รวบรวมเรื่องเล่าขนหัวลุก เรื่องเล่าผีๆ เรื่องสยองขวัญ ทั้งในและต่างประเทศ เราเลือกสรรเฉพาะเรื่องที่น่ากลัวๆ ชวนสยองมาฝากคุณผู้อ่านอย่างครบรส มีทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและเรื่องที่แต่งขึ้น เพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้คุณผู้อ่านมีอารมณ์ขนหัวลุก หมวดหมู่นี้ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนนะคะ

Written by on

ห้องอาถรรพณ์

ประสบการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมบวชเป็นพระใหม่ๆ ตอนนั้นพอผมอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ พ่อและแม่ของผมได้พาผมไปบวชที่วัดใกล้ๆ บ้าน เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมได้มาพักที่กุฏิหลังหนึ่งในวัด กุฏิหลังนี้มี 2 ชั้น ท่านเจ้าอาวาสจัดให้ผมพักอยู่ที่ห้องชั้นบน ภายในห้องพักของผมมีพระพุทธรูปอุ้มบาตรอยู่ 1 องค์

น่าแปลกตรงที่ภายในบาตรว่างเปล่าก็จริง แต่มีรูปยันต์สีแดงเขียนอยู่ที่ก้นบาตร บาตรใบนี้คงเอาไว้ใส่ดอกไม้ ธูปเทียนกระมังผมได้แต่คิดในใจเอาเอง ในขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปแตะที่บาตรท่านเจ้าอาวาสได้พูดขึ้นว่า "ห้ามแตะเด็ดขาด" แต่ท่านไม่ได้บอกเหตุผลของการห้ามในครั้งนี้ผมเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่กล้าถามท่าน ได้แต่ปล่อยเป็นปริศนาคาใจ

ตกกลางคืนหลังจากผมนั่งสวดมนต์ได้พักใหญ่ๆ ผมจึงได้เข้านอน ในขณะที่ผมกำลังหลับสนิทจู่ๆ ผมต้องสะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนเดินข้ามตัวผมไปไม่ใช่แค่คนเดียวนะครับ แต่มีจำนวนหลายคน บางคนคงข้ามตัวผมไม่พ้นทำให้มีการเหยียบลงบนลำตัวของผม ถึงจะไม่แรงมากนักก็จริงแต่มันทำให้ผมตาสว่างขึ้นมาทันที นี่มันเกิดเหตุการณ์ประหลาดอะไรกับผม ทำให้ผมหายง่วงไปเลย

ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตี 1 เข้าไปแล้ว บรรยากาศในวัดเงียบสงบมาก ไม่มีเสียงหมาเห่าหรือหมาหอนบ้างเลย ผมเป็นคนซุกซนอยู่เหมือนกัน พออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ผมจึงมองไปที่พระอุ้มบาตร ซึ่งอยู่ตรงหัวนอนของผม ตอนนั้นผมนึกสนุก จึงหยิบเหรียญ 10 บาท และเหรียญ 1 บาทใส่ลงไปในบาตรใบนั้น เสียงเหรียญกระทบก้นบาตรดังขึ้น ดูเพราะดีเหมือนกัน ผมจึงหาเหรียญเท่าที่จะหาได้ ใส่เหรียญลงไปในบาตรเพิ่มขึ้นอีก

ผมคิดว่าไม่ได้ผิดอะไรเพราะผมไม่ได้แตะบาตรใบนั้นเพียงแต่เอาเหรียญมาหยอดเล่นเท่านั้น ทำไปได้สักพักรู้สึกนึกเบื่อๆ จึงกลับมานอนต่อดีกว่า คราวนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับแต่ได้พยายามหลับตาเอาไว้ จู่ๆ มีเหรียญหล่นใส่หัวของผมลักษณะเหมือนมีคนเอาเหรียญมาโยนใส่หัวผม เหรียญมันมาได้ยังไง?

ผมรีบลุกขึ้นไปดูที่บาตรพระพบว่ามีเหรียญหายไป 1 เหรียญขนในตัวผมลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ หลักฐานที่หลงเหลือให้ผมเห็นก็คือ มีเหรียญ 10 บาท ตกอยู่บนที่นอนของผม ผมรีบไปไหว้ขอขมาที่พระพุทธรูปที่อุ้มบาตร พร้อมกับพูดว่า "ถ้าผมทำอะไรไม่สมควรหรือล่วงเกินท่านไป ขอจงยกโทษให้ผมด้วย"

ผมคิดว่า ถ้าผมไปเก็บเหรียญออกมาจากบาตร อาจจะทำให้มือของผมพลาดไปโดนบาตรได้ เดี๋ยวจะไม่เป็นตามคำสั่งของท่านเจ้าอาวาส คืนนั้นผมนอนไม่หลับแล้วเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นมาอีก พอรุ่งเช้าผมรีบไปหาท่านเจ้าอาวาส พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ท่านฟัง ท่านได้บอกกับผมว่าให้เด็กวัดไปหาทัพพีมาตักเหรียญทั้งหมดที่อยู่ในบาตรออกมา แล้วท่านได้บอกให้ผมได้รับรู้ว่า

ในห้องพักของผมนั้น เคยมีคนตายมาแล้ว เป็นเด็กวัดเข้าไปฆ่าตัวตาย โดยกินยาฆ่าแมลง ไม่นานนักก็มีพระชราหัวใจวายตายไปอีก 1 รูป "2 ศพซ้อนๆ เลยหรือครับ" ผมได้แต่อุทานขึ้นมา ที่ต้องนำพระพุทธรูปอุ้มบาตรเข้าไปไว้ในห้อง ก็เพื่อล้างอาถรรพณ์ไม่ให้มีศพที่ 3 โดยจะต้องไม่แตะต้ององค์พระและบาตรเรื่องมันเกิดเพราะความซุกซนของผม ถึงทำให้ต้องพบกับเรื่องประหลาดเช่นนี้

หลังจากที่ท่านเล่าเรื่องให้ผมได้รับรู้แล้ว ท่านได้บอกให้ผมลงมานอนที่ห้องชั้นล่างดีกว่า และปิดตายห้องพักอาถรรพณ์นั้นตลอดไป

ขอขอบคุณ นิตยสาร ผี 48 เรื่องโดย : วนัส

Written by on

Written by on

ผีไล่จับหนู

พูดถึง "โทรเลข" แล้วนั้น ตอนนี้ก็ได้ปิดตัวลงไปโดยสมบูรณ์แล้วยอมรับว่าเข้ามาผูกพันกับชีวิตของผมน้อยมากมันน้อยจนนับครั้งได้ว่า ผมเคยได้รับโทรเลขในชีวิตเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นที่ล้วนแต่มีเรื่องเร่งด่วนทั้งสิ้น และ 1 ใน 3 ของการที่ผมได้รับโทรเลขนั้นเกิดขึ้นตอนเช้าวันหนึ่ง เป็นเช้าที่ผมกำลังวุ่นวายกับทีวีเครื่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมาหมาดๆ โทรเลขฉบับนั้นส่งมาจากเพื่อนของผมคนหนึ่งที่มีชื่อว่า "ตุ้ม"

ตุ้มเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนประถมศึกษาปีที่ 7 (รุ่นสุดท้าย) และพอเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.ศ.1) ตุ้มได้ผันตัวเองไปเรียนหนังสือต่อยังบ้านเกิด ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในขณะที่ผมเองเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ ใกล้ๆ กับบ้านพัก เพื่อความสะดวกในการเดินทางและประหยัดค่าใช้จ่าย

โทรเลขฉบับนั้นมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า คุณพ่อของตุ้มเสียชีวิตแล้ว ขอเชิญให้ผมไปร่วมงานศพ ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ในโทรเลขพร้อมระบุวันสวดศพและวันฌาปนกิจศพไว้ด้วย ทันทีที่ผมเปิดโทรเลขอ่านข้อความเท่านั้นโดยไม่ต้องลังเลผมก็ตัดสินใจในทันทีว่าจะไปร่วมงานในวันฌาปนกิจศพด้วย

แน่นอนว่าคุณพ่อของเพื่อนสนิทตายทั้งทีผมคงไร้น้ำใจเกินไปหากไม่ไปร่วมงานและไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย อีกอย่างหนึ่งผมก็เคยเจอ "ลุงพงศ์" พ่อของตุ้มหลายครั้ง ในยามที่โรงเรียนมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ผมจัดแจงแต่งกายด้วยชุดดำที่ดูสุภาพและดีที่สุด เท่าที่เคยไปร่วมงานศพมาเพื่อเดินทางไปยังบ้านของตุ้มทันที

บ้านของตุ้มนั้นเป็นบ้านหลังใหญ่มาก ในรูปแบบบ้านจัดสรรที่เห็นตามหมู่บ้านทั่วไปในกรุงเทพฯ แต่ถึงบ้านจะหรูหราใหญ่โตเพียงใดก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับผม เพราะวัตถุประสงค์คือการมาร่วมงานเผาศพซึ่งเป้าหมายที่ควรจะไปคือวัดมากกว่า เย็นวันนั้นมีคนไปร่วมงานเผาศพไม่มากนักส่วนใหญ่ก็เป็นญาติสนิทกันเท่านั้นและเพื่อนบ้านอีกไม่กี่คน ใช้เวลาไม่มากนักพิธีการทั้งหมดก็เสร็จสิ้นกระบวนความ คือการเผาผลอกนั่นเอง

เหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ที่จะพบเจอในชีวิตเกิดขึ้นในระหว่างที่ผมกับตุ้มกำลังเดินจากวัดเพื่อกลับไปยังบ้านพักหลังโต ที่อยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร เส้นทางที่เดินไปกันนั้นเป็นดินลูกรัง 2 ข้างทางไม่ปรากฏบ้านพักของผู้คนแม้แต่หลังคาเดียว มีเพียงต้นหญ้า ต้นไม้ และเสียงของแมลงที่ร้องกันระงม โดยเฉพาะจักจั่นนั้นเสียงดังมากเป็นพิเศษ  อ่านต่อ ตอนจบ..

ตอนจบ !!

จนกระทั่งเราเดินกันไปได้ครึ่งทาง แต่แล้วดงหญ้าดงไม้ข้างทางด้านขวามือก็ปรากฏพวกหนูจำนวนมากหลายสิบตัววิ่งเป็นแถวเรียงสองออกมาแล้วตรงไปยังดงหญ้าด้านซ้ายมือ มันทำเหมือนกับว่ากำลังวิ่งหนีอะไรมายังไงยังงั้น

ตอนแรกที่ผมกับตุ้มเห็นนั้นก็รู้สึกตกใจกลัวและประหลาดใจมาก เพราะตามปกติเราทั้งสองก็กลัวและเกลียดหนูเป็นชีวิตจิตใจชนิดขึ้นสมอง แต่เรื่องของหนูกลายเป็นเรื่องเล็กไปโดยฉับพลันเมื่อสิ่งที่ทำให้พวกหนูจำนวนมากหวาดกลัวจนต้องวิ่งอพยพนั้นปรากฏให้ผมกับตุ้มได้เห็นพร้อมกัน ชนิดตาไม่ได้ฝาดไปอย่างแน่นอน

มันเป็นภูตผีวิญญาณตนหนึ่งเท่าที่เห็นเป็นชายฉกรรจ์แต่งกายด้วยผ้าขาวม้าโดยท่อนบนเปลือย ผมกับตุ้มมองเห็นผีตนนั้น เดินผ่านหน้าไปในเส้นทางเดียวกับที่ฝูงหนูวิ่งไปเรียกว่ากวดกันไปติดๆ เลยก็ว่าได้ และสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่านั่นเป็นผีไม่ใช่คนอย่างแน่นอนถึงแม้ตอนนั้นแสงสว่างแทบจะไม่มีแล้วก็ตาม แต่ก็พอเห็นได้ชัดเจนว่าเท้าทั้ง 2 ข้างของชายฉกรรจ์คนนั้นไม่ติดพื้นเลย มันเหมือนการลอยตัวอยู่บนอากาศและเคลื่อนที่ไปซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ทำไม่ได้อย่างแน่นอน นอกจากเป็นภูตผีวิญญาณเท่านั้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบวกกับสภาพบรรยากาศเช่นนั้นที่เปลี่ยวแสนเปลี่ยว เงียบแสนเงียบ ทำให้ผมกับตุ้มกลัวจนมือไม้สั่น ปากสั่น ต่างหันหน้ามองกันเลิกลั่กและพร้อมใจกันวิ่งโกยแน่บหน้าตั้ง มุ่งตรงไปยังบ้านของตุ้มทันทีชนิดไม่เหลีวหลังหรือข้างทางอีกเลย

เฮ้อ...มันช่างเป็นคืนแห่งความทรงจำที่แสนจะน่ากลัวจริงๆ

ขอขอบคุณ นิตยสาร ผี 48 เรื่องโดย : วีระชัย

Written by on

Written by on

วิญญาณอาฆาต

สมัยเด็กๆ ฉันมีเหตุการณ์ระทึกขวัญอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่จำได้และไม่มีวันลืมเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งย้อนไปสัก 10 ปี เห็นจะได้ ที่ทางแถวนั้นยังเป็นป่ารกทึบต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดเต็ม 2 ข้างทาง

ความเจริญยังไม่เข้ามาสักเท่าไร ไฟฟ้าส่องสว่างตามถนนหนทางก็มีบ้างเป็นบางจุดทำให้บรรยากาศภายนอกดูน่ากลัว พอตกกลางคืน เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม ชาวบ้านก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นจากการหลับใหล เพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำให้ฉันต้องตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ เสียงที่ปลายสายบ่งบอกว่าเป็นเสียงของพ่อฉันนั่นเอง ที่บอกให้ไปรับท่านที่ท่าน้ำวัดคลองเตยนอกที

ฉันรีบลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา แล้วบึ่งมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปรับพ่อทันที ระยะทางก็ห่างจากบ้านไปเป็นกิโลๆ แถมบรรยากาศข้างนอกก็ดูวังเวงไปจากทุกคืนด้วยไม่มีรถแล่นสวนมาเลยสักคันเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแต่อยากจะไปรับพ่อ แล้วรีบๆ กลับมานอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นนอนแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน พอขับรถไปถึงท่าน้ำ พ่อก็มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่ฉันสังเกตว่าพ่อไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว

แต่มีผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังให้ฉันกับพ่ออยู่ เธอใส่ชุดนักศึกษา รองเท้าผ้าใบสีขาว ฉันจึงถามพ่อว่า เธอเป็นใคร พ่อบอกว่า ไม่รู้เหมือนกันแต่ลงเรือมาด้วยกัน เธอไม่พูดไม่จา คนขับเรือถามว่า ไปไหนก็ไม่ตอบ ได้แต่ชี้นิ้วบอกอย่างเดียว ฉันจึงร้องถามเธอไป...ว่ากลับด้วยกันมั้ยคะ มีคนมารับหรือเปล่า และก็ได้ผล เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง...ว่า ไม่มีใครมารับ เดี๋ยวลงและจะบอกเอง ขอติดรถไปด้วยคนนะ

ขณะที่เธอคุยกับฉัน เธอก็ค่อยๆ หันหน้ามา แต่มีเส้นผมปิดบังหน้าตาอยู่ บวกกับความมืดยามค่ำคืน จึงทำให้เห็นหน้าเธอไม่ค่อยชัดเท่าไร หน้าของเธอดูซีดๆ เหมือนไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายยังไงไม่รู้ เราเดินไปที่รถพร้อมกันฉันให้พ่อเป็นคนขับ ฉันนั่งกลางและเธอคนนั้นนั่งหลังสุด ตลอดเวลาที่เราขับรถไปเธอไม่พูดจาเลยสักคำ ไอ้หมาเวรก็ยังหอนรับกันไปตลอดทาง แถมยังมีลมพัดมาให้หนาวกายเป็นระลอกๆ จนพ่อบอกว่า วันนี้มันแปลกๆ นะ...อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

พอขับรถมาถึงทางโค้งที่มีต้นหูกวางขนาดใหญ่อยู่ เธอก็พูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง บอกให้หยุดรถตรงนี้ พ่อจึงหยุดรถแต่ยังไม่ทันที่จะหันไปมองว่าเธอลงจากรถหรือยัง สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นเงาบางอย่างที่กระจกมองข้างของรถ

ภาพที่เห็นคือ เธอคนนั้นไปยืนอยู่ใต้ต้นหูกวางแล้ว เป็นไปได้อย่างไร เธอลงไปตอนไหนไม่มีใครรู้ พ่อจึงบอกให้ฉันตั้งสติให้ดีเราไม่ได้มาร้าย เขาคงไม่ทำอะไรเราหรอก พ่อพยายามสตาร์ทรถแต่พยายามเท่าไรมันก็ไม่ยอมติด เธอคนนั้นยังคงยืนอยู่เหมือนเดิม โดยมองพวกเรา 2 คนด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

พ่อของฉันทนไม่ไหวเลยจอดรถและตะโกนด่าเธอไปว่า ถ้ายังไม่เลิกแกล้งกัน จะแช่งไม่ให้ไปผุดไปเกิดเลย สักพัก รถก็สตาร์ทติดขึ้นมาเฉยๆ แต่ยังไม่ทันที่จะขับรถออกไป ก็มีบางอย่างหล่นลงมาจากไหนไม่รู้ เฉียดหน้ารถไปแค่นิดเดียวเอง วัตถุตรงหน้าคล้ายๆ ลูกมะพร้าว แต่ตรงนั้นไม่มีต้นมะพร้าวอยู่เลยสักต้น แล้วอะไรที่ตกลงมา พ่อจึงส่องไฟจากหน้ารถเพื่อดูว่า มันคืออะไร

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือหัวของคน มีเส้นผมยาวๆ ดวงตาบวมแดง ลิ้นแลบยาวชวนน่าขนลุกที่สุด เท่านั้นแหละ ฉันตะโกนบอกพ่อว่าให้ขับรถกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยที่ไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย

พอไปถึงบ้าน แม่เลยถามว่าเป็นอะไรมา ท่าทางเหมือนหนีผีมางั้นแหละ ใช่เลยแม่ หนีผีมา น่ากลัวซะด้วย พ่อร้องบอกแม่ คืนนั้นทั้งคืน ฉันนอนไม่หลับเลยนึกถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

พอรุ่งเช้า ฉันเลยรวบรวมความกล้าเข้าไปถามน้าชายที่เป็นเพื่อนพ่อ ว่าเมื่อคืนฉันเจออะไรมา เผื่อว่า...น้าชายจะรู้อะไรบ้าง แล้วก็เป็นจริง น้าชายเล่าให้ฉันฟังว่า

เธอเป็นนักศึกษา ถูกข่มขืนและฆ่าตายในป่าหลังต้นหูกวาง คนเขาเจอกันเยอะแยะ เธอไม่ไปไหนหรอก เพราะยังจับคนร้ายไม่ได้ เคยไปนิมนต์พระมาแล้วแต่เธอก็ไม่ยอมไปสักทีเที่ยวหลอกผู้คนยามค่ำคืน

ผ่านไปได้ 3-4 วันก็มีข่าวว่า คนขับวินมอเตอร์ไซค์หน้าท่าน้ำก็โดนดีมาเหมือนกัน

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : เด็กปราการ

Written by on

Written by on

ผวาคืนตกปลา

ชนบทหรือบ้านนอกนั้นยังมีคลองน้ำที่อุดมสมบูรณ์ และยังอุดมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร กุ้ง หอย ปู ปลา มีมากมายชุกชุมพอหาได้ จิตใจคนก็เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือแบ่งปันน้ำใจกัน ชาวบ้านที่นี่ส่วนมากจะประกอบอาชีพทำสวนยางพาราช่วงนี้ยางพาราได้ราคาดีด้วย ใครที่มีสวนยางเยอะหลายสิบไร่ก็เป็นเศรษฐีย่อยๆ ได้เหมือนกัน ตอนนี้ยางพาราแพร่หลาย ปลูกกันได้ทั่วเกือบทุกภาค ภาคอีสานก็เริ่มปลูกกันแล้ว

อาชีพอีกอย่างที่ชาวบ้านที่นี่ถนัดกันคือ ตกปลาในเวลากลางคืน คันเบ็ดที่ใช้ตกปลาก็ยังเป็นเบ็ดแบบโบราณอยู่ คือคันเบ็ดทำมาจากไม้ระกำเลือกไม้ระกำต้นที่แก่จัด เลาะหนามออกตากแดดไว้ให้แห้งก็จะได้คันเบ็ดที่พลิ้วเรียวเบาถนัดมือ ไม่ได้ใช้คันเบ็ดที่เป็นเหล็กมีรอกชักเหมือนที่นิยมกันอยู่เหมือนทุกวันนี้ เหยื่อที่ใช้ตกปลา ก็ใช้แมลงเม่าตัวเขื่องซึ่งหาขุดได้ตามจอมปลวก

"ป้าเอียด" กับ "ป้าก่อหนะ" และกลุ่มของแกอีก 2-3 คน ชอบไปตกปลากันเวลากลางคืนที่ไหนลือว่ามีปลาชุกชุมก็จะไปตกปลากันที่นั่น พวกเขาชอบตกปลากันเป็นชีวิตจิตใจได้ปลาหรือไม่ขอให้ได้ไปตกก็พอใจแล้ว

อย่างเช่นค่ำคืนนี้ ป้าเอียดกับป้าก่อหนะและพวกๆ เตรียมเหยื่อ เตรียมเบ็ด ตะข้อง พร้อมแล้วก็ปรึกษากันว่าจะไปตกปลากันที่บ้านนาขอ บ้านนาขอนี้อยู่ในกิ่ง อ.บางแก้ว จ.พัทลุง ระยะทางจากบ้านป้าเอียดไปบ้านนาขอนั้น ไกลโขอยู่เหมือนกันตอนที่ไปกันนั้นแฟนของป้าเอียดขับรถกระบะไปส่งและตอนขากลับแฟนป้าเอียดก็จะไปรับ

คืนนั้นป้าเอียดไปถึงบ้านนาขอเกือบๆ 2 ทุ่มเข้าไปแล้ว ก็มองหาทำเลเลือกที่ตกปลากัน มันเป็นคลองน้ำที่กว้างใหญ่อยู่เหมือนกัน 2 ฝั่งแลดูทะมึนรกครึ้มไปด้วยไม้ยืนต้นทั้งต้นเล็กและใหญ่ ยืนต้นแลดูในความมืดเป็นพุ่มเหมือนดั่งอสูรกายเคลื่อนไหวไป-มา เมื่อยามโดนสายลมพัด

ในค่ำคืนนี้เสียงลมพัดหวีดหวิวเห็นแสงเรืองๆ อยู่รอบทิศของหิ่งห้อย ที่บินวนเวียนอยู่ในอาณาบริเวณนั้นป้าเอียดตกปลาอยู่กับป้าก่อหนะเพื่อนๆ อีก 2-3 คนแยกกันไปตกด้านเหนือของคลอง นานๆ จะกู่ร้องเรียกหากัน

"วู้วู้วู้...เป็นยังไง...ตรงนั้นปลาตอดเหยื่อดีไหม" ได้ยินเสียงตะโกนตอบกลับมาว่า

"เออ...ไม่ค่อยตอดเลย"

ป้าเอียดกับป้าก่อหนะตกปลากันจนเพลินโดยเดินเลาะหาที่ตกไปเรื่อยๆ ตามแนวชายตลิ่ง จนห่างไกลจากพรรคพวก และปลาตอดเหยื่อดีด้วย จนเวลาปาเข้าไปค่อนข้างดึกพอสมควรได้ปลาเกือบครึ่งตะข้อง พอดีเหยื่อป้าเอียดหมดและเริ่มออกอาการหาวง่วงนอน แกเลยพูดกับป้าก่อหนะว่า  อ่านต่อ ตอนจบ..

ตอนจบ !!

"เออนี่...เราลงมาอยู่ตรงไหนกันนี่ แล้วพวกโน้นอยู่ตรงไหนกัน ลองตะโกนกู่เรียกดูซิเผื่อว่าจะอยู่ใกล้ๆ กัน...วู้วู้วู้"

"วู้วู้วู้" เสียงขานกู่ตอบมาดังอยู่ใกล้กันประมาณ 30-40 เมตรนี่เอง

"อ๋อ...เขาอยู่ใกล้กับเรานี่เอง ไปหาเขาดีกว่าจะได้ชวนกลับกัน เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย"

แต่พอป้าเอียดกับป้าก่อหนะมาถึงจุดที่คาดว่าได้ยินเสียงกู่ขานตอบกลับเมื่อครู่นี้กลับพบแต่ความมืดและความว่างเปล่า

"เอ๊ะ! ก็เมื่อกี้ได้ยินอยู่ตรงนี้นี่ ไปไหนกันหมดแล้ว"

"ไม่รู้ซี"

ป้าก่อหนะตอบอย่างหวาดๆ เหมือนในใจกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่เหนือธรรมชาติ ป้าเอียดจึงกู่เรียกอีก

"วู้วู้วู้" มีเสียงวู้วู้วู้...ขานตอบรับดังมาจากชายป่าด้านหลัง ที่ป้าเอียดกับป้าก่อหนะยืนกันอยู่

"เอ๊ะ! ตรงนั้นเป็นป่ารกนะไม่เห็นมีใครเลย แล้วไอ้เสียงกู่ตอบรับเมื่อครู่นี้มันเป็นเสียงของใครกัน"

ป้าเอียดกับป้าก่อหนะมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น ทันใดนั้น...ทั้งคู่ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นถามมาว่า

"จะกลับแล้วเหรอออออ...จะกลับแล้วเหรอออออ"

เสียงที่ถามมานั้น ดังอยู่ในบริเวณที่ป้าเอียดกับป้าก่อหนะยืนอยู่ เสียงถามนั้นดังซ้ำๆ อยู่แต่ประโยคเดียวว่า

"กลับแล้วเหรอออออ"

ป้าเอียดกับป้าก่อหนะมองหาที่มาของเสียงรอบๆ ตัว โดยกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ก็ไม่เห็นมีใครแต่แล้วป้าก่อหนะก็ชี้มือและบอกขึ้นว่า

"เสียงมันดังอยู่ที่กระเป๋ากางเกงของเอียด"

ป้าเอียดตกใจ แกจึงล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วควักโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าออกมาดูก็เห็นไฟบนหน้าจอสว่างอยู่ วินาทีนั้นเสียงก็ดังออกมาจากโทรศัพท์ ฟังได้ยินชัดถ้อยชัดคำว่า

"กลับแล้วเหรอออออ"

เสียงนั้นมันยานยาวเยือกเย็นน่าขนลุก สักพักสุนัขไม่รู้ว่ามาจากไหนพากันโก่งคอเห่าหอนโหยหวนขึ้น

"โบร๋ววว...โบร๋ววว"

แล้วเสียงประโยคเดิมก็ดังออกมาจากโทรศัพท์อีก

"กลับแล้วเหรอออออ"

เท่านั้นแหละป้าเอียดกับป้าก่อหนะแทบช็อก พากันวิ่งหนีด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนผมบนหัวตั้งชันลุกซู่ พากันวิ่งล้มลุกคลุกคลานมายังจุดนัดเจอกัน ก็เห็นพรรคพวกนั่งรออยู่ที่รถแล้วพอแฟนของป้าเอียดเห็นจึงถามว่า

"วิ่งหนีอะไรกันมาเหรอ" ป้าเอียดหน้าตาตื่นบอกแฟนแกว่า

"ไป...รีบออกรถเถอะ...กลับถึงบ้านก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง"

พอกลับมาถึงบ้านแกก็เล่าเหตุการณ์ให้พรรคพวกฟังว่าไปเจออะไรมา พอทุกคนได้ฟังจบก็พากันขนลุกซู่ไปตามๆ กัน ป้าเอียดถามพวกที่ไปตกปลาด้วยกันว่า

"เมื่อตอนตกปลากันอยู่นั้นมีใครได้กดโทรศัพท์โทรฯไปหาหรือเปล่า"

พวกที่ไปตกปลาด้วยกันส่ายหน้า บอกไม่มีใครโทรฯหาเลยพอป้าเอียดนึกถึงประโยคคำถามที่ดังออกมาจากโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ก็นึกสยองขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

ภายหลังป้าเอียดมารู้จากปากของชาวบ้านนาขอว่า ที่บริเวณริมคลองที่ไปตกปลากันนั้นเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว มีคนพบศพของผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืนแล้วเอาศพมาทิ้งไว้ตรงบริเวณริมคลองแห่งนั้น มิน่าล่ะ...ถึงได้เฮี้ยนเอาการ!

ขอขอบคุณ นิตยสาร ผี 48 เรื่องโดย : ราเจน-กระบี่

Written by on

Written by on

ลบหลู่พญานาค

เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ที่บริษัทได้ไปสัมมนากันที่จังหวัดหนองคาย เมื่อไปถึงได้เข้าที่พักเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันไปรับประทานอาหารอร่อยๆ ที่บริเวณที่เขาเรียกว่า ท่าเสด็จ

เมื่อได้โต๊ะนั่งใกล้ๆ แม่น้ำซึ่งข้าพเจ้าได้นั่งหันหน้าไปทางแม่น้ำโขง ซึ่งดูกว้างใหญ่ ผิวน้ำราบเรียบแลดูสวยงาม ปะปนด้วยความน่าเกรงขาม น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่สั่งอาหารนั่งกินกันไปคุยกันไป ก็มีเพื่อนรุ่นพี่บอกว่า "พวกเรารู้ไหม ที่แม่น้ำโขงนี้มีบั้งไฟของพญานาค ใต้พื้นน้ำนี้เป็นที่อยู่ของพญานาค วันออกพรรษาของทุกปี จะมีบั้งไฟของพญานาคผุดขึ้นมาเป็นร้อยๆ ลูกเลยทีเดียว และทุกๆ ปีก็มีคนมาคอยดูลูกไฟนี้แน่นไปหมดเลย"

พวกเพื่อนๆ ก็นั่งฟังกันอย่างตื่นเต้น มีข้าพเจ้าคนเดียวที่บอกรุ่นพี่คนนั้นว่า "นั่นเป็นตำนานเล่าสืบต่อกันมา คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราไม่ควรไปเชื่อ เราคนหนึ่งละที่ไม่เชื่อและไม่เคยเชื่อมาก่อน ขอคัดค้านเต็มที่"

พอข้าพเจ้าพูดจบ ก็ได้ยินเสียงคนที่โต๊ะข้างๆ ซึ่งมีเพียง 3 คน บอกว่า...พวกเขาเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน คงจะเป็นแก๊สหรือแรงอัดอะไรสักอย่างลอยขึ้นมาในเวลานั้นก็เป็นได้ และพวกเราก็ได้พูดถึงเหตุผลที่ควรจะเป็น มากกว่าที่จะเป็นลูกไฟพญานาค

ทันใดนั้นเอง ในขณะที่ข้าพเจ้ามองออกไปที่พื้นน้ำของแม่น้ำโขง ข้าพเจ้าก็ได้เห็นลูกไฟลอยขึ้นมาจากพื้นน้ำที่นิ่งสนิท พอข้าพเจ้าเห็นลูกแรกก็ตกใจมาก ชั่วพริบตาเดียวก็ได้เห็นอีกจาก 1 ลูก 2 ลูกจนถึงลูกที่ 5 ข้าพเจ้ามองอย่างแปลกใจและตกใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงโต๊ะข้างๆ ร้องบอกกันอย่างตกใจว่า "นั่นไงลูกไฟพญานาคลอยขึ้นมาตั้งหลายลูก"

ทุกคนหันไปมองที่แม่น้ำกันหมด แต่ไม่มีใครเห็น มีเพียงข้าพเจ้า กับโต๊ะที่นั่งกันอยู่ 3 คนเท่านั้นที่เห็น ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเย็นยังไม่มืดค่ำเลย และก็ไม่ใช่วันออกพรรษาอีกด้วย ที่สำคัญคือ เป็นพวกเดียวกันกับที่พูดว่า ไม่เชื่อว่าลูกไฟพญานาคมีจริง ข้าพเจ้าถึงกับยกมือไหว้แล้วบอกว่า "เชื่อแล้วว่ามีจริง ต่อไปลูกช้างจะไม่ลบหลู่" และโต๊ะข้างๆ ก็ได้ทำตามข้าพเจ้าเหมือนกัน

ตั้งแต่วันนั้นเมื่อถึงวันออกพรรษาของทุกปี ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าคอยดูบั้งไฟพญานาคเสมอ จะคอยนั่งนับลูกไฟทุกดวงที่ลอยขึ้นมาให้เห็นด้วยใจที่เคารพ และเชื่อว่ามีจริงๆ

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : ดาวดอย

Written by on

Written by on

เจอผีที่ออฟฟิศ

จอยและแนน 2 เพื่อนสาว บริษัทส่งตัวไปทำงานต่างจังหวัดโดยไปกันทั้งหมด 6-7 คนมีผู้ชายไปด้วยอีก 4 คนผู้หญิง 1 คน กว่าจะเดินทางไปถึงที่ทำงานใหม่ก็เย็นมากแล้ว ห้องพักที่ทางบริษัทจัดให้ชั่วคราวนั้นเป็นออฟฟิศเก่าแต่ถูกตบแต่งใหม่นิดหน่อยพอนอนได้ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก ด้วยความที่เดินทางมาเหนื่อยทั้งวัน ทุกคนจึงหลับเป็นตาย

จอยมาสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเพราะถูกกระชากขาอย่างแรงเธอเกือบจะตกลงจากเตียง แต่พอจอยมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่ามีอะไร มองไปที่เพื่อนก็ยังเห็นว่าหลับกันอยู่

"เอ...แล้วใครมาดึงขาเราเกือบตกเตียงนะ!" จากนั้นจอยก็ล้มตัวนอนต่อกำลังจะเคลิ้มๆ หลับ ก็ถูกกระชากขาอีก คราวนี้ร่างของเธอหล่นลงไปจากเตียง

"ว้าย! ใครมาทำอะไรกับจอย แนนๆ ตื่น"

ถึงแม้ว่าจอยจะพยายามปลุกเพื่อนๆ เท่าไหร่แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครตื่นขึ้นมา

"ฮึๆๆๆ"

"ใคร...เสียงใครหัวเราะ...ออกมานะ"

"กูเอง...กูอยู่ที่นี่...มึงเป็นใครมานอนบนเตียงของกู...ออกไปให้พ้น"

"ห้องกับเตียงนี้ ทางบริษัทจัดให้เราพัก ถ้าคุณไล่เราไปแล้วเราจะไปนอนกันที่ไหนล่ะ"

"กูไม่รู้...กูบอกให้พวกมึงออกไปจากเตียงของกู กูมาเตือนพวกมึงแล้วนะ...จำไว้"

แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป จอยรีบหันไปปลุกแนนและเพื่อนอีกคนทันที

"มีอะไรหรือจอย ปลุกเราขึ้นมาทำไม"

"ผี...แนน...เราถูกผีหลอก...ผีเจ้าของเตียงที่เรานอนอยู่นี่ไง"

"จริงหรือจอย"

"จริงซี...ฉันจะโกหกเธอทำไมเราไม่ต้องนอนกันแล้ว นั่งรอให้สว่างนี่แหละ ฉันคงนอนต่อไม่ได้แน่ๆ "

จากนั้นทุกคนก็พากันนั่งจนสว่าง จอยและเพื่อนๆ จึงปรึกษากันว่า จะขอย้ายห้องไปหาที่พักใหม่

ขอขอบคุณ นิตยสาร ผี 48 เรื่องโดย : พนา-บุรีรัมย์

Written by on

Written by on

เมียผีร้อยปี

ผมเป็นอีกคนหนึ่งครับที่ชอบชนิดที่ว่าคลั่งไคล้ของเก่าเอามากๆ ยิ่งเก่าๆ สภาพสวยเต็มร้อย ราคาแพงแค่ไหนผมก็ลุ้น เป็นแสนก็เคยซื้อมาแล้วก็คนมันชอบนี่ครับ
อย่างครั้งนี้ ผมได้เตียงไม้ 4 เสามาจากคนกลุ่มอนุรักษ์ของเก่าเหมือนกัน เขามาถามขายให้ในราคาไม่กี่พันบาท ผมยังแปลกใจเลยว่า สวยขนาดนี้ทำไมขายถูกจังเลย เขาให้เหตุผลว่า เตียงใหญ่เกินมีเต็มบ้านแล้วขืนเอาเข้าบ้านไปอีกเมียต้องฆ่าตายแน่

เป็นเตียงไม้สักที่ถึงเก่าขนาดไหน ก็ยังคงความประณีตสวยงามเอาไว้ได้อย่างเต็มร้อย ถูกใจครับด้วยเหตุนี้เตียงไม้สักจึงไปตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในห้องนอนบ้านของผมทันที เพื่อที่จะได้ทดลองนอนแล้วสมมติตัวเองว่า เป็นท่านเจ้าคุณคงสนุกดีพิลึก เสียตรงที่ไม่มีเมียทาสมาปรนนิบัติเท่านั้น

ในค่ำคืนนั้น ผมก็หลับฝันไปว่า...มีผู้หญิงซอยผมสั้นอย่างคนสมัยโบราณ แต่งผ้ากระโจมอก นุ่งโจงกระเบนมานั่งอยู่ข้างเตียง แล้วกราบลงพื้นหน้าเตียงที่ผมนอนอยู่ ในฝันเธอคนนั้นเรียกผมว่า "คุณหลวง"

เธอรำพึงรำพันว่า ดีใจที่ได้เจอกันเสียที รอคอยผมมาหลายภพหลายชาติ ทุกข์ทรมานมาหลายร้อยปีกว่าจะพาตัวเองมาเจอผมจนได้ ดูหน้าตาผิวพรรณแล้วสวยเกลี้ยงเกลาไม่หยอกเลยครับ หลังจากนั้น เธอก็ค่อยๆ คลานขึ้นเตียงมานอนอยู่ข้างกายผม กลิ่นกายเธอหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นน้ำอบหรือกลิ่นธูปก็ไม่แน่ใจ

หลังจากนั้นก็นึกภาพเองนะครับ สาวงามมานอนทอดสะพานให้ชายทั้งแท่ง จะปล่อยไปรึก็กลัวเสียฟอร์ม รวบหัวรวบหางซะจบข่าวเลย ผมมาตื่นเอาเกือบเที่ยงของอีกวัน ทั้งๆ ที่นอนตั้งแต่ยังไม่ 3 ทุ่มเลย แถมตื่นมาก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างบอกไม่ถูก ลุกขึ้นมาจัดการกับตัวเอง กินข้าวแล้วก็กลับขึ้นเตียงนอนต่อ แล้วก็หลับฝันเห็นผู้หญิงคนเดิมมานอนกับผมเหมือนเดิม เหมือนติดอยู่ในโลกแห่งความฝันที่มีเพียงฉันกับเธอ ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีคนอื่น เหมือนนรกยังไม่ต้องการคนลามกอย่างผมมั้ง เพราะผมมาตื่นขึ้นก็พบว่า ตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อแม่ญาติพี่น้องเต็มห้องเลย

จากคำบอกเล่า ผมหลับไปเกือบ 2 วัน ถ้าไม่ขนเตียงเก่าโบราณนั้นไปให้พระปลดปล่อยวิญญาณผีร้ายนั้น ผมคงตายไปแล้ว เพราะเรียกเท่าไรก็ไม่ฟื้น พระท่านบอกว่า เมื่อหลายชาติก่อนผมเป็นท่านเจ้าคุณ เธอคนนั้นเป็นเมียคนหนึ่งในบรรดาหลายคน เธอตรอมใจจนตายคาเตียงหลังนี้ที่เคยนอนร่วมกับผม วิญญาณที่ยังตัดกิเลสไม่ขาดและมีแต่ความอาฆาตยังฝังใจ จึงยังไปไหนไม่ได้

เธอรอคอยจนได้เจอกับผมอีกครั้ง และตั้งใจจะเอาผมไปอยู่ด้วยให้ได้ ถ้าไม่ได้พ่อแม่ช่วยกันหามผมออกมาส่งโรงพยาบาลและญาติพี่น้องช่วยกันเอาเตียงผีไปทำพิธีที่วัด ป่านนี้ผมคงได้ไปอยู่กับเมียผีร้อยปีของผมไปแล้ว

คิดๆ ดูแล้วก็สงสารเธอนะครับ รอคอยผมมาตั้งหลายปีได้อยู่ด้วยกันแค่แป๊บเดียวก็โดนแยกจากกันอีก และครั้งนี้ก็แยกกันตลอดกาลเลยด้วย แค่สงสารนะครับ อย่าคิดมาก

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : นะโม

Written by on