รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ พันธุ์ปลา ลักษณะของปลาแต่ละสายพันธุ์ รวมสายพันธุ์ปลาไม่ว่าจะเป็นปลาสวยงาม หรือปลาเศรษฐกิจ สายพันธุ์ปลาทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ที่นิยมเลี้ยงกันทั่วไป เพื่อคุณผู้อ่านจะได้รู้ถึงมาตรฐานสายพันธุ์ของปลา แต่ละสายพันธุ์ว่าเป็นอย่างไร จะได้เลือกมาเลี้ยงได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตามความต้องการ หรือสำหรับคนที่เลี้ยงอยู่แล้วก็จะได้เลี้ยงอย่างถูกต้องยิ่งขึ้น จะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขที่สุดทั้งคนเลี้ยงและสัตว์เลี้ยงค่ะ

Written by on

ปลาทรงเครื่อง

ชื่อสามัญ ปลาทรงเครื่อง Redtail sharkminnow

ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลาทรงเครื่อง Epalzeorhynchos bicolor (Smith, 1931)

ลักษณะทั่วไปของปลาทรงเครื่อง

ลักษณะของปลาทรงเครื่องจะมีลำตัวยาวเรียว จะงอยปากสั้นทู่ นัยน์ตาค่อนข้างโต ว่ายน้ำปราดเปรียว ลำตัวแบนข้าง มีสีดำหรือน้ำเงินเข้มปนดำ ไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบสูง และมีขนาดใหญ่สะดุดตา ครีบหางมีขนาดใหญ่ และเว้าลึกเป็นแฉกสีแดง หรือแดงอมส้ม และครีบอื่น ๆ มีสีเทาจาง ปลาทรงเครื่องมีหนวดสั้น ๆ 2 คู่ ปากมีขนาดเล็ก ริมฝีปากบนงุ้ม ยาวกว่าริมฝีปากล่าง ปากอยู่ในระดับขนานกับพื้นท้องน้ำ ขอบของริมฝีปากบนมีลีกษณะเป็นขอบครุย บริเวณข้างลำตัวมองเห็นจุดสีดำอยู่ข้างละ 1จุด อยู่เหนือครีบอก มีความยาวประมาณ 9-10 ซม. ตัวใหญ่มาก ๆ ที่พบมีขนาดประมาณ 12 ซม. ในวงการปลาสวยงามเรียกปลาชนิดนี้ว่า ปลาฉลามหางแดง เพราะมีหุ่นเพรียวเป็นปลาที่ปราดเปรียว และว่องไว คล้ายฉลาม ปลาทรงเครื่องเป็นปลาปากคว่ำ ชอบซอนไซ้หากินตามพื้นตู้ ก้นบ่อ และชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ กินอาหารพวกสาหร่าย ตะไคร่น้ำที่ขึ้นตามโขดหิน

การแพร่กระจาย ปลาทรงเครื่อง

ปลาทรงเครื่อง ตามประวัติพบเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น พบในลุ่มน้ำแม่กลองที่กาญจนบุรี เจ้าพระยา บึงบอระเพ็ด และบางปะกง เคยเป็นหนึ่งในชนิดพันธุ์ที่ผู้เชี่ยวชาญ สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม จัดให้อยู่ในสถานภาพของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ แต่ในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ปลากาแดง

ชื่อสามัญ ปลากาแดง Rainbow sharkminnow

ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลากาแดง Epalzeorhynchos frenatum (Fowler, 1934)

ลักษณะทั่วไปของปลากาแดง

ปลากาแดง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กาแดงนคร อยู่ในสกุลเดียวกับปลาทรงเครื่องดูคล้ายปลาทรงเครื่องมาก แต่แตกต่างที่ลำตัวค่อนข้างยาว เรียวกว่า ตัวไม่ดำอย่างปลาทรงเครื่อง เป็นปลาที่มีลักษณะ มีรูปร่างยาวเพรียว คล้ายฉลาม หัวเล็กปากเล็ก มีหนวด 4 เส้น ครีบมีขนาดใหญ่ และสูง จัดเป็นปลาที่สวยงามชนิดเนื่องจากมีครีบต่าง ๆ เป็นสีแดงสด หรือ สีส้มอมแดง ตัดกับลำตัวสีดำ มีเส้นสีดำคาดตา และจุดสีดำรูปไข่ บริเวณโคนที่คอดหาง ในอดีตจับได้จำนวนมากจากแม่น้ำโขง ที่จังหวัดนครพนม จึงได้ชื่อว่า "กาแดงนครพนม" และพบที่แม่น้ำสงคราม กินอาหารจำพวกสาหร่าย และตะไคร่น้ำที่ขึ้นตามโขดหิน แพลงก์ตอนสัตว์ และเศษพืชเน่าเปื่อย ปลาชนิดนี้มีขนาดเล็กเพียง 12 เซนติเมตรเท่านั้น

การแพร่กระจาย ปลากาแดง

ถิ่นกำเนิดในประเทศไทย พบในแม่น้ำภาคกลางตั้งแต่ แม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง และแม่น้ำแม่กลองที่ราชบุรี กาญจนบุรี ภาคเหนือที่สุโขทัย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบที่แม่น้ำโขง

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ปลาซิวข้างขวาน

ชื่อสามัญ ปลาซิวข้างขวาน Harlequin rasbora, Red rasbora, Harlequin fish

ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลาซิวข้างขวาน Trigonostigma heteromorpha (Duncker, 1904)

ลักษณะทั่วไปปลาซิวข้างขวาน

ปลาซิวข้างขวานเป็นปลาที่มีลำตัวแบนด้านข้าง และมีสีน้ำตาลอมเขียว แต่บริเวณกลางลำตัวเป็นสีน้ำตาลอมแดง ลักษณะเด่นของปลาซิวชนิดนี้ คือ มีแถบสามเหลี่ยมสีดำคล้ายรูปขวาน ตอนกลางตัวไปทางด้านหาง จึงได้รับการเรียกชื่อว่า "ปลาซิวข้างขวาน" สำหรับที่ครีบหางเป็นสีส้มหรือสีแดงอ่อนเพิ่มความสวยงามอีกด้วย ปลาซิวข้างขวานเป็นปลาขนาดเล็ก โตเต็มที่ยาวประมาณ 4 ซม. ปลาซิวข้างขวานชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง และไม่ทำร้ายกัน เป็นปลาที่ว่องไวปราดเปรียว ปลาซิวข้างขวานเป็นปลาที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ในแหล่งน้ำธรรมชาติลูกปลาซิวข้างขวานกินแพลงตอน และไรน้ำเป็นอาหาร

การแพร่กระจาย ปลาซิวข้างขวาน

ถิ่นที่อยู่อาศัย พบเฉพาะในป่าพรุโต๊ะแดงเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบใน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ สุมาตรา

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ปลาเสือสุมาตรา

ชื่อสามัญ ปลาเสือสุมาตรา Tiger barb

ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลาเสือสุมาตรา Puntius partipentazona (Fowler, 1934)

ลักษณะทั่วไปของปลาเสือพ่นน้ำ

ปลาเสือสุมาตราเป็นปลาที่มีขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายปลาตะเพียนแต่มีขนาดเล็กกว่า โดยทั่วไปลำตัวมีสีเหลืองทอง มีแถบสีดำพาดขวางลำตัว 5 แถบ ตั้งแต่หัว หน้าครีบหลัง บนครีบหลัง เหนือครีบก้น และปลายคอดหาง บริเวณปลายครีบมีสีส้ม ปลาเสือสุมาตราเป็นปลาที่ว่ายน้ำตลอดเวลา และมีความว่องไว ค่อนข้างทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ปลาตัวผู้มีสีเข้มสดใส ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงบริเวณผิวน้ำ แต่มีนิสัยก้าวร้าว โตเต็มที่มีขนาด 5 เซนติเมตร

การแพร่กระจาย ปลาเสือสุมาตรา

ปลาเสือสุมาตราเป็นปลาที่พบแพร่กระจายอยู่ทั่วไปในแถบทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณหมู่เกาะสุมาตราบอร์เนียว กาลิมันตัน มาเลเซีย และประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยพบในบริเวณ แม่น้ำ ลำธาร และอ่างเก็บน้ำเกือบทั่วทุกภาคของไทย

การเพาะพันธุ์ปลาเสือสุมาตรา

การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ ปลาตัวผู้มีรูปร่างเพรียวแลดูยาว และแบนข้างมากกว่าตัวเมีย บริเวณปาก และครีบ มีสีออกแดง ส่วนตัวเมียมีลำตัวใหญ่ และป้อมกว่า ส่วนบริเวณปากมีสีไม่เข้มเหมือนตัวผู้ ปกติตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้

การเพาะพันธุ์ ปลาเสือสุมาตราเพาะพันธุ์โดยการวางไข่ ไข่จะมีส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 มม. ไข่มีสีออกค่อนข้างเหลือง ไข่ปลามีลักษณะเป็นไข่ประเภทเกาะติด ลูกปลาใช้เวลาในการฟักตัวออกจากไข่ประมาณ 36 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส ตู้เพาะพันธุ์ควรใช้ตู้ปลาขนาด 12x20 นิ้ว โดยใส่สาหร่ายลงในตู้ เพื่อให้ไข่ปลาเกาะได้ น้ำควรเป็นน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อ และกำจัดคลอรีนแล้ว เมื่อเตรียมอุปกรณ์ พร้อมแล้วให้นำพ่อแม่พันธุ์ปล่อยลงในตู้ ปกติปลาชนิดนี้ไข่ในช่วงเช้ามืด จำนวนไข่ในแต่ละคอกเฉลี่ยประมาณ 200-300 ฟอง เมื่อพบปลาวางไข่เป็นที่เรียบร้อย แล้วให้ตักพ่อแม่ปลาออก

การอนุบาลลูกปลา เมื่อลูกปลาฟักออกเป็นตัวแล้วยังไม่ต้องให้อาหาร ประมาณ 2 วัน ลูกปลายังคงใช้อาหารสำรอง และเมื่อลูกปลาอายุ 3 วัน ควรให้อาหารโดยใช้ไข่ต้มสุกแล้วนำเฉพาะไข่แดงมาบดให้ละเอียด แต่อย่าให้อาหารปลามากจนเกินไปเพราะทำให้น้ำเน่าเสียได้ง่าย หรือถ้ามีโรติเฟอร์ก็ควรให้กินในระยะนี้ เพราะทำให้ลูกปลามีอัตราการรอดตายสูงขึ้น หลังจากนั้นควรเริ่มให้ลูกไรเป็นอาหารอาหารสำหรับลูกปลา ปลาเสื่อสุมาตรา สามารถกินได้แทบทุกชนิด รวมทั้งอาหารสำเร็จรูป

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

อะโรวาน่า (อะโรวาน่า)

ชื่อสามัญ อะโรวาน่า (อะโรวาน่า) Arowana

ชื่อวิทยาศาสตร์ อะโรวาน่า (อะโรวาน่า) Scleropages formosus

ลักษณะทั่วไปของปลาอะโรวาน่า

อะโรวาน่าเป็นปลามหัศจรรย์ที่สุดในบรรดาปลาสวยงามเพราะเป็นปลาโบราณที่ยังคงเหลืออยู่จากยุคหินให้นักเพาะเลี้ยงปลาทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นได้ชื่นชมอยู่ตลอดเวลา จากหลักฐานการค้นพบปลาชนิดนี้ที่ฝังตัวอยู่ใต้พื้นดิน นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับอายุของปลาชนิดนี้ว่าปลาอะโรวาน่ามีมากว่า 60 ล้านปี ต่อมาเมื่อสภาวะธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงจึงทำให้ปลาชนิดนี้มีการโยกย้ายที่อยู่อาศัย และมีการกระจายอย่างกว้างขวาง เช่น ลุ่มแม่น้ำอะเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ ลุ่มแม่น้ำไนล์ ทวีปแอฟริกา ประเทศออสเตรเลีย นิวกินี หรือแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ปลาอะโรวาน่ามีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างเรียบง่าย ทนต่อสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติก็จริง แต่ระบบการเพาะพันธุ์ค่อนข้างซับซ้อน ถึงมีบางประเทศทำการเพาะพันธุ์ได้แต่ก็มีปริมาณที่น้อยมาก จนทำให้ประเทศที่ถือกำเนิดปลาชนิดนี้ต้องออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และปลาอะโรวาน่าอย่างเด็ดขาด จึงทำให้ปลานี้มีราคาแพง ตัวหนึ่งราคาประมาณ 1,000 - 10,000 บาท

จากการศึกษาปลาอะโรวาน่าดำ แถบลุ่มแม่น้ำอเมซอน ในปี ค.ศ. 1829 พบว่า ปลาอะโรวาน่าเลิน มีการขยายพันธุ์มากกว่าปลาอะโรวาน่าชนิดอื่น สมัยนั้นชาวพื้นเมืองนิยมใช้เป็นอาหาร จากนั้นมาได้มีผู้เชี่ยวชาญชื่อ Dr. Vandell ได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์แก่ปลาชนิดนี้ว่า Osteoglossum biairrohosum และมีปลาอีกชนิดที่มีรูปร่างคล้ายกับปลาอะโรวาน่านั่นคือ อะราไพม่า ในแหล่งน้ำเดียวกัน และได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์แก่ปลาชนิดนี้ว่า Arapaima gigos ภายหลังได้ค้นพบปลาตระกูลนี้ทางตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ทวีปแอฟริกาจึงเรียกชื่อว่า อะโรวาน่าแอฟริกา ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heterotic nilotious

ประเทศฝรั่งเศสได้มีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปลาน้ำจืดได้ค้นพบปลาอะโรวาน่าเวียดนามใน ค.ศ. 1933 บริเวณลำธารกลางหุบเขาของ กรุงไซ่ง่อน ด้านตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 150 กม. ครั้นถึง ค.ศ. 1966 ได้ค้นพบปลาประเภทนี้อีกที่ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย

ประเทศไทยได้ค้นพบปลาอะโรวาน่า ตะพัด หรือมังกร แถบจังหวัดจันทบุรี ระยอง และตราดในอำเภอเขาสมิง ตามแหล่งน้ำบริเวณเขาบรรทัด และแม่น้ำทางใต้ที่ติดกับแนวชายแดนประเทศมาเลเซีย ปลาอะโรวาน่าที่เอ่ยมานั้นมีชื่อวิทยาศาสตร์ที่เหมือนกัน Sclercopages formosus ปัจจุบันนี้ปลาประเภทนี้นิยมเลี้ยงกันมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีฐานะค่อนข้างดีเนื่องจากราคาสูงกว่าปลาสวยงามประเภทอื่น ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นสำหรับต่างประเทศในทวีปเอเซียก็นิยมเลี้ยงกันมาก เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศอินโดนีเซีย

ปลาอะโรวาน่าวัยอ่อน ตามแนวสันหลังเริ่มจากขอบปากตลอดจนถึงครีบหาง มีลักษณะเป็นเส้นตรง แต่เมื่อปลาโตเต็มที่ตามแนวสันหลังโค้งงอเล็กน้อย บนพื้นลำตัวมีแผ่นเกล็ดที่ค่อนข้างหนา และใหญ่เรียงเป็นแถวอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของลำตัว ซึ่งยาวถึงโคนครีบท้อง ปลาอะโรวาน่าจัดเป็นปลาหางกลม ปากกว้างใหญ่มีฟันแหลมคมอยู่บริเวณขากรรไกรล่าง และบน รวมถึงเพดานปาก มีหนวด 1 คู่ อยู่ที่ขากรรไกรล่าง ดวงตากว้างโต แววตาแจ่มใส ขนาดลำตัวยาวประมาณ 3.5 - 4.8 เท่าของความกว้าง เฉลี่ยแล้วเมื่อโตเต็มที่ยาวประมาณ 1 เมตร น้ำหนัก 7 กิโลกรัม ปลาที่อยู่ในตระกูลนี้มีโครงสร้าง และหลอดอาหารที่กว้างใหญ่ ลิ้นมีกระดูก

ปลาอะโรวาน่าชอบอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ บริเวณธารน้ำไหลนิ่งหรือบริเวณน้ำตื้น ๆ ตามร่มเงาของต้นไม้ที่ขึ้นตามริมขอบแม่น้ำ ใต้พื้นน้ำเป็นกรวดทราย สภาพของน้ำควรมีความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 66.5 อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วงระหว่าง 77 องศาฟาเรนไฮด์ เมื่อถึงฤดูวางไข่ปลาตัวผู้ และตัวเมียชอบอมไข่ไว้ภายในช่องปาก อาหารโปรด คือ สัตว์น้ำขนาดเล็ก และเนื้อสัตว์ที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอเหมาะกับปาก นิสัยเชื่องช้า รักสงบ สันโดษ ปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อม

ลักษณะพันธุ์ปลาอะโรวาน่า

พันธุ์ปลาอะโรวาน่าที่นิยมเลี้ยงกันในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นปลาที่กำเนิดในทวีปเอเซียทั้งสิ้น แต่บางครั้งพบว่ามีผู้เลี้ยงปลาอะโรวาน่าสั่งซื้อปลาชนิดนี้ข้ามทวีปมาเลี้ยง แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก ปลาอะโรวาน่า ทวีปเอเซียที่เลี้ยงกันมากมี 3 สายพันธุ์ แต่ละพันธุ์มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากแตกต่างกันตรงที่สีสัน และครีบของลำตัวเป็นหลัก ดังนี้

  1. อะโรวาน่าแดง (Red arowana) เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงกว่าพันธุ์อื่น ราคาสูงมาก ลักษณะของปลาพันธุ์นี้สังเกตได้ที่แนวสันหลังมีสีน้ำตาลอมแดง แผ่นเกล็ดค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อยมีสีเขียวอมน้ำตาล ส่วนแผ่นเกล็ดบนพื้นลำตัวสีออกเขียวปนแดง หรือเขียวส้ม ส่วนท้อง และกระดูกเหงือกมีสีแดงอมส้ม และบริเวณโคนครีบทุกครีบมีสีเขียวอ่อน ส่วนปลายครีบมีสีแดงเลือดหมูหรือแดงอมส้ม ขอบปากสีแดงส้ม ถือกำเนิดในประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น
  2. อะโรวาน่าทอง (Golden arowana) ลักษณะส่วนประกอบต่าง ๆ เหมือนกับอะโรวาน่าแดง ต่างกันตรงที่สีสันอะโรวาน่าทองมีสีเหลืองทอง และมีราคาถูกกว่าอะโรวาน่าแดง จึงได้รับความนิยมน้อยกว่า อะโรวาน่าแดง ปลาชนิดนี้ถือกำเนิดในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย
  3. อะโรวาน่าน้ำเงินหรือ อะโรวาน่าเขียว (Silver หรือ Green arowana) ลักษณะตามแนวสันหลังของอะโรวาน่าสีน้ำเงินหรือมีสีเขียวปนน้ำเงิน ตามแผ่นเกล็ดบนลำตัวสีเงินยวง ครีบทุกครีบมีสีเขียวอมน้ำตาล ปลาชนิดนี้ราคาต่ำกว่าอะโรวาน่าแดง และอะโรวาน่าทอง พบตามแหล่งน้ำในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย และประเทศไทย

เทคนิคและวิธีการดูความแตกต่างระหว่างอะโรวาน่า ปลาอะโรวาน่าแต่ละชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ยากต่อการสังเกตฉะนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้ต้องอาศัยความชำนาญจากประสบการณ์ หรืออาจใช้วิธีการซักถาม จากร้านขายพันธุ์ปลา ดังเห็นได้ว่าพันธุ์อะโรวาน่ามีหลายสายพันธุ์ เช่น อะโรวาน่าทองอินโด อะโรวาน่าทองมาเลเซีย อะโรวาน่าทอง ดำ เงิน และปลาตะพัดดังกล่าวไว้แล้ว

ปลาอะโรวาน่าทองอินโดนีเซีย

  1. เกล็ดมีขนาดเล็กบอบบาง สีเหลืองอ่อน ไม่แวววาว ขึ้นไม่เต็มแนวสันหลัง จึงทำให้มองเห็นเป็นสีเขียวอมดำ
  2. เมื่อปลามีขนาด 4 - 5 นิ้วขึ้นไป ครีบกระโดง และครีบหางปรากฏมีสีแดง และสีดำอย่างละครึ่งของครีบหาง ครีบก้นมีสีแดงตลอดทั้งครีบ ครีบหางมีขนาดเล็กกว่าปลาอะโรวาน่ามาเลเซียแต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่สีต่าง ๆ เหล่านี้ ค่อย ๆ จางหายไป
  3. ขนาดลำตัวของปลาอะโรวาน่าอินโดนีเซียส่วนใหญ่ยาวกว่าปลาอะโรวาน่ามาเลเซีย แต่ลำตัวค่อนข้างแคบ บริเวณหัวทู่แหลม

ปลาอะโรวาน่ามาเลเซีย

  1. เกล็ด มีสีสันแวววาวโดยเฉพาะบริเวณปลายเกล็ด ขอบเกร็ดแผ่กว้างใหญ่และหนา การขึ้นของเกร็ดขึ้นตามแนวสันหลัง มีสีทองตลอดทั้งตัว
  2. สัดส่วนของครีบอก ครีบกระโดง ครีบก้นมีขนาดความยาวกว่าปลาอะโรวาน่าอินโดนีเซีย และมีสีทองอ่อนตลอดทั้งครีบ
  3. ขนาดลำตัวสั้น หนาและกว้างกว่าปลาอะโรวาน่าอินโดนีเซีย ปลาอะโรวาน่ามาเลเซียส่วนหัวทู่ไม่แหลมเหมือนปลาอะโรวาน่าอินโดนีเซีย

เทคนิคการซื้อปลาอะโรวาน่า

ในการที่ผู้เลี้ยงซื้อปลาชนิดนี้มาเลี้ยงต้องมีเทคนิคหรือหลักการที่พิจารณาในการเลือกซื้อดังนี้

  1. ส่วนประกอบต่างๆ ควรสมบูรณ์ โดยเฉพาะครีบหลัง
  2. ครีบกระโดง ครีบก้น และครีบหางต้องแผ่กว้าง ไม่มีรอยตำหนิใด ๆ เลย
  3. ลักษณะของการว่ายสง่างามทุกส่วน ครีบกระโดง ครีบหลัง ครีบทวารไม่ลู่หรือหุบขณะว่าย
  4. ลำตัวควรมีสีเข้ม ริมขอบล่าง และบนของลำตัวต้องขนานกันไปเป็นเส้นตรง
  5. รูปทรงของหนวดทั้งคู่ ควรมีลักษณะกลม และพุ่งตรงออกไปข้างหน้าไม่คดหรืองอ
  6. ดวงตา ควรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม คือ ไม่คว่ำหรือตก มิใช่ดวงตาข้างหนึ่งมองกระจกอีกข้างหนึ่งมองพื้นตู้ และควรเลือกดวงตาที่แจ่มใสไม่มัวหมอง

การเลี้ยงปลาอะโรวาน่า

การเลี้ยงปลาอะโรวาน่าผู้เลี้ยงควรเอาใจใส่ทุกเรื่องเป็นพิเศษเนื่องจากปลาชนิดนี้มีนิสัยชอบกัดกันเอง โดยมากผู้เลี้ยงมักเลี้ยงเพียงตัวเดียวในตู้กระจกขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความสวยงามให้แก่ตัวปลา และไม่ให้มีการสูญเสียเกิดขึ้น ฉะนั้นการเลี้ยงควรปฏิบัติดังนี้

  1. การเตรียมตู้ปลา ตามธรรมชาติปลาอะโรวาน่าขยายด้านความยาวเพียง 24 นิ้ว ฉะนั้นผู้เลี้ยงต้องเลือกใช้ตู้ที่มีความกว้างยาวพอกับความเคลื่อนไหวไปมา และกลับตัวของปลาได้สะดวกไม่ก่อความอึดอัดให้แก่ตัวปลา ถ้าให้ดีควรเลือกตู้ปลาที่มีขนาดตั้งแต่ขนาด 48 x 20 x 20 ลูกบาศก์นิ้ว หรือ 60 x 24 x 24 ลูกบาศก์นิ้ว ขึ้นไป จึงเหมาะสม
  2. สถานที่ตั้งตู้ปลา จุดสำคัญในการตั้งตู้ปลาอยู่ที่ฐานรองรับนั่นเอง คือขาตู้ควรมีความแข็งแรงทานน้ำหนักปริมาณน้ำในตู้ และตัวปลา โดยเฉพาะตู้ปลาที่เลี้ยงปลาอะโรวาน่าบรรจุน้ำตั้งแต่ 320 - 570 ลิตร เพราะฉะนั้นสถานที่ตั้งตู้ปลาควรอยู่ในที่สงบไม่มีคนรบกวน ให้โดนแสงอ่อน ๆ บ้าง เพื่อให้ปลามีความแข็งแรง และมีสีสันสวยงามขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ไม่ควรให้โดนแสงแดดมากเกินไป เพราะทำให้ตู้ปลามีตะไคร่น้ำเกิดขึ้นรวดเร็ว ผู้เลี้ยงจึงนิยมตั้งตู้ปลาบริเวณช่องลม เพื่อให้รับแสงแดดยามเช้า บางครั้งถ้าจำเป็นก็ควรให้แสงสว่างจากหลอดไฟเข้าช่วย
  3. กรวด ทราย หิน ที่ใช้ประดับตู้ปลา การใช้กรวด หิน ทราย ลงไปภายในตู้ปลาไม่ใช่ช่วยให้บรรยากาศในตู้เหมือนธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเก็บกักสิ่งสกปรก และช่วยกรองน้ำให้ใสสะอาดอีกด้วย ในการนำกรวด หิน ทราย ควรเลือกชนิดที่ขาวสะอาดไม่มีมุมแหลมคม ถ้าเป็นกรวด หิน ทราย ที่ได้มาจากชายทะเลก่อนที่ผู้เลี้ยงนำใส่ตู้ปลาต้องแช่ปล่อยทิ้งไว้ 3-4 วัน จึงนำมาประดับตู้ได้ ก่อนใส่ กรวด หิน ทราย ชั้นแรกควรวางแผ่นกรองบนตู้เสียก่อนแล้วจึงค่อย ๆ ใส่กรวด หิน ทราย ลงไปคลุมด้วยความหนา 1-2 นิ้ว ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับขนาดของตู้ปลาด้วย การใส่หินเพื่อประดับตู้ปลาควรให้ปลามีพื้นที่ว่ายน้ำได้สะดวกไม่จำกัดพื้นที่ เพราะอาจทำให้ปลาได้รับบาดแผลเมื่อปลาได้รับความตื่นตกใจ กรวด ทราย หินที่ใช้ประดับตู้ปลาเป็นเวลานานมากสีค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำควรนำออกมาล้างกำจัดสิ่งสกปรกเสีย ปกติการล้างตู้ปลาทำประมาณ 3 เดือน ต่อ 1 ครั้ง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนปลา และเศษอาหารที่ปลากินเหลือ
  4. ระดับอุณหภูมิ สำหรับประเทศไทยไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้ เนื่องจากระดับอุณหภูมิเหมาะสำหรับเลี้ยงปลาอะโรวาน่าอยู่แล้ว เช่น อะโรวาน่าแดง และอะโรวาน่าทอง ชอบอุณหภูมิระหว่าง 24-26 องศาเซลเซียส ส่วนปลาอะโรวาน่าสีน้ำเงิน และอะโรวาน่าดำ ควรปรับอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อยประมาณ 27-28 องศาเซลเซียส ถ้าเป็นฤดูฝน และฤดูหนาวตอนกลางคืน ระดับอุณหภูมิแตกต่างจากกลางวันมาก ดังนั้นควรเปิดไฟทิ้งไว้หรือใช้ฮีทเตอร์ช่วยปรับระดับอุณหภูมิให้อยู่ในระดับปกติ
  5. สภาพน้ำที่ใช้เลี้ยง สภาพน้ำถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเลี้ยงปลาอะโรวาน่า ฉะนั้นผู้เลี้ยงควรรักษาระดับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำให้อยู่ระหว่าง 6.4-6.8 จึงเหมาะสมต่อการเลี้ยงปลาอะโรวาน่า น้ำที่ใช้เลี้ยงมากที่สุดคือ น้ำประปา เพราะเป็นน้ำที่สะอาดปราศจากเชื้อโรค แต่ก่อนนำน้ำประปามาใช้เลี้ยงควรกักน้ำให้เพียงพอ แล้วตั้งทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน เพื่อให้คลอรีนระเหย และช่วยรักษาความเป็นกรดด่างให้อยู่ในระดับที่ต้องการ ปัญหาของน้ำอยู่ตรงที่ว่าเมื่อใช้เลี้ยงไปนานวันเข้าระดับน้ำลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้ปลาเกิดโรคได้ ดังนั้นผู้เลี้ยงควรถ่ายน้ำเมื่อเห็นว่าสภาพของน้ำสกปรก
  6. การปล่อยปลา จากการเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้ว ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องเติมน้ำยาปฎิชีวนะลงไปในตู้ปลา เพื่อช่วยรักษาความบอบช้ำต่าง ๆ ของปลา ยาปฏิชีวนะที่นิยมใส่ก่อนปล่อยปลาได้แก่ คลอแรมเฟนิคอล แอมพิซิลิน เตตร้าซัยคลิน อัตราส่วนในการผสมตัวยา 1 แคปซูลต่อน้ำ 20 ลิตร การซื้อปลาจากแหล่งขายปลา ผู้ขายส่วนใหญ่มักใช้ถุงพลาสติกบรรจุ ผู้เลี้ยงควรนำถุงพลาสติกนั้นไปแช่ลงในตู้ไว้ 15-20 นาที เพื่อให้ปลาสามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อมของน้ำที่ใช้เลี้ยงได้ดีขึ้น
  7. การให้อาหาร ปลาไม่ยอมกินอาหารเนื่องจากไม่คุ้นเคยกับสภาพน้ำ หลังจากนี้ประมาณ 2-3 วัน ปลาค่อย ๆเริ่มกินอาหาร ถ้าปลาอะโรวาน่าขนาดต่ำกว่า 4-5 นิ้ว อาหารที่ให้ควรเป็นหนอนแดง ลูกน้ำ ลูกปลา ฯลฯ เมื่อโตขึ้นมาหน่อยพอที่กินอาหารสดหรือแมลงตัวเล็ก ๆ เช่น กุ้งฝอย จิ้งจก แมลงสาบ ตะขาบ เนื้อกุ้งทะเล หมึก เนื้อหมู เนื้อไก่ ก็ควรให้กิน เพราะว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุด เพื่อช่วยเพิ่มสีให้เข้มขึ้น แต่อาหารประเภทเครื่องในไม่จำเป็นก็ไม่ควรให้โดยเฉพาะตับเพราะเป็นอาหารที่ย่อยยาก อาจทำให้ปลาท้องอืดได้ ดังนั้นผู้เลี้ยงควรเลือกอาหารให้เหมาะสมตามชนิดของปลา การให้ต้องเป็นเวลา เฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อวัน
  8. การเปลี่ยนน้ำ จากลักษณะนิสัยการกินอาหารของปลาอะโรวาน่าที่ชอบกินอาหารสด จึงทำให้สภาพของน้ำภายในตู้เกิดการเน่าเสียได้ง่าย เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคต่าง ๆ รวมไปถึงการเกิดก๊าซไนเตรท ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อปลาได้ เช่น ถ้าปลามีแววตาขุ่นมัว ครีบทุกครีบมีสีไม่สดใสขาดความงามไป ผู้เลี้ยงควรทำการถ่ายน้ำทุก ๆ สัปดาห์ ในการถ่ายน้ำทุกครั้งประมาณ 1/4 ของปริมาณน้ำภายในตู้ทั้งหมด แล้วใส่น้ำใหม่ไปแทนที่ในระดับน้ำเก่า การถ่ายน้ำปลาอะโรวาน่าในช่วงแรกหากไม่จำเป็นหรือไม่มีเหตุสุดวิสัยไม่ควรถ่ายน้ำเพราะอาจทำให้ปลาเครียด และตื่นตกใจพุ่งชนกระจกตู้ปลาถึงแก่ความตายได้ ฉะนั้นผู้เลี้ยงควรปล่อยให้ปลามีความคุ้นเคยกับสถานที่เสียก่อนประมาณ 7 วัน จึงเริ่มถ่ายน้ำ และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ ผู้เลี้ยงควรปิดฝาตู้ปลาให้สนิทเพื่อป้องกันปลากระโดด

การแพร่ขยายพันธุ์ปลาอะโรวาน่า

เดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2509 ณ ลองเจบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการเพาะพันธุ์ปลาอะโรวาน่าสีน้ำเงินประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก โดยการนำพ่อแม่พันธุ์ปลาอะโรวาน่าที่มีลักษณะสมบูรณ์มาขุน และปรับสภาพความเป็นอยู่ให้พร้อม เพื่อการผสมพันธุ์ในตู้ปลาที่มีความจุน้ำ 360 แกลลอน ขุนด้วยการให้กินลูกปลาขนาดเล็ก เช่น ลูกปลาทอง ลูกกุ้ง วันละ 100 ตัว เรื่อย ๆ ไปจนถึงกำหนด 14 วัน การขุนครั้งนี้สังเกตได้ว่าพ่อปลาเท่านั้นที่กินอาหาร ส่วนแม่ปลาไม่ยอมแตะต้องอาหารแม้แต่มื้อเดียว เมื่อสภาพร่างกายสมบูรณ์เต็มที่ แม่ปลาวางไข่ชุดแรกประมาณ 12 ฟอง เป็นไข่ประเภทจมน้ำเกาะติดพื้นตู้ ต่อจากนั้นพ่อปลาฉีดน้ำเชื้อเข้าผสมคลุกเคล้ากับไข่จนทั่วถึง พ่อแม่ปลาทั้งสองต่างดูดอมไข่ไว้ในช่องปาก ซึ่งช่องปากมีลักษณะเป็นถุงขนาดเล็กสามารถขยายได้เพื่อเก็บ และฟักไข่จำนวนมาก พ่อแม่ปลาดูดไข่ไว้ปริมาณเท่า ๆ กัน จนเข้าวันที่ 3 แม่ปลาเริ่มทยอยปล่อยไข่ที่อมออกมา และมีพฤติกรรมเกเรต่อพ่อปลา ผู้เลี้ยงจึงควรแยกแม่ปลาออกจากตู้เพาะเลี้ยง พอเช้าวันที่ 7 พ่อปลาเริ่มคายเปลือกไข่ที่อมไว้ออกมาก็แสดงว่าไข่ถูกฟักออกเป็นตัวอ่อน ช่วงนี้ตัวอ่อนถูกพ่อปลาอมไว้ในปากเป็นระยะเวลา 45 วัน ซึ่งช่วงนี้พ่อปลาไม่ยอมกินอาหารจนกว่าลูกปลาเริ่มเคลื่อนไหว และว่ายออกมาจากปากรวมทั้งสิ้นเป็นระยะเวลา 66 วัน ลูกปลาที่เกิดใหม่ควรให้อาหารจำพวกอาร์ทีเมีย และแยกออกไปเลี้ยงในตู้เพาะตามลำพังเพียงตัวเดียว เนื่องจากลูกปลาเมื่อเติบโตมีนิสัยดุร้ายกัดกันเอง สำหรับพ่อปลาค่อย ๆ เริ่มกินอาหารจำพวกสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กต่อไป

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ปลาปล้องอ้อย

ชื่อสามัญ ปลาปล้องอ้อย Khuli loach

ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลาปล้องอ้อย Pangio kuhlii (Valenciennes, 1846)

ลักษณะทั่วไปของปลาปล้องอ้อย

ปลาปล้องอ้อยเป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กของไทย มีรูปร่างค่อนข้างแปลก คล้ายหนอน มีลำตัวกลมยาว ทำนองเดียวกับปลาไหล แต่แบนข้างค่อนไปทางด้านหาง สีพื้นของลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือสีเทาดำ มีแถบสีเหลืองพาดขวาง ตามลำตัวเป็นปล้อง ๆ ลักษณะภายนอกดูคล้ายงู ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวว่องไวมาก มีความยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร เพศผู้ และเพศเมียมีลักษณะคล้ายกันมาก ชอบอาศัยอยู่ตามลำธารที่มีพื้นเป็นทราย ปลาปล้องอ้อยเคลื่อนไหวโดยการสะบัดท่อนหางอยู่เสมอ ปกติชอบน้ำที่ใสในเวลากลางวันมักหลบซ่อนตัวอยู่ตามวัสดุ พืชน้ำ หรือทรายตามพื้น เมื่อถึงเวลากลางคืนจึงออกมาหากินอาหาร แต่สามารถให้กินอาหารได้ตลอดเวลา อาหารของปลาปล้องอ้อย ได้แก่ ตัวหนอน ไรน้ำ และตัวอ่อนของแมลงที่อาศัยอยู่ตามพื้นใต้น้ำเป็นอาหาร ปลาปล้องอ้อยเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและมีความสำคัญทางธุรกิจส่งออกต่างประเทศ สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร (2541) ได้จัดลำดับความสำคัญ ในการส่งออกให้ปลาปล้องอ้อยเป็นปลาที่มีความสำคัญมาก ในประเภทปลาพื้นเมืองสวยงามส่งออกที่รวบรวมได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันจำนวนปลาปล้องอ้อยที่จับได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงมาก

การแพร่กระจาย ปลาปล้องอ้อย

ปลาปล้องอ้อยพบในแหล่งน้ำภาคตะวันออก และภาคใต้ของประเทศไทย และ ในมาเลเซีย สุมาตรา ชวา บอร์เนียว

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ปลาพลาตี้

ชื่อสามัญ ปลาพลาตี้ Common platy

ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลาพลาตี้ : Xiphophorus maculatus) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิืดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) อันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinodontiformes)

ชื่อ "พลาตี้" นั้นมาจาก คำว่า Platypoecilus ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นสกุล มีลักษณะลำตัวสั้นป้อม และกว้างกว่าปลาสอดหางดาบ (X. hellerii) ปลาตัวผู้ และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน คือ ปลาตัวผู้ไม่มีส่วนของก้านครีบหางยื่นยาวออกไป เหมือนปลาสอดหางดาบ การสังเกตความแตกต่างระหว่างเพศได้จากโกโนโพเดียม หรืออวัยวะสืบพันธุ์ของปลาตัวผู้ และสีที่สดใสกว่า และขนาดโตกว่าของปลาตัวเมีย มีสีลำตัวค่อนข้างเหลืองจนถึงน้ำตาลอมเขียว หรือเขียวคล้ำอมน้ำเงิน ครีบหลังสั้น มีขนาดเล็ก และมีรูปร่างเกือบกลม ครีบอก ครีบท้อง และครีบหางไม่มีสี แต่ครีบหางอาจมีขอบเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงิน บริเวณโคนหางมีจุดเล็ก ๆ 1-2 จุด ปลาเพศผู้อาจมีแถบจาง ๆ พาดขวางลำตัว 2-5 แถบ

แพร่กระจายพันธุ์อยู่ในประเทศเม็กซิโก และอเมริกากลางประเทศอื่น ๆ อาทิ กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส มีพฤติกรรมอาศัยหลบซ่อนตามไม้น้ำ หรือใต้ร่มเงาริมฝั่งในแหล่งน้ำนิ่ง ในน้ำที่อุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 7.0-7.5 (pH)

ปัจจุบัน ปลาพลาตี้ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ได้มีการเพาะขยายพันธุ์จนมีสีสันตลอดจนลวดลายสวยงามกว่าปลาดั้งเดิมในธรรมชาติมากมาย เช่น สีแดง, สีเขียว, สีส้ม, สีดำ, สีทอง หรือหลายสีในตัวเดียวกัน และครีบยาว เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on