รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

4 สุดยอดเทศกาลแปลกของโลก

ตะลึง ! กันได้อีกคร่า...กับเทศกาลแปลกๆ ของมนุษย์โลกเรา ไม่รู้ว่าเค้าคิดกันได้ยังไงที่เล่นสาดโคลนใส่กันจนตัวดำปี๋กันทั่วเมืองเหมือนหมูป่าที่ชอบออกไปเล่นในแอ่งโคลน หรือว่าการเอาผลไม้มาปาใส่กันราวกับโกรธเคืองกันมาแต่ชาติปางไหน อร๊าย!! เท่านั้นยังไม่พิลึกพอถึงกับเอาภรรยาสุดที่เลิฟมายกบอดี้พาดบ่า อัพแอนด์ดาวน์วิ่งแข่งกัน อะจึ๋ย! แต่ละอย่างช่างเสกสรรค์ไอเดียกันเสียจริง เป็นไงมาไงถึงก่อกำเนิดเทศกาลพิลึกพิลั่นแบบนี้ออกมาได้ ถ้าอยากรู้ เราจัดให้แล้วจ้า

เทศกาลอาบโคลน ไม่ใช่เปียกน้ำ เลอะแป้งเบาๆ อย่างเทศกาลสงกรานต์บ้านเรานะเคอะ แต่ที่เกาหลีใต้เค้าเนี่ยพอถึงช่วงเดือนกรกฎาคมเค้าจะเล่นกันด้วย "โคลน" ค่า เล่นจริงอะไรจริงดำปิ๊ดดำปี๋กันเลยทีเดียว เทศกาลอาบโคลนนี้ตามเกาหลีเค้าเรียกว่า "เทศกาลบอร์ยอง" อันเป็นเทศกาลอาบโคลนที่มีชื่อเสียงสำหรับคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดินโคลนจากทุ่งนาไม่ห่างจากชายหาดนั้นไม่ดีนักสำหรับนักเกษตรกรรม แต่กลับอุดมด้วยแร่ธาตุซึ่งกลายเป็นแหล่งทำเงินให้กับผู้ผลิตเครื่องสำอาง แต่ละปีดินโคลนจะถูกขุดขึ้นมาและขนไปยังชายหาดให้นักท่องเที่ยวกลิ้งเกลือกและอาบเล่นอย่างสนุกสนานใน "กองโคลนอันบริสุทธิ์" ซึ่งเป็นโอกาสดี เพราะปกติแล้วจะมีการจำกัดการใช้โคลนเพื่ออุตสาหกรรมความงาม โอ๊ย! แบบนี้ไม่ต้องกลัวสิวถามหา เจ๊ขอไปเล่นด้วยคนดิ!!

การแข่งขันเก็บชีส อื้อหือ! วิ่งแข่งอะไรไม่วิ่ง แต่จัดวิ่งแข่งกันเก็บชีสแบบนี้ต้องประเทศอังกฤษ ในชนบทอันเงียบสงบของอังกฤษ การแข่งกันเก็บชีสถูกจัดขึ้นในทุกเดือนพฤษภาคม ผู้ท้าชิงได้ไถลและล้มลุกคลุกคลานจากเขาที่สูงชันเพื่อไล่ล่าชีสแห่งเมืองกลอสเตอร์หนัก 8 ปอนด์ และทำเป็นรูปวงล้อ โดยผู้แข่งขันต้องเก็บชีสที่ปล่อยลงจากเนินเขาที่มีความเร็วถึง 70 ไมล์ต่อชั่วโมงให้ได้ก่อนที่ชีสจะตกลงไปตีนเขา!! แหม...ว่ากันว่าประเพณีนี้ในอดีตเมื่อผู้คนจัดขึ้นเพื่อฉลองเวลาที่พระอาทิตย์เข้าใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด โดยวงล้อชีสนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์นั่นเองค่า

แข่งขันอุ้มเมียชิงแชมป์โลก ต๊าย! เมืองซอนกกายาวิ ประเทสฟินแลนด์เนี้ยพิลึกพิลั่นที่สุด เพราะที่นี่เค้าเป็นสถานที่ "แข่งขันอุ้มเมียชิงแชมป์โลก" ประจำเดือนกรกฎาคมของทุกปี การแข่งขันนี้เพิ่งเริ่มขึ้นในปี 1990 แต่คนท้องถิ่นบอกตลกๆ ว่ามันเริ่มมาชั่วนาตาปีแล้ว เพราะเมื่อก่อนผู้ชายจะขโมยผู้หญิงจากหมู่บ้านอื่นมาเป็นศรีภรรยา อุ๊ย! จอมใจโจรน่ะเอง(อิอิ) ว่ากันว่ารางวัลที่ได้จจากการแบกเมียเนี่ยเป็นเบียร์ที่มีน้ำหนักเท่ากับตัวภรรยาที่เราแบกนั่นเองค่า เทคนิคการอุ้มมีหลายวิธี

ประเพณีกระโดดข้ามเด็กทารก กรี๊ด! สยองขวัญแก่เด็กอ่อนมั่กๆ คร่า สำหรับประเพณีการกระโดดข้ามทารกหรือ "เทศกาลโกลาโช" ที่จัดขึ้นมานมนานตั้งแต่ปี 1600 ณ เมืองคาสตริลโลเดมูร์เซียประเทศสเปนจัด "ฉลองเทศกาลโกลาโช" โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากเมือง

ช่วงเดียวกับเทศกาลคอร์ปุสคริสตีของชาวคริสเตียน ขบวนพาเหรดเป็นสัญลักษณ์การรวมกันของสิ่งชั่วร้ายมาในเมืองและพาพวกมันเข้าไปโบสถ์ และเพื่อขับสิ่งชั่วร้ายออกจากเด็กไร้เดียงสา เด็กทุกคนที่เกิดในปีที่แล้วจะถูกนำมานอนบนฟูก จากนั้นชายที่แสดงเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือเอลโกลาโชก้จะกระโดดข้ามฟูกนั้น เพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งชั่วร้ายออกไปจากตัวเด็ก ว่าแต่ว่าอย่ากระโดดพลาดนะคะคุณขา ไม่งั้นคุณที่รับบทเป็นเอลโกลาโชน่ะแหละจะเป็นสิ่งชั่วร้ายซะเอง

แปลกจริงอะไรจริง แต่ก็น่าสนุกไปอีกแบบชิมิเคอะ

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ฮาเร็ม วิมานของชายอาหรับ

"ฮาเร็ม" ที่รวมของหญิงงามนับร้อย แต่ทุกคนมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือคอยรับใช้ปรนเปรอความสุขให้องค์สุลต่าน แต่ชีวิตของนางเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะง่าย เพราะแต่ละคนมีโอกาสรุ่งและร่วงได้ทุกเมื่อ

  • ฮาเร็มหลังแรกของโลกเกิดขึ้นในอาณาจักรออตโตมัน ในสมัยศตวรรษที่ 13 ซึ่งก็คือประเทศตุรกีในปัจจุบันนั่นเอง จุดประสงค์ของการมีฮาเร็มก็เพื่อทำตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ที่ห้ามไม่ให้คนแปลกหน้าเห็นภรรยา ลูกสาว ข้าทาสผู้หญิงของตน บ้านของชาวออตโตมันจึงต้องกั้นบริเวณให้ผู้หญิงอยู่กันต่างหาก และห้ามไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าไปโดยเด็ดขาดยกเว้นเจ้าของบ้าน พื้นที่ต้องห้ามนี้เรียกว่า "ฮาเร็ม"
  • ส่วนฮาเร็มของใครจะกว้างใหญ่อลังการแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเมียและฐานะของเจ้าของบ้าน ซวึ่งแน่นอนว่าสุลต่านย่อมต้องเป็นคนที่รวยที่สุดและมีเมียมากที่สุด เวลาพูดถึงฮาเร็ม คนทั้งโลกจึงมักจะคิดถึงฮาเร็มขององค์สุลต่านก่อนเพื่อน? ฮาเร็มชื่อดังและใหญ่ที่สุดของโลกคือฮาเร็มภายในพระราชวังทอปกาปิ ในกรุงอิสตันบูล ภายในฮาเร็มรวมไว้ด้วยสาวงามจากทั่วทุกมุมโลก ที่พวกขุนนางไปแสวงหามาถวายองค์สุลต่าน โดยเฉลี่ยแล้วสุลต่านแต่ละองค์จะมีนางในฮาเร็มประมาณ 300 คน หรือบางองค์อาจจะมีนางบำเรอสาวมากถึง 900 คนด้วยซ้ำไป!!!
  • เมื่อผู้หญิงมาอยู่รวมกันมากๆ ก็ต้องมีกฎระเบียบเคร่งครัด เพื่อไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้งอิจฉาริษยากัน โดยมีพระราชชนนีขององค์สุลต่านเป็นผู้คอยปกครองดูแลสาวๆ เหล่านี้ และเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด รองลงมาก็คือ ?บาส คาดิน อีเฟนด์' หมายถึงพระมเหสีที่ให้กำเนิดโอรสหรือธิดาองค์แรกของสุลต่าน ถัดลงมาถึงจะเป็นเหล่าพระสนมที่มีลูกให้แก่องค์สุลต่าน สนมเหล่านี้จะได้รับตำแหน่ง ?อิค บาล เลอร์' เทียบได้กับพระชายาของไทยเรา ตำแหน่งรองจากนั้นได้แก่ ?เกดิคลี คาดินลาร์' เป็นตำแหน่งของนางทาสที่ถวายงานมานานจนรู้พระทัยองค์สุลต่านดี เช่น รู้ว่าเวลาสรงน้ำองค์สุลต่านต้องการใช้อะไรบ้าง ต้องส่งอะไรให้ในตอนไหน
  • ตำแหน่งรองลงมาจากนั้นก็คือ ?โอดาลิค ลาร์' เป็นตำแหน่งของทาสสาวๆ ที่องค์สุลต่านทรงถูกใจแล้วเรียกให้มาค้างคืนด้วยจนตั้งท้อง นางพวกนี้จะมีโอกาสได้เลื่อนขึ้นเป็นพระชายาต่อไป ส่วนตำแหน่ง ?กอสเด' คือทาสสาวที่สุลต่านเรียกตัวไปรับใช้แต่บังเอิญไม่ตั้งท้อง ก็เลยค้างเติ่งเป็นนางบำเรออยู่อย่างนี้ ไม่มีโอกาสได้เป็นใหญ่เป็นโต ส่วนอันดับสุดท้ายก็คือ ?ยูนัค' หรือขันทีที่ถูกตอนแล้ว มีหน้าที่เป็นตำรวจคอยรักษาความสงบเรียบร้อยในฮาเร็ม จัดเป็นผู้ชายเพียงประเภทเดียวที่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในฮาเร็มได้โดยยังมีลมหายใจ
  • การคัดเลือกสาวมาเป็นนางในฮาเร็ม ก็ได้หัวหน้าขันทีที่เรียกว่า ?คิซลารากาซี' นี่ล่ะเป็นคนไปหามา เพราะคนคนนี้จะรู้พระทัยรู้สเป็คสุลต่านดีว่าชอบสาวแบบไหน และหลังจากได้ตัวมาแล้วก็จะต้องให้พระมเหสีเอกพิจารณาอีกทีว่านางคนไหนจะได้มารับใช้องค์สุลต่าน จากนั้นนางที่ถูกเลือกก็จะต้องเรียนรู้บทเรียนการปรนเปรอสุลต่านอีกมากมาย เช่น การปรนนิบัติด้านกามารมณ์ การร้องรำทำเพลง เล่นดนตรี แต่งกลอน วรรณคดี มารยาท การพูดจา ฯลฯ แต่ถึงจะเตรียมตัวดีแค่ไหน ถ้าองค์สุลต่านไม่สนใจนางคนนั้นก็ต้องกินแห้วจนแก่ตายอยู่ในฮาเร็มไปตลอดชีวิต ไม่ต่างจากชีวิตนางสนมนับพันในวังมังกรของจีนเลย
  • ส่วนการถวายตัวเข้าไปบำเรอองค์สุลต่านนั้นต้องยุ่งยากสารพัดอย่าง เริ่มต้นด้วยการส่งนางที่สุลต่านทรงเลือกเข้าห้อง ?เตอร์กิช บาธ' ซึ่งก็เหมือนกับสปาในสมัยนี้ เพื่อให้ขัดสีฉวีวรรณทุกซอกทุกมุม เส้นขนทุกเส้นต้องชโลมด้วยน้ำมันที่ทำจากขี้ผึ้งเพื่อให้อ่อนนุ่มเป็นเงา ไม่ระคายมือเวลาลูบไล้ พร้อมกับพรมน้ำหอมให้หอมฟุ้งไปทั้งตัว
  • เมื่อเข้าไปในห้องบรรทมแล้ว สาวผู้ถูกเลือกจะต้องคลานไปที่เตียง โดยคลานขึ้นไปทางปลายเตียงที่สุลต่านนอนรออยู่เท่านั้น ถ้านางคนนั้นปรนนิบัติได้ถูกพระทัย ถึงจะไม่ท้องก็อาจจะทรงเรียกมารับใช้บ่อยๆ ...แต่โอกาสที่สุลต่านจะทรงเรียกใครซ้ำสองนั้นมีน้อยมาก เพราะสาวงามมีเป็นร้อย ต่อให้เรียกหาทั้งปีโดยไม่ซ้ำคนก็ยังไม่หมดฮาเร็ม นางส่วนใหญ่จึงมักได้ถวายตัวแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็ถูกลืมไปเลย

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

สัญลักษณ์นิ้วมือในประเทศต่างๆ

อยู่บ้านเรา ถ้าชูนิ้วโป้งก็แปลว่าโกรธแล้ว ถ้ายกนิ้วก้อยก็แปลว่ามาดีกันนะ แต่เมื่อไรที่เราก้าวเท้าออกไปพ้นสุวรรณภูมิ แต่ละนิ้วที่เรายกขึ้นมาจะมีความหมายของมันเอง เมื่อไรที่จะชูต้องคิดให้ดีก่อน ไม่อย่างนั้นชูนิ้วไปอาจจะได้ก้อนหินลอยมาก็ได้

? ท่าชูนิ้วโป้ง สำหรับบ้านเรากับอีกหลายๆ ประเทศ นิ้วโป้งหมายถึง "สุดยอด" หรือ "นายแน่มาก" แต่ถ้าไปเผลอยกใส่ใครในญี่ปุ่น นิ้วนี้จะถูกลดความหมายไปทันทีแปลว่า นายก็เป็นได้แค่ที่ 5 เท่านั้นเอง!! เพราะเวลาที่คนญี่ปุ่นเขานับนิ้ว เขจะเริ่มนับกันที่นิ้วชี้ก่อน ตามด้วยนิ้วกลาง นาง ก้อย แล้วปิดท้ายด้วยนิ้วโป้ง ส่วนถ้าไปที่ออสเตรเลีย การชูนิ้วโป้งนี่อันตรายมาก เพราะมันมีความหมายหยาบคายทำนอง "Kiss My Ass" เทียบแล้วก็คือท่าชูนิ้วกลางในบ้านเราขืนไปชมใครด้วยนิ้วนี้ อาจได้รองเท้า (พร้อมเท้า) เป็นรางวัล

? ท่าชูสองนิ้วเป็นตัววี ท่านี้เป็นท่าหากินเวลาถ่ายรูปของเด็กไทยมีชื่อเป็นภาษาสากลว่าสัญลักษณ์แห่งชัยชนะหรือ "Victory Signal" แต่เชื่อไหมว่าสำหรับชาวอังกฤษ ท่านี้ก็เทียบได้กับชูนิ้วกลางอีกเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ชาวบ้านเขาก็ใช้กันทั้งโลกนี่ล่ะ เพราะคนอังกฤษมีอดีตฝังใจกับท่านี้มานานแล้วเดิมชาวอังกฤษเป็นคนริเริ่มทำท่าชูสองนิ้วเป็นเจ้าแรกของโลก โดยเอาแบบมาจากการวางนิ้วเวลายิงธนูของ "กองทหารยิงธนูไกล" ของอังกฤษ กองธนูนี้ยิงทีไรมักจะชนะทุกที ท่ายิงธนูก็เลยถูกเอามาเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ เวลาจะไปรบหรือจะให้กำลังใจใครก็จะชูสองนิ้วกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่พอมาถึงช่วงปฏิวัติพวกที่ต่อต้านอำนาจของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองซึ่งต้องออกไปสู้ทุกวันก็ชูสัญลักษณ์แห่งชัยชนะกันให้เกร่อไปหมด ความหมายของท่านี้เลยชักเพี้ยนไปเป็นการประท้วงและการต่อต้านไป หนักๆ เข้าก็กลายเป็นการด่าอย่างเหยียดหยามไปซะ จนคนอังกฤษเห็นแล้วเกลี๊ยด...เกลียด ใครชูนิ้วใส่เมื่อไรเลือดขึ้นหน้าเมื่อนั้น

? ท่าชูนิ้วก้อยและนิ้วโป้ง ท่านี้มองยังไงก็คล้ายๆ สัญลักษณ์คาราบาวบ้านเรา พูดง่ายๆ ว่าเหมือนหัวควายนั่นแหละ แต่สำหรับภาษาสากลเขากลับแปลว่าไอเลิฟยู ชั้นรักเธอไปซะนี่ แต่ถ้าทำมืออย่างนี้แล้วเอามาวางไว้ที่ปากก็จะหมายถึงโทรศัพท์ นอกจากนี้ในหลายๆ ประเทศ เพื่อนๆ มักจะทำมือแบบนี้ให้กันเพื่อบอกว่า "นายเท่มากเลย" หรือไม่ก็ "ทำตัวตามสบายนะ"

? ท่านิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาชนกันเป็นรูกลมๆ คิดว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักท่านี้ใช่ไหม มันคือภาษาใบ้ที่แปลว่า "โอเคนะ" หรือ "ตกลง" แต่ก็ยังอุตส่าห์มีการยกเว้นจนได้สำหรับประเทศผ่าเหล่าผ่ากออย่างอิตาลี ใครไปเยือนประเทศนี้ต้องเก็บท่าโอเคนะให้ดีเลย เพราะคนที่นั่นเขาถือว่ามันเป็นการด่ากันแบบไม่ออกเสียงว่า "ไอ้หน้า..." (โปรดเติมคำในช่องว่างเอาเอง) แทนที่ทุกอย่างจะโอเค มันจะกลายเป็นโนเคไปน่ะสิ

? ท่าชูนิ้วกลาง ท่านี้จัดว่าเป็นท่าสิ้นคิด ถ้าไม่รู้จะด่ากันว่าอย่างไรก็งัดท่าทำมาหากินนี่ล่ะ ชูไว้ก่อนเลย! เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าหมายถึงการให้ของลับของเพศชาย ที่มาของท่าคลาสสิคนี้เกิดขึ้นในสมัยโบราณ ตอนนั้นชาวโรมันเชื่อกันว่าองคชาติของผู้ชายเป็นเครื่องรางที่ใช้สู้กับคำสาปชั่วร้ายได้เวลาชูนิ้วกลางใส่ใครจึงเป็นการข่มขู่คู่ต่อสู้ว่า "มนต์ดำของแกทำอะไรฉันไม่ได้หรอกน่า" แต่ต่อมาเกิดการเพี้ยนขั้นรุนแรง เลยลืมเรื่องมนต์ดำกันไป กลายเป็นคำด่าล้วนๆ นอกจากนี้ท่าชูนิ้วกลางนี่ยังได้เกิดในวงการมายาด้วย เมื่อ 423 ปีก่อนคริสตศักราช ละครเวทีเรื่อง "The Cloulds" ของ ?อริสโตฟาเนส' ได้เอาท่านี้ขึ้นไปเล่นกันบนเวที แต่เรียกมันว่าท่า "ดิจิตุส อินฟามุส" มีความหมายประมาณว่าเป็นนิ้วทุเรศ หรือนิ้วทะลึ่ง จากนั้นความหมายของนิ้วกลางก็เลยยิ่งแพร่หลายไปในทำนองหยาบคายมากขึ้นไปอีก

ขอขอบคุณ ที่มา : Lisa ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

แอปเปิ้ล ผลไม้หลากเรื่องราว

ไม่มีใครรู้ว่าแอปเปิ้ลต้นแรกมาจากไหน แต่ก็ยอมรับกัน (แบบอิดออด) ว่าน่าจะมาจากประเทศจีน จากนั้นก็มีคนติดใจเอาไปแพร่พันธุ์ในอุซเบกิสถาน ก่อนที่จะขยายพันธุ์ไปที่กรีซและที่อื่นๆ ทั่วโลก สำหรับการบุกไปยึดอังกฤษเป็นเมืองขึ้นของแอปเปิ้ล มีหลักฐานว่าสมัยที่กองทัพโรมันของกษัตริย์ซีซาร์บุกเข้าตีหมู่เกาะอังกฤษ ได้เอาแอปเปิ้ลเข้าไปเพาะพันธุ์ด้วย จากนั้นอังกฤษก็ตกเป็นเมืองขึ้นของแอปเปิ้ลอย่างฝังจิตฝังใจยิ่งกว่าติดยาบ้า ให้เลิกกินก็ไม่มีใครยอม พอชาวอังกฤษไปตั้งรกรากในอเมริกาก็เอาต้นแอปเปิ้ลไปปลูกด้วย ทำให้แอปเปิ้ลได้ครองโลกเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับแอปเปิ้ลนั้นมีมากมายทั้งในความเชื่อและในตำนาน เป็นหลักฐานยืนยันว่าคนครึ่งโลกผูกพันกับแอปเปิ้ลมากจริงๆ

  1. ตำนานที่โด่งดังมากที่สุดของแอปเปิ้ลคือ เรื่องที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ต้องห้ามที่พระเจ้าห้ามไม่ให้ ?อาดัมส์' กับ ?อีวา' กิน แต่ทั้งคู่หลงในกิเลสทำให้ถูกซาตานหลอกให้กินแอปเปิ้ล จึงต้องตกสวรรค์มาอยู่ในโลกมนุษย์ การที่แอปเปิ้ลเป็นชนวนให้มนุษย์คู่แรกของโลกรู้จักทำบาป ทำให้แอปเปิ้ลในภาษาละตินตรงกับคำว่า "malus" ซึ่งแปลว่าชั่วร้าย ในตะวันตกสาวโสดจะมีเกมชนิดหนึ่งเรียกว่า Hallowtide โดยหญิงสาวจะนั่งล้อมวงกัน แต่ละคนจะผูกแอปเปิ้ล 1 ชิ้นไว้กับเชือกแล้วหมุนหน้ากองไฟ ชิ้นไหนตกลงมาก่อน คนนั้นจะได้แต่งงานเป็นคนแรก
  2. อีกพิธีกรรมหนึ่ง เพื่อหาคู่ของสาวตะวันตก สาวๆ จะปอกเปลือกแอปเปิ้ลจนหมดผลโดยไม่ให้ขาดเลย(ถ้าขาดจะเป็นลางร้าย) แล้วโยนข้ามไหล่ซ้ายไปข้างหลัง เปลือกแอปเปิ้ลที่ตกพื้นจะเป็นรูปร่างอักษรย่อ หรืออักษรตัวแรกของสามีในอนาคต
  3. คนกรีกในสมัยโบราณมีประเพณีว่า เวลาผู้ชายจะขอสาวแต่งงานจะต้องโยนผลแอปเปิ้ลให้ และถ้าเธอรับได้ นั่นหมายความว่าตกลง(ถ้ารับพลาดคงร้องไห้ตายเลย)
  4. คนเดนมาร์กโบราณเชื่อว่า เวลาแอปเปิ้ลอยู่ใกล้คนที่นอกใจคนรักมันจะเหี่ยว
  5. การตัดแอปเปิ้ลโดยไร้เหตุผล ถือว่าจะทำให้โชคร้าย เพราะแอปเปิ้ลเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ ความเป็นนิรันดร์ และความสุขหลังความตาย
  6. ว่ากันว่าเทพเจ้าของชาวสแกนดิเนเวีย คงความเป็นหนุ่มสาวได้ตลอดกาลโดยการกินแอปเปิ้ลทองคำของ ?ไอดัน' ซึ่งเป็นเทพีแห่งความหนุ่มสาวและฤดูใบไม้ผลิ
  7. คนอังกฤษถือว่า วันที่ 21 ต.ค. ของทุกปีเป็นวันแอปเปิ้ล เพราะในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ครูอังกฤษส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำ พ่อแม่ของนักเรียนจึงชอบจัดแอปเปิ้ลใส่ตะกร้าไปเป็นของขวัญให้ครู แต่ต่อมาเมื่อเงินเดือนครูสูงขึ้นก็กลายเป็นประเพณีว่าพอถึงวันครุ นักเรียนจะนำแอปเปิ้ลผลเดียวไปให้ครูเพื่อแสดงความขอบคุณ
  8. ชาวเดวอนไชร์ของอังกฤษ ใช้แอปเปิ้ลรักษาไฝหรือหูด โดยผ่าเป็นซีกแล้วนำไปถูบนไฝหรือหูด แปะเอาไว้ จะทำให้ไฝหรือหูดนั้นหายไปได้ ซึ่งวิธีการนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน
  9. ชาวตะวันตกสมัยก่อน จะเอาแอปเปิ้ลใส่ในถุงมันฝรั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้มันฝรั่งงอกเป็นต้นอ่อน และถ้าใส่ในถุงเก็บน้ำตาลหรือกล่องคุกกี้ จะช่วยป้องกันความชื้นได้
  10. ในตำนานกรีก ?เอริส' เทพธิดาแห่งความขัดแย้งได้รับเชิญไปงานแต่งงาน นางอยากจะป่วนงานก็เลยเอาแอปเปิ้ลทองคำที่มีคำจารึกว่า "สำหรับคนที่สวยที่สุด" โยนขึ้นไปบนโต๊ะทำให้เทพธิดาที่สวยเท่ากันสามองค์คือ ?เฮร่า' ?อะเทน่า' และ ?อะโพรไดท์' แย่งแอปเปิ้ลกันจนทำให้เกิดสงครามถล่มกรรุงทรอยต์ตามมา
  11. แอปเปิ้ลมีบทบาททางวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะเมื่อ ?ไอแซค นิวตัน' เห็นแอปเปิ้ลตกจากต้น เขาจึงค้นพบกฎเรื่องแรงโน้มถ่วง

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

สปาเก็ตตี้ เส้นหมี่ กับปีศาจลอยได้

เส้นสปาเก็ตตี้เป็นผู้ร้ายที่ต้องสงสัยมานานแล้วว่า อาจจะเป็นตัวอย่างการละเมิดลิขสิทธิ์เมื่อหลายร้อยปีก่อน แถมยังฉาวไม่เลิก เมื่อมีชื่อเข้าไปพัวพันกับลัทธิปีศาจอีก เรื่องแบบนี้เราไม่ยอมพลาด ต้องเกาะติดสถานการณ์มารายงานกันหน่อยแล้ว

ที่ว่าเส้นสปาเก็ตตี้อาจจะถูกขโมยไอเดียไปจากจีน ก็เพราะความที่หน้าตามันช่างไปละม้ายคล้ายคลึงกับบะหมี่ ของดีเมืองจีนเขาเสียเหลือเกิน และที่สำคัญการโกอินเตอร์ไปได้ดีที่เมืองฝรั่งของเส้นสปาเก็ตตี้ก็ช่างบังเอิ๊ญ...บังเอิญมาเกิดหลังจากจีนกับอิตาลีเริ่มเปิดประตูบ้านหากันซะด้วย

กำเนิดบะหมี่ บะหมี่กับพลพรรคเส้นก๋วยเตี๋ยวเริ่มแจ้งเกิดในเมืองจีนเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาลนี่เอง ตอนนั้นอาณาจักรฮั่นเริ่มติดต่อค้าขายกับอาณาจักรโรมันผ่านทางเส้นทางสายไหม และพวกพ่อค้าก็ได้นำเอาโม่หินจากโรมันเข้าไปในจีนด้วย ชาวจีนก็เลยเปลี่ยนจากกินข้าวสวยมาโม่แป้งทำอาหารกันตั้งแต่ยุคนั้น ส่วนทางกรุงโรมเองพอมีการติดต่อกับจีนเข้าก็เริ่มมีอาหารหน้าตาไม่ปรากฏสัญชาติเกิดขึ้นมาเชียว แต่ต่างจากของเมืองจีนนิดหน่อยตรงที่อาหารของจีนเกิดจาการเอาแป้งสาลีไปโม่ผสมกับน้ำแล้วนวดให้เข้ากัน จากนั้นก็ตัดเป็นเส้นยาวๆ ก่อนจะเอาไปนึ่งหรือต้มให้สุกเรียกว่า "เส้นบะหมี่" ส่วนของทางโรมจะนวดแป้งกับน้ำจนได้ที่แล้วเอาไปรีดเป็นแผ่นบางๆ ได้ออกมาเป็น "เส้นพาสต้า" อาหารประจำชาติอย่างหนึ่งของชาวอิตาเลียน ถึงวิธีการทำจะต่างกันเล็กน้อยแต่หน้าตาเหมือนกันยังกับแฝดผิดฝาอย่างนี้จะไม่ให้สงสัยว่าใครลอกใคร ใครขโมยลิขสิทธิ์ใครได้ไงล่ะ
นอกจากนี้ในเมนูอาหารจีนสมัยก่อน จานเด็ดที่อากงอาม่าชอบโซ้ยกันมากที่สุดก็คือเกี๊ยวสอดไส้ด้วยหมูหรือเนื้อแกะ ปรุงรสด้วยขิง หอมใหญ่ อบเชย เก๋ากี้ และถั่วดำ จากนั้นก็เอาไปนึ่ง ซึ่งอาหารจานนี้ก็เกิดไปเหมือนกับ "ราวิโอลี" หรือ "ทอร์เทลลินี" ของอร่อยยอดฮิตของอิตาลีเข้าอย่างจังมีทั้งหลักฐานทั้งพยานอย่างนี้ จะมาทำหน้าใสใจซื่อว่าไม่ได้ลอกเค้ามา ใครเค้าจะไปเชื่อ!!

กำเนิดสปาเก็ตตี้ แต่อีกข้อมูลหนึ่งก็บอกว่า เส้นหมี่ต่างหากล่ะที่น่าจะเป็นฝ่ายก๊อปปี้ของดีเมืองฝรั่งเค้า เพราะมีการขุดพบสมบัติโบราณบางชิ้นที่เชื่อได้ว่า มีการทำพาสต้าในอิตาลีมาตั้งแต่ 400 ปีก่อนโน่นแล้ว โดยที่ถ้าจะว่าก๊อปไอเดียชาวบ้านมา ชาวโรมก็ขโมยมาจากชนเผ่าเยอรมานิกในศตวรรษที่ 5 ต่างหาก ไม่ใช่สอยมาจากอ้อมอกมังกรจีน

ปีศาจสปาเก็ตตี้ลอยฟ้า พูดถึงสปาเก็ตตี้แล้วคงจะข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้ เพราะว่าสปาเก็ตตี้นั้นได้ยกระดับขึ้นไปเป็นถึงพระเจ้าผู้สร้างโลกเลยทีเดียว! เมื่อปี 2006 ?นายบ็อบบี้ เฮนเดอร์สัน' ได้เขียน "พระคัมภีร์แห่งปีศาจสปาเก็ตตี้ลอยฟ้า" ขึ้นมา ซึ่งเป็นศาสนาในเชิงล้อเลียนที่เขาปั้นขึ้นมาเอง เขาเชื่อว่าปีศาจสปาเก็ตตี้ลอยฟ้า (Flying Spaghetti Monster) เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ล่องหนหายตัวได้ ไม่มีใครมองเห็น แถมยังเป็นผู้สร้างจักรวาลและโลกขึ้นมา รวมไปถึงต้นไม้ ภูเขา และมนุษย์เราก็เป็นผลงานมาสเตอร์พีซของท่านปีศาจตนนี้ด้วย

? ผู้ที่เคารพนับถือท่านปีศาจสปาเก็ตตี้จะรวมตัวกันตั้งเป็นลัทธิ และเรียกตัวเองว่าชาวพาสตาฟาเรียน

? นักบวชที่แท้จริงของศาสนานี้ก็คือพวกโจรสลัด เพราะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่วุ่นวายกับแสงสี และชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก แต่ที่โจรสลัดถูกสังคมโลกประณามว่าชั่ว ก็เพราะคนที่ด่าว่าโจรสลัดเป็นพวกนอกรีตน่ะเป็นคนไม่มีศาสนาต่างหากล่ะ

? ?บ็อบบี เฮนเดอร์สัน' ก่อตั้งศาสนาปีศาจสปาเก็ตตี้ลอยฟ้าขึ้นก็เพื่อต่อต้านกฎของคณะกรรมการการศึกษาของรัฐแคนซัส ที่บังคับให้สอนทฤษฎีบางอย่างที่เขาไม่เห็นด้วย พอทฤษฎีนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็มีคนยอมให้ทุนเขา 80,000 ดอลลาร์ เพื่อเขียนพระคัมภีร์แห่งปีศาจสปาเก็ตตี้ลอยฟ้าออกมาขาย พระคัมภีร์เล่มนี้มีวางขายแล้วเมื่อวันที่ 28 มีนาคมปี ค.ศ. 2006 คาดว่าทุกวันนี้คงยังขายไม่หมด(หรือไม่ก็ขายไม่ออก) ถ้าคุณๆ อยากอ่านก็ลองไปหาดูกันเองนะเจ้าคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

อาหารมงคลแบบจีน

คนจีนไหว้เจ้ากันบ่อยมาก แต่มักจะใช้อาหารหน้าตาเหมือนๆ กันไปทุกบ้าน เพราะตามธรรมเนียมจีนอาหารเหล่านั้นมีความหมายมงคลอยู่ในตัวของมันเอง แต่คนรุ่นลูกหลานอย่างเราอาจจะไหว้ไปอย่างนั้นเองโดยที่ไม่รู้จักความหมายดีๆ ที่ซ่อนอยู่ ไม่เป็นไร...วันนี้ล่ะจะได้รู้กันสักที...

กับข้าว
1. ลูกชิ้นปลา หมายถึง ให้เหลือกินเหลือใช้ ความกลมของลูกชิ้นหมายถึงความราบรื่น ทำอะไรก็สำเร็จ
2. ผัดต้นกระเทียม หมายถึง ให้มีเงินมีทองอยู่เสมอ
3. ผัดตับกับกุยช่าย "ตับ" ภาษาจีนออกเสียงว่า "กัว" แปลว่า ขุนนาง ส่วนกุยช่าย เป็นการพ้องเสียงของคำว่า "กุ่ย" แปลว่า แพง, รวย
4. แกงจืด การไหว้น้ำแกงก็เพื่อให้ชีวิตลูกหลานหวานราบรื่น เพราะคำว่าแกงจืดภาษาจีนออกเสียงว่า เช็ง-ทึง "เช็ง" แปลว่า ใส, หวาน
5. เป๋าฮื้อ "เป๋า" หรือ "เปา" แปลว่าห่อ ส่วน "ฮื้อ" คือเหลือกินเหลือใช้ ไหว้เป๋าฮื้อก็เพื่อห่อความมั่งคั่งเหลือกินเหลือใช้มาให้ลูกหลานนั่นเอง
6. ผัดถั่วงอก หมายถึง งอกงามรุ่งเรือง
7. เต้าหู้ คำนี้เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว จีนกลางออกเสียงเต้าหู้ว่า "โต ฟู ฟู" แปลว่า บุญ, ความสุข
8. สาหร่ายทะเล เรียกว่า "ฮวกฉ่าย" ถ้าออกเสียงเป็นฮวดไช้ ก็แปลว่า โชคดี, ร่ำรวย

ขนมไหว้
1. ซาลาเปา คำว่า "เปา" หมายถึง ห่อ ความหมายของซาลาเปาจึงหมายถึง ห่อโชค ห่อเงินห่อทองมาให้ลูกหลาน
2. ขนมถ้วยฟู ไหว้เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรือง เฟืองฟู
3. ขนมคัดท้อก้วย คือขนมไส้ต่างๆ ทำเป็นรูปลูกท้อสีชมพู ลูกท้อ เป็นผลไม้มงคล หมายถึง อวยพรให้อายุยืนยาว
4. ขนมไข่ ไหว้เพื่อให้ได้มีการเกิดและมีการเจริญเติบโต
5. ฟักเชื่อม เพื่อฟักเงินฟักทอง และฟูมฟักความหวานของชีวิต
6. ข้าว ถั่ว งา คือ ธัญพืช "ธัญญะ" แปลว่า งอกงาม ไหว้เพื่อให้ชีวิตลูกหลานเจริญงอกงาม

ผลไม้
1. ส้ม ส้มในภาษาจีนเรียกว่า "ไต้กิก" คำว่า "ไต้" แปลว่า ใหญ่ "กิก" แปลว่า มงคล "ไต้กิก" จึงแปลว่ามหาสิริ หมายถึง ให้ลูกหลานมีแต่ความโชคดี
2. กล้วย คนจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า "เก็ง-เจีย" หมายถึง ให้มีโชคเข้ามา นอกจากนี้ เนื่องจากกล้วยมีผลมากมายจึงมีความหมายมงคลว่าให้ลูกหลานมากๆ
3. องุ่น หมายถึง ความงอกงาม
4. สับปะรด คนจีนแต้จิ๋วเรียกสับปะรดว่า "อั้งไล้" แปลว่า เรียกสีแดงมา สีแดงเป็นสีของโชคสำหรับชาวจีน การไหว้ด้วยสับปะรดจึงหมายถึงว่าเรียกโชคเข้ามา คนจีนทางใต้นิยมไหว้สับปะรดมาก
5. เผือก การไหว้เผือกก็เพราะว่าลักษณะของเผือกเป็นรูปหัว คนจีนไหว้เผือกเพื่อให้ครบหัวครบหาง ครบสมบูรณ์ดี
6. ผัดหมี่ซั่ว ลักษณะของเส้นหมี่จะยาว คนจีนจึงชอบไหว้และชอบเอาไปอวยพรวันเกิดให้ผู้ใหญ่เพื่อให้อายุยืนยาว
7. เป็ด แต่ก่อนคนจีนไหว้เจ้าด้วยกุ้งมังกร เพราะรูปลักษณ์ของกุ้งมังกรมีหัวใหญ่ก้ามโตให้ความรู้สึกถึงอำนาจวาสนา แต่ต่อมากุ้งมังกรหายากจึงเปลี่ยนมาใช้เป็ดแทน

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

วันแห่งความรัก ที่เก่าที่สุดในโลก

วาเลนไทน์อาจจะเป็นวันแห่งความรักที่ฮิตที่สุด แต่ถ้าพูดถึงวันแห่งความรักที่เกิดมาก่อนใครเพื่อน จนเรียกได้ว่าเก่าลายครามที่สุดในโลก ต้องยกให้ "วันทานาบาตะ" เป็นตัวจริงเสียงจริง

วันทานาบาตะ(ของญี่ปุ่น) นี้ ในประเทศจีนคือวันขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติ และเมื่อเอาไปเทียบกับบันทึกตำนานอักษรเก่าแก่ของจีนแล้ว ก็ได้คำตอบว่ามันเป็นวันแห่งความรักที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นโน่นเลย นับเวลาแล้วคนจีนรู้จัก "ทานาบาตะ" มามากกว่า 2,000 ปี ก่อนที่ฝรั่งจะมีวันวาเลนไทน์ถึง 300 ปีด้วยซ้ำไป

ตำนานวันขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 เป็นเรื่องราวความรักที่พลัดพรากของหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า ว่ากันว่าเมื่อหลายพันปีก่อนมีเด็กหนุ่มเลี้ยงวัวที่ยากจนคนหนึ่งต้องอาศัยบ้านพี่ชายกับพี่สะใภ้อยู่ ชีวิตของหนุ่มเลี้ยงวัวนี่จัดว่าตามสไตล์นิยายน้ำเน่าของแท้ เพราะมีแต่ความลำบากอดมื้อกินมื้อทุกวัน เนื่องจากพี่สะใภ้เป็นคนใจร้ายและเกลียดขี้หน้าน้องผัวเป็นที่สุด

วันหนึ่งพี่สะใภ้วางแผนจะกำจัดน้องผัว จึงให้วัวมา 9 ตัวแล้วสั่งว่าให้ออกจากบ้านไปเลี้ยงวัวจนกว่าจะมีวัวครบ 10 ตัวจึงกลับมาได้ เจอวิชามารเข้าเต็มๆ อย่างนี้เด็กเลี้ยงวัวก็ได้แต่อึ้งจึงไปยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่ริมแม่น้ำ ทันใดนั้นเองก็มีชายแก่ผมขาวคนหนึ่งเข้ามาถามไถ่ พอรู้เรื่องชายแก่ก็บอกว่าบนเขามีวัวแก่ป่วยหนักอยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเด็กหนุ่มไปรักษามันให้หายก็จะมีวัวครบ 10 ตัวตามที่พี่สะใภ้ต้องการ แล้วเขาก็จะกลับบ้านได้ เด็กเลี้ยงวัวได้ฟังแล้วก็รีบขึ้นเขาไปหาวัวตัวนั้น โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงเจ้าวัวแก่ก็คือเทวดาองค์หนึ่งที่ทำผิดกฎสวรรค์จนถูกไล่ลงมาเป็นวัว แต่ตอนที่ตกลงมามันเกิดขาหักก็เลยนอนซมไปไหนไม่ได้ และชายแก่ที่เขาพบก็คือเจ้าวัวตัวนี้แปลงกายออกไปหาความช่วยเหลือนั่นเอง

หลังจากเด็กหนุ่มพาวัวกลับบ้านแล้วก็รักและดูแลวัวตัวนี้อย่างดี วันหนึ่งเขาเดินผ่านลำธารและได้เห็นเหล่าเทพธิดาทอผ้าลงมาเล่นน้ำกัน จะเป็นบุพเพสันนิวาสหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ทำให้เจ้าหนุ่มเกิดหลงรักนางฟ้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ วัวแก่จึงแนะว่า "พรุ่งนี้เป็นวันที่ 7 เดือน 7 ธิดาของเทพเจ้าแห่งสวรรค์ทั้ง 7 องค์จะลงมาสรงน้ำในโลกมนุษย์อีก ท่านจงขโมยเสื้อผ้าของสาวทอผ้าไว้ เธอก็จะกลับไปสวรรค์ไม่ได้และจะยอมแต่งงานกับท่าน" หนุ่มเลี้ยงวัวรีบทำตามคำแนะนำ และได้สาวทอผ้ามาเป็นภรรยาสมใจ (ตอนนี้คล้ายๆ พระสุธนกับนางมโนราห์ของไทยเราเลยแฮะ) หลังจากแต่งงานกัน ทั้งสองก็มีลูกชายหญิงอย่างละคนและอยู่กันอย่างมีความสุข แต่เพราะการที่นางฟ้าลงไปแต่งงานกับมนุษย์เป็นเรื่องที่ผิดกฎสวรรค์ เมื่อ เง็กเซียนฮ่องเต้ ทรงทราบเรื่องเข้า ก็ส่ง เจ้าแม่หวังหมู่ (ชายาของเง็กเซียนฮ่องเต้) ลงมาจับตัวสาวทอผ้ากลับไป ทิ้งให้หนุ่มเลี้ยงวัวนอนหัวใจสลายอยู่บนโลกมนุษย์เพียงลำพัง เจ้าวัวแก่สงสารนายน้อยของมันมากจึงบอกเขาว่า หลังจากที่มันตายให้เขาเอาหนังของมันมาตัดเป็นรองเท้า รองเท้านี้จะช่วยให้เขาเหาะขึ้นไปหาสาวทอผ้าบนสวรรค์ได้ เมื่อเจ้าวัวตายลง เด็กหนุ่มก็ทำตามที่มันบอก และในที่สุดคู่รักที่พลัดพรากทั้งสองก็ได้พบกันอีกครั้ง

แต่อุปสรรคความรักยังคงตามมาขวางกั้นอยู่ดี เพราะขณะที่ทั้งสองกำลังเดินมาหากันนั้นเอง เจ้าแม่หวังหมู่ (ชายาของเง็กเซียนฮ่องเต้) ก็ชักปิ่นปักผมออกมาขีดลงไปบนท้องฟ้า กลายเป็นทางช้างเผือกขึ้นขวางหน้ากั้นทั้งคู่ไว้คนละฝั่ง ชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้าได้แต่ยืนร้องไห้มองหากันอยู่คนละฟากฟ้า จนนกสี่เชวี่ย (นกมงคลประเภทหนึ่งของจีน) เกิดสงสารจึงได้บินมาต่อกันจนกลายเป็นสะพานทอดระหว่างทางช้างเผือกให้ทั้งคู่เดินเข้ามาพบกันได้ เจ้าแม่หวังหมู่ จึงได้อนุญาตให้ทั้งสองมาพบกันได้ทุกๆ วันที่ 7 เดือน 7 ของแต่ละปี และชาวโลกก็ยึดเอาวันนี้เป็น "วันแห่งความรัก" เรื่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว วันที่ 7 เดือน 7 เป็นวันที่สาวๆ ชาวจีนให้ความสำคัญมากที่สุด พอถึงวันนี้สาวๆ จะเอาผลไม้มาบวงสรวงเทวดาฟ้าดิน ขอให้ตนมีสติปัญญา มีฝีมือเย็บปักถักร้อยอันวิจิตร และให้ได้พบรักมีชีวิตสมรสที่สมบูรณ์พูนสุข

ชาวญี่ปุ่นเรียกวันที่ 7 เดือน 7 ว่า "วันทานาบาตะ" และจะฉลองโดยการเขียนกลอนไปติดไว้บนต้นไผ่ หรือไม่ก็ตัดกระดาษอธิษฐานเป็นรูปกิโมโน สำหรับเจ้าหญิงทอผ้ากับด้ายห้าสีสำหรับชายเลี้ยงวัวเอาไปแขวนบนต้นไผ่ด้วย

Tip : ในทางดาราศาสตร์ดาวชายเลี้ยงวัวคือดาวอัลแทร์ในกลุ่มดาวนกอินทรี ส่วนดาวของหญิงทอผ้าก็คือ ดาววีกาในกลุ่มดาวพิณ

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on