจจุบัน กิมย้ง ยังมีชีวิตอยู่ และดูแลกิจการหนังสือพิมพ์

กิมย้ง เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1924 ณ อำเภอไฮเล้ง เขตไห่หลิง มณฑลจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นบุตรคนรองจากพี่น้องทั้ง 7 ของตระกูล ไทยเขาเป็นตระกูลบัณฑิตที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ตัวกิมย้งแต่งงานทั้งหมดสามครั้ง หย่าไปเสียสองครั้ง มีบุตรชาย 2 คน บุตรสาว 2 คน ซึ่งล้วนเกิดจากภรรยาคนที่สอง บุตรคนโตของเขากระทำอัตวิบาติกรรมขณะเป็นนักศึกษาที่ Columbia University ในปี 1976 เขามีใจใฝ่หนังสือตั้งแต่เด็กๆ ยังไม่ถึง 10 ขวบ (9ขวบ) เขาก็อ่านหนังสือนิยายจีน นิยายแปลต่างประเทศ มากมาย
วรรณกรรมคลาสสิก (สุดยอดวรรณกรรมจีนทั้ง4) ที่เขาอ่านและอาจเป็น 1 ในฐานสำคัญที่จุดประกายการเป็นนักเขียนนิยายของเขาทั้ง 4 ได้แก่ สามก๊ก ซ้องกั๋ง ไซอิ๋ว ความฝันในหอแดง

กิมย้ง เริ่มศึกษา

  • ในปี ค.ศ. 1929 ที่โรงเรียนเจียเซียง ไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง
  • ปี ค.ศ. 1944 เข้าเรียนในภาควิชาภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยการเมืองแห่งรัฐบาลกลาง
  • ปี ค.ศ. 1946 ได้ย้ายมาเรียนที่ภาควิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยตงอู๋แห่งเซี่ยงไฮ้ เอกกฎหมายระหว่างประเทศ
  • ปี ค.ศ. 2005 ได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ ศึกษาปริญญาเอก ในภาควิชาการศึกษาตะวันออก เอกประวัติศาสตร์จีน ที่ เซนต์ จอห์น คอลเลจ มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์

ผลงานอันน่าประทับใจของกิมย้งมีทั้งหมด 15 เรื่อง ได้แก่

  1. จอมใจจอมยุทธ หรือ ตำนานอักษรกระบี่ - Book and Sword: Gratitude and Revenge(พ.ศ. 2498)
  2. เพ็กฮวยเกี่ยม หรือ กระบี่เลือดเขียว - Sword Stained with Royal Blood(พ.ศ. 2499)
  3. มังกรหยก ภาค 1 - The Legend of the Condor Heroes (พ.ศ. 2500)
  4. จิ้งจอกภูเขาหิมะ - Flying Fox of Snowy Mountain (พ.ศ. 2502)
  5. มังกรหยก ภาค 2 - The Return of the Condor Heroes (พ.ศ. 2502)
  6. จิ้งจอกอหังการ - The Young Flying Fox (พ.ศ. 2503)
  7. เทพธิดาม้าขาว - Swordswoman Riding West on White Horse (พ.ศ. 2504)
  8. ดาบนกเป็ดน้ำ - Blade-dance of the Two Lovers (พ.ศ. 2504)
  9. มังกรหยก ภาค 3 (ดาบมังกรหยก) Heaven Sword and Dragon Sabre(พ.ศ. 2504)
  10. กระบี่ใจพิสุทธิ์ - A Deadly Secret (พ.ศ. 2506)
  11. แปดเทพอสูรมังกรฟ้า - Semi-Gods and Semi-Devils (พ.ศ. 2506-2509)
  12. มังกรทลายฟ้า - Ode to Gallantry (พ.ศ. 2509-2510)
  13. กระบี่เย้ยยุทธจักร - The Smiling, Proud Wanderer (พ.ศ. 2510-2512)
  14. กระบี่นางพญา - Sword of the Yue Maiden (พ.ศ. 2513)
  15. อุ้ยเสี่ยวป้อ - Deer and the Cauldron (พ.ศ. 2512-2515)

ขอขอบคุณ ที่มา : bloggang.com ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

อริสโตเติล (Aristotle)

อริสโตเติล (Aristotle) เกิดเมื่อ 384 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองสตากิรา แคว้นมาซีโดเนีย ประเทศกรีซ และเสียชีวิต 322 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองคาลซิล ประเทศกรีซ รวมอายุได้ 62 ปี นับเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นศิษย์เอกของเพลโต (Plato) และเป็นอาจารย์ของกษัตริย์ อาเล็กซานเดอร์มหาราช

บิดาของเขาชื่อว่า นิโคมาคัส (Nicomacus) เป็นแพทย์ประจำราชสำนัก เขาได้รับการถ่ายทอดความรู้ส่วนใหญ่มาจากพ่อของเขา และได้เข้าเรียนในสำนักอะคาเดมี (Academy) ที่กรุงเอเธนส์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยเพลโต นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง อริสโตเติลเป็นคนเฉลียวฉลาด รักการอ่านและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านหนังสือ ทำให้เขามีความรู้ดีมาก

อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักปราชญ์ที่มีความรู้หลายด้าน เช่น ปรัชญา ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ สัตววิทยา ชีววิทยา การเมือง เศรษฐศาสตร์ และตรรกศาสตร์ ตั้งทฤษฎีที่สำคัญต่างๆ ไว้มากมาย โดยเฉพาะทฤษฎีเกี่ยวกับสัตว์ โดยเขาแบ่งสัตว์ออกเป็น 2 ชนิด คือ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง นับว่าเป็นการบุกเบิกวิชาชีววิทยา

ทฤษฎีของอริสโตเติล เป็นการรวบรวมความรู้ต่างๆ ที่เขามีอยู่ มาตั้งเป็นทฤษฎี จากนั้นก็หาเหตุผลมาประกอบตามหลักตรรกวิทยา โดยไม่ได้ทดสอบจากความเป็นจริง ทำให้ทฤษฎีของเขามีข้อผิดพลาดอยู่มาก แต่ก็มีผู้เชื่อถืออยู่มากเช่นกัน และมีอิทธิพลต่อแนวความคิดได้ยาวนานกว่า 1,500 ปี

ผลงานเด่นของเขาคือ

  • ทฤษฎีเกี่ยวกับสัตว์ โดยเขาแบ่งสัตว์ออกเป็น 2 ชนิด คือ สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
  • ทฤษฎีสลับกันของพื้นดินและแผ่นน้ำ คำสอนที่น่าสนใจของอริสโตเติลได้แก่ ความเชื่อที่ว่าโลกเรานี้ประกอบด้วยธาตุต่างๆ 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ

นับว่าอริสโตเติลเป็นบุคคลสำคัญผู้บุกเบิกความรู้ทางด้านนี้ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก มีทฤษฎีต่างๆมากมายที่เป็นเหมือนหัวข้อให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ ได้เอามาพิสูจน์เพื่อต่อยอดหาความจริงได้มากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่มีการพิสูจน์ทฤษฎีเหล่านี้ จนกลายเป็นการพัฒนาของวิทยาการและวิทยาศาสตร์จนถึงปัจจุบัน

ขอขอบคุณ ที่มา : exteen.com ,sanook.com ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso)

ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ ( Pablo Ruiz Picasso) จิตรกรเอกของโลกใน คริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเกิดที่เมืองมาลาก้า แห่ง แคว้นอันดาลูเซีย ทางตอนใต้ของประเทศสเปน ปิกัสโซ่ เกิดในวันที่ 25 ตุลาคม ปี 1881 ผู้ที่นางพยาบาลคิดว่าเขาตายไปแล้วตอนเขาเกิด เด็กเกเรที่ไม่ค่อยจะสนใจการเรียนเท่าใดนักแต่มีความสามารถด้านศิลปะจนเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก และโดยทั่วไปเขาเป็นชายที่โคตรจะเจ้าชู้ มีหญิงสาวให้เขาเลือกคบด้วยมากมายหลายคนไม่ขาดสายเพลย์บอยตัวพ่อเลยละ เขามักจะมีคู่รักที่อ่อนกว่ามากโดยเฉพาะตอนเขาแก่อายุ 79 ปีนั้น ภรรยาคนที่ 2 ของเขา อายุเพียง 27 ปีเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นคู่รัก แฟน ภรรยาของเขาก็อายุห่างจากเขาพอสมควรอยู่หลายคน

ประวัติ

บิดาของเขาเป็นอาจารย์สอนวาดภาพ ซึ่งอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาได้รับพรสวรรค์นี้มาตั้งแต่ยังเด็ก ปีกัสโซได้รับจานสีและพู่กันเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 6 ขวบจากบิดา ตอนปิกัสโซ่ อายุได้ประมาณ 6 ขวบนั้น บิดาของเขาได้วาดรูปนกพิราบ ทิ้งไว้แล้วยังไม่เสร็จแต่ได้ออกไปข้างนอกเสียก่อน ปิกัสโซ่ ได้เข้าไปในสตูดิโอหรือห้องที่พ่อเขาใช้วาดรูปและวาดรูปนกพิราบต่อจากของพ่อเขาจนเสร็จ เมื่อพ่อของเขากลับเข้ามานั้นพบว่ารูปพิราบเสร็จแล้ว หนำซ้ำยังสวยงาม มีพลัง สมบูรณ์แบบกว่าที่ตนวาดเสียอีกนั้นเป็นพรสวรรค์ ที่พ่อของเขาได้เห็นในตัวปิกัสโซ่ ต่อมาเมื่อเขามีอายุได้ประมาณ 15 -16 ปี เขาก็มีสตูดิโอเป็นของตัวเอง

เขาได้รับการศึกษา ด้านศิลปะที่โรงเรียนสอนศิลปะ ที่ มาดริดและ บาเซโลน่า ก่อนจะย้ายไปที่ปารีส ในเดือนตุลาคมปี 1900 ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงด้านศิลปะ ซึ่งในปี 1904 เขาก็ได้มาอาศัยที่ปารีสอย่างถาวรหลังจากศิลปะ ยุค Blue Period (ยุคสีน้ำเงิน) ของเขา ปิกัสโซ่ มีศิลปะที่เป็นตัวตนของเขาเป็นหลักของเขาแต่ละยุคแต่ละช่วง แตกต่างกันไป มีเอกลักษณ์ ของแต่ละยุคที่ต่างกันออกไป ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนกันอย่างมากมาย ซึ่งเขาได้ สร้างงานศิลปะ ที่เคยมีราคาสูงมากที่สุดในโลกเอาไว้ด้วยราคาสูงถึง $106.5 ล้าน หรือกว่า 3พันกว่าล้านบาท

ภาพวาดของ ปิกัสโซ่ที่มีชื่อว่า Nude, Green Leaves and Bust ซึ่งเป็น ศิลปะสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากสาวน้อยที่มีชื่อว่า"มารี-เตเรส วอลเทอร์"ทั้งคู่พบรักกันในกรุงปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1927 ขณะที่ฝ่ายหญิงมีอายุเพียง 17 ปี ส่วนปีกัสโซ มีอายุ 45 ปี โดยเป็นการคบชู้กันเพราะ ปิกัสโซ่มีภรรยาอยู่แล้วในขณะนั้น

จิตรกรเอกชาวสเปน จบชีวิตของเขาลงเมื่อวันที่ 8 เมษายน ปี 1973 เสียชีวิตในวัย 91 ปี

ขอขอบคุณ ที่มา : exteen.com ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday)

ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) นักเคมีและนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งไฟฟ้า" (Father of Electricity) เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1791 ในครอบครัวที่ยากจนจึงได้รับการศึกษาจากโรงเรียนน้อย แต่เขาเป็นคนฉลาด ขณะที่เขาเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์เขาชอบอ่านหนังสือพิมพ์ และบันทึกไว้และใช้เงินที่มีอยู่หาซื้อหนังสือวิทยาศาสตร์เช่นอ่านตำราเคมี เขาอ่านหนังสือทุกเล่มที่ตกถึงมือเขา เขาซื้อวัสดุมาทำการทดลอง ได้ไปฟังคำปาฐกถาของ เซอร์ ฮัมฟรี เดวี ผู้ประดิษฐ์ตะเกียงนิรภัยและเขาก็ได้บันทึกไว้ทุกครั้ง ด้วยความสามารถของเขานี้เอง จึงได้ไปประจำอยู่ในห้องทดลองของเดวี เมื่ออายได้ 21 ปีก็ได้ท่องเที่ยวไปกับเดวีในประเทศ ฝรั่งเศส อิตาลีและได้พบกับ เคานต์อเลกซานโดรวอลตา ผู้ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าวอลตา เมื่อกลับมาอังกฤษเขาก็ได้ กลายเป็นผู้แสดงปาฐกถาในปี ค.ศ. 1816 งานด้านวิทยาศาสตร์ของ ฟาราเดย์ ก็ไม่น้อยหน้า เซอร์ ฮัมฟรี เดวี เหมือนกัน เขาได้เป็นถึงผู้อำนวยการห้องทดลองที่ราชวิทยาสถาน

ฟาราเดย์เป็นผู้ให้คำอธิบาย อำนาจการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กไฟฟ้า เขาเป็นผู้ทดลองหาแนวแรงแม่เหล็กโดยใช้ผงตะไบเหล็ก เขาเป็นผู้ให้หลักที่ว่า กระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นจากตัวนำตัดผ่านเส้นแรงแม่เหล็กหรือพูดง่ายๆว่าแม่เหล็กก็ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าได้ เขาจึงเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่า"ไดนาโม"ขึ้น ฟาราเดย์ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1867 ในห้องทำงานของเขาที่แฮมตันคอร์ด

ต่อมาได้มีการเรียกหน่วยวิทยาศาสตร์ของความจุซึ่งเป็นความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้ว่า "ฟาราด" (Farad) เพื่อเป็นเกียรติแก่ไมเคิล ฟาราเดย์

ผลงานการค้นพบ

  • ค้นพบสมบัติของแม่เหล็กที่ทำให้เกิดไฟฟ้า
  • ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือ ไดนาโม (Dynamo) ในปี 1821
  • นำเหล็กมาผสมกับนิกเกิล เรียกว่า สแตนเลส ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหนียว และไม่เป็นสนิม
  • พบสารประกอบเบนซีน (Benzene)
  • บัญญัติศัพท์ทางวิทยาศาสตร์หลายคำเช่น ไออน(Ion) = ประจุ, อีเล็กโทรด (Electrode) = ขั้วไฟฟ้า ,คาโทด (Cathode) = ขั้วลบ, แอโนด (Anode) = ขั้วบวก

ขอขอบคุณ ที่มา : sanook.com ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

นิโคลัส โคเปอร์นิคัส ( Nicolaus Copernicus )

นิโคลัส โคเปอร์นิคัส เป็นนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ผู้คิดค้นแบบจำลองระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางสมบูรณ์ซึ่งดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเอกภพไม่ใช่โลก เหมือนที่ อริสโตเติล หรือ ปโตเลมี ได้ตั้งทฤษฎีไว้กว่า 1,400 ปีก่อน

โคเปอร์นิคัสเกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1473 ที่เมืองตูรัน ประเทศโปแลนด์ บิดาของเขามีชื่อว่า นิโคลัส คอปเปอร์นิงค์ (Nicolaus Koppernigk) เป็นพ่อค้า ที่ร่ำรวย มารดาเขามีชื่อว่า บาร์บารา แวคเซนโรด (Barbara Waczenrode)

โชคร้ายเมื่อตอนเขาอายุ 10 ขวบนั้นเขาก็ต้องขาดบิดาไป บิดาเขาเสียชีวิต เขาจึงได้รับการดูแลอุปการะจากลุงของเขา ซึ่งเป็นญาติฝั่งแม่ พี่ชายแม่นั้นเองลุงของเขานั้นเป็นพระในศาสนาคริสต์ ชื่อคัส แวคเซนโรด (Lucas Waczenrode)ตำแหน่งบิชอบ แห่งเออร์มแลนด์

เขาได้รับการศึกษาที่ มหาวิทยาลัยแห่งเมืองคราโคว (University of Cracow) ในมหาวิทยาลัยนี้ทำให้เขาได้รับความรู้การศึกษาหลายแขนงเช่น ปรัชญา คณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และดาราศาสตร์ เป็นต้น จากเดิมที่มีความคิดจะศึกษาด้านการแพทย์ แต่เมื่อได้เรียนวิชาดาราศาสตร์ก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจไปศึกษามุ่งมั่นเกี่ยวกับดาราศาสตร์ต่อแทน

แต่กระนั้นยังไม่ทันจบดาราศาสตร์เลยเขาก็ย้ายไปที่อิตาลีไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในเมืองโบโลญญาและได้เรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยเฟอร์รารา จนจบการศึกษาปริญญาเอกด้านกฎหมาย แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อกลับไปหาลุงแต่ไม่ได้จบแพทย์ ทำให้ลุงเขาไม่พอใจในตัวเขา โคเปอร์นิคัส เลยตัดสินใจไปเรียนแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัยปาดัวโคเปอร์นิคัสเรียนจบแพทย์ในปี ค.ศ. 1506 และเดินทางกลับบ้านในปีเดียวกัน

โคเปอร์นิคัสเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาแห่งสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักนิติศาสตร์ที่สำเร็จดุษฎีบัณฑิตในวิกฎหมาย นักฟิสิกส์ ผู้รู้สี่ภาษา นักวิชาการคลาสสิก นักแปล ศิลปิน สงฆ์คาทอลิก ผู้ว่าราชการ นักการทูตและนักเศรษฐศาสตร์ เขาเป็นผู้โต้แย้งกับทฤษฎี ความเชื่อมากว่า พันปีของเหล่านักดาราศาสตร์รุ่นเก่า อย่าง ทฤษฎีของปโตเลมี ที่บอกว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกันกับ อริสโตเติล นักปรัชญาชื่อดังแห่งยุคโบราณ ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า โลกไม่ได้หมุนเพียงแต่ มีดวงอาทิตย์ที่โคจรรอบโลก รวมไปถึงทฤษฎีของปโตเลมี นักคณิตศาสตร์คนดังของโลก ได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับโลกกลมและหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ ซ้ำยังหมายถึงดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ต่างๆ ก็หมุนรอบตัวเองซึ่งโคเปอร์นิคัสได้พิสูจน์เรื่องนี้พบว่าถูกต้องเขาได้สรุป ทฤษฎีเกี่ยวกับดาราศาสตร์ในข้างต้นไว้ว่า

  • ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล โลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆนั้นต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา ทั้งสิ้น 365 วัน หรือ 1 ปีทำให้เกิดเป็นฤดูกาล
  • โลกนั้นกลม ไม่ได้แบนแบบที่เชื่อๆกันมา เขาให้คำอธิบายเหตุผลเรื่องนี้ว่า มนุษย์ต่างที่กันไม่สามารถ มองเห็นดวงดาวดวงเดียวกันในเวลาเดียวกันได้และโลกไม่ได้หยุดอยู่นิ่งๆมันโคจรรอบตัวเอง ใช้เวลา24 ชั่วโมงหรือเท่ากับ 1 วัน และการหมุนรอบตัวเองของโลกนี้ทำให้เกิดเป็นกลางวันและกลางคืน
  • โคเปอร์นิคัส อธิบายวงโคจรพร้อมเขียนภาพดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ว่าเป็นวงกลม ซึ่งผิดเพราะต่อมามีนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน โจฮันเนส เคปเลอร์ได้ให้คำตอบเรื่องนี้ว่าแท้จริงแล้วเป็นวงรี

นิโคลัส โคเปอร์นิคัส ( Nicolaus Copernicus ) เป็นบุคคลสำคัญของโลก เขามีคุณูปการมากมาย ทั้ง งานด้านดาราศาสตร์ การแพทย์ นอกจากนี้แล้วเขายังทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจด้วย ที่ช่วยให้โปแลนด์รอดพ้นวิกฤติเศรษฐกิจด้วยการ ผลิตเงินใหม่ให้ทุกรัฐในประเทศใช้กฎเดียวกันประชาชนเอาเงินมาแลกเงินใหม่ ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของโปแลนด์ได้เป็นอย่างดี
โคเปอร์นิคัส เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1543 ที่เมืองฟรอนบูร์ก ประเทศโปแลนด์
โคเปอร์นิคัส ได้รับเกียรติจากประเทศโปแลนด์ ให้เป็นชื่อ มหาวิทยาลัยในทอรูน ตั้งในปี ค.ศ. 1945 ชื่อของเขาเป็นชื่อธาตุตัวที่ 112 ที่ IUPAC

ขอขอบคุณ ที่มา : exteen.com ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.)

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เกิดวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2472 เป็นที่รู้จักในนามของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ชาวอเมริกัน เกิดที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เป็นบุตรชายของพระแบปทิส จบการศึกษาด้านศาสนาจาก โครเซอร์ เพนซิลวาเนีย และมหาวิทยาลัยบอสตัน ศาสนาเป็นสิ่งที่เข้ามาอยู่ในชีวิตเขาตั้งแต่เด็กๆและหล่อหลอมให้เขาทำงานอย่างหนักเพื่อความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เนื่องจากคนผิวดำมักถูกจำกัดสิทธิต่างๆในสหรัฐ เช่น การขึ้นรถเมล์ การสาธารณูประโภคขั้นพื้นฐาน สิทธิพลเมืองที่ควรจะได้รับอย่างเท่าเทียม การแบ่งแยก รวมไปถึงเรื่องร้ายแรงอย่างการเหยียดสีผิว มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เรียกร้องสิทธิของคนผิวดำตลอดชีวิต และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในตอนที่ศาลพิจารณาตัดสินว่าการแบ่งแยกที่นั่งตามสีผิวบนรถเมล์ เป็นเรื่องที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ นับเป็นชัยชนะของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และคนผิวดำครั้งใหญ่เลยทีเดียว จากการทำงานของเขา เขาถูกจำคุกกักขังไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง

การสุนทรพจน์ว่าด้วยการเหยียดสีผิวที่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วคือ สุนทรพจน์ "ข้าพเจ้ามีความฝัน" (I Have a Dream ) ได้แสดงไว้ที่ขั้นบันไดของอนุสาวรีย์ลินคอล์นอันเป็นสัญลักษณ์ ในปี 1963 ต่อหน้ามวลชนกว่า 250,000 คน ทั้งผิวขาวและผิวสี เขาทำงานอย่างหนักหน่วง เดินทางไปหลายแห่งหลายที่เพื่อเผยแพร่แนวคิดและเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันของพลเมืองผิวขาวและผิวสี เขียนหนังสืออีกมากมายหลายเล่ม จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1964ที่จัดขึ้นมาโดยเจตนาของ อัลเฟรด โนเบล มีชายที่ต่อสู้เพื่อคนผิวดำแบบ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่ได้รางวัลโนเบลอีก คนนึงคือ เนลสัน เมนเดล่า นั่นเอง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ถูกลอบสังหารในวันที่ 3 เมษายน ปี 1968 (พ.ศ. 2511)ขณะที่ยืนกล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจที่ชื่อว่า "ข้าพเจ้าได้ไปถึงยอดเขา" (I've Been to The MountainTop) และนั่นคือสุนทรพจน์สุดท้ายของเขา มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ถูกยิงที่บนระเบียงชั้นสองหน้าห้องที่โรงแรมลอเรน ในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี และเสียชีวิต ในวันที่ 4 เมษายน ปี 1968 (พ.ศ. 2511) เขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติจนถึงทุกวันนี้

ปี 1983 ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ได้กำหนดประกาศให้ทุกวันจันทร์ที่ 3 ของเดือนมกราคมในแต่ละปีเป็นวัน มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

ขอขอบคุณ ที่มา : myfirstbrain.com ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on