รวบรวมเรื่องเล่าขนหัวลุก เรื่องเล่าผีๆ เรื่องสยองขวัญ ทั้งในและต่างประเทศ เราเลือกสรรเฉพาะเรื่องที่น่ากลัวๆ ชวนสยองมาฝากคุณผู้อ่านอย่างครบรส มีทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและเรื่องที่แต่งขึ้น เพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้คุณผู้อ่านมีอารมณ์ขนหัวลุก หมวดหมู่นี้ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนนะคะ

Written by on

ผีตายโหงจอมเฮี้ยน

5 โมงเย็นของวันนั้นรถโดยสารที่วิ่งจากจังหวัดร้อยเอ็ด จะเดินทางไปจังหวัดอุบลฯ รถโดยสารในครั้งนั้นยังไม่มีรถ บขส.อย่างในปัจจุบัน คงยังเป็นรถของเอกชน ที่ได้สัมปทานวิ่งระหว่างจังหวัดกับจังหวัด ส่วนมากรถโดยสารจะตั้งชื่อไพเราะทั้งนั้น
วันนั้นรถจุฑาทิพย์วิ่งจากจังหวัดร้อยเอ็ดไปจังหวัดอุบลฯ ผ่านตัวอำเภอเสลภูมิได้ประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ หน่อย ผ่านดอนปู่ตาของอำเภอเสลภูมิประมาณ 200 เมตร เงินในกระเป๋าของผู้โดยสารคนหนึ่ง ซึ่งนั่งมาบนหลังคารถ ได้หล่นปลิวลงไปจำนวน 30 บาทจะด้วยความเสียดายหรืออะไรไม่มีใครทราบได้ ชายหนุ่มคนนั้นได้กระโดดลงจากหลังคารถ ในขณะที่รถวิ่งเต็มที่ หัวของเขาได้กระแทกกับพื้นถนน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นถนนลูกรัง ปรากฏว่าใบหน้าของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนขับรถกว่าจะรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น รถก็ได้เลยไป 100 กว่าเมตรจึงหยุด ผู้โดยสารทั้งหมดได้ทยอยลงมาดูศพ พร้อมกันนั้นบรรดาไทยมุงก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะบริเวณนั้นจะเป็นทุ่งนาระยะประมาณ 1 กิโลเมตร เลยไปจะเป็นหมู่บ้าน ถ้าย้อนกลับไปจะเป็นตลาดอำเภอเสลภูมิผมกับเพื่อนๆ กำลังจะต้อนควายกลับบ้าน เมื่อเห็นคนมาเยอะแยะ จึงพากันมาดูกับเขามั่ง เมื่อผมกับเพื่อนมาถึงไทยมุงมากขึ้นกว่าเดิมมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้โดยสารได้เดินมาที่ศพซึ่งนอนตะแคงอยู่ แล้วพลิกศพมานอนหงาย ก้มตัวลงเขย่าศพพร้อมกับเรียกชื่อ
"คำมูล...คำมูล...คำมูล"

แต่ก็อย่างว่าศพหน้าหายไปครึ่งหนึ่งจะรอดได้อย่างไร ชายหนุ่มคนนั้นจึงเล่าให้ฟังว่า
"นายคำมูลเป็นเพื่อนกับผม เขาอายุ 25 ปี กำลังเบญจเพส เขาเดินทางมาจากจังหวัดร้อยเอ็ด จะกลับอุบลฯ และนั่งบนหลังคารถมาด้วยกัน"
"อ้าว...แล้วทำไมไม่นั่งชั้นล่าง ทำไมต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคารถด้วย"
"จริงๆ แล้วผมกับผู้โดยสารคนอื่น ก็อยากจะนั่งชั้นล่างแต่มันเต็ม จึงต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ เพราะหากจะนั่งชั้นล่าง จะต้องรอรถเที่ยวต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง และส่วนมากพวกที่นั่งบนหลังคาก็หนุ่มๆ ทั้งนั้น" ไทยมุงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ส่วนเงิน 30 บาทของนายคำมูล ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้นายคำมูลถึงแก่ความตาย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ในสมัยนั้น จะไม่มีให้เห็นกันง่ายๆ มันหล่นอยู่ที่พื้นถนน เป็นธนบัตรฉบับละ 10 บาท รุ่นที่เป็นสีแดงอมชมพู พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สวยงามมาก ศพของงนายคำมูลอยู่เลยธนบัตรไปประมาณ 20 เมตร
"ตายโหงแบบนี้ เฮี้ยนชะมัดเลย" เสียงจากไทยมุงคนหนึ่งพูดขึ้น ทำให้บรรดาไทยมุงอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน
"ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า มันจะต้องเฮี้ยน แล้วพูดทำไม" มีเสียงจากผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

เมื่อทางตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเสลภูมิทราบเรื่อง ก็ได้มาชันสูตรพลิกศพตามธรรมเนียม ส่วนศพของนายคำมูล จะถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าอำเภอเสลภูมิหรือว่านำไปที่จังหวัดอุบลฯ ผมไม่ได้ติดตามข่าวและตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บริเวณที่นายคำมูลนอนตายใกล้กับเงิน 30 บาทตกอยู่ พอตกกลางคืนก็ได้เกิดเหตุการณ์สยองขึ้นคนขับรถผ่านตอนกลางคืน ซึ่งในสมัยนั้นรถรามีไม่มาก นานๆ ถึงจะมีรถวิ่งผ่านสักคัน แสงไฟจากหน้ารถส่องเห็นคนก้มๆ เงยๆ เหมือนหาของอะไรบางอย่าง แต่พอรถแล่นเข้าไปใกล้ๆ ก็หายไปคนขับรถผ่านบริเวณนั้นตอนกลางคืนเจอบ่อยมาก บางรายเจอคนโบกรถทำทีขออาศัยไปด้วย แต่พอเข้าไปใกล้ชายคนนั้นก็หายไปแล้ว บางทีจะเห็นเป็นวัวควาย หมาแมว กระโดดข้ามถนนตัดหน้ารถ
มีขาจรรายหนึ่ง ไม่เคยทราบว่าบริเวณนี้ผีนายคำมูลเฮี้ยน ได้ขี่รถจักรยานมาตามถนนในเวลากลางคืน และรู้สึกว่าท้ายรถหนักผิดปกติถีบรถไม่ค่อยออก จึงหันหลังกลับไปมองที่ตะแกรงท้าย เจอบุคคลไม่พึงประสงค์นั่งท้ายอยู่ใบหน้ามีแค่ครึ่งเดียว ก็ถึงกับช็อกสลบไปเลย พอดีมีคนขับรถผ่านมาจึงช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นแล้วถามว่า
"ทำไมมาขี่รถจักรยานคนเดียวตอนกลางคืนอย่างนี้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังบ้างหรือว่าบริเวณนี้ผีดุ มันหลอกผู้คนมาเยอะแล้ว"  อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ !!!

บรรดาคนขับรถผ่านตอนกลางคืน ต่างพากันขยาดกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อรถแล่นมาถึงจุดนั้น จึงต้องชะลอความเร็วของรถลง แล้วบีบแตร 3 ครั้ง เป็นทำนองว่าขอผ่านต่อมาเป็นรายของผมกับเพื่อนอีก 2 คน คืนนั้นพวกเราได้พากันไปชมมหรสพยอดฮิตของภาคอีสาน นั่นก็คือหมอลำหมู่ ซึ่งถูกจัดขึ้นที่หมู่บ้านอื่น และเส้นทางที่จะไป ถ้าไปทางลัดก็จะเฉียดบริเวณนั้นด้วย หมอลำหมู่คณะนี้ ข่าวว่าพระเอกหล่อ นางเอกสวย แถมเสียงดีอีกต่างหาก ตัวตลกก็เยี่ยมตอนขาไปพวกเราพากันไปแต่หัวค่ำ และตกลงกันว่าขากลับจะกลับทางอื่นถึงจะอ้อมไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะไม่อยากเจอความเฮี้ยนของผีนายคำมูลพอหมอลำหมู่เลิกประมาณตี 2 กว่า ผมกับเพื่อนจึงพากันกลับบ้าน ที่เคยตกลงกันไว้ว่าจะกลับทางอื่นก็พาลขี้เกียจเดินไกล จึงได้ตัดสินใจกลับเส้นทางเก่า และเมื่อมาถึงทางที่มาบรรจบถนนใหญ่ ต้องผ่านดอนปู่ตาซึ่งตั้งอยู่ในป่ารกครึ้ม มีต้นไม้ใหญ่สูงแหงนคอตั้งบ่าทั้งนั้น ในดอนจะมีศาลเจ้าอยู่ 2 ศาลคู่กันนัยว่าปู่ตาที่ศาลแห่งนี้จะปกปักษ์รักษาคนในหมู่บ้านชาวบ้านจะเคารพศรัทธากันมาก ใครจะลบหลู่ไม่ได้เคยมีคนเจอดีมาแล้ว บริเวณดอนปู่ตาบรรยากาศจะวังเวงมากอย่าว่าแต่กลางคืนเลย กลางวันนี่แหละถ้าไม่มีเพื่อนหลายคน จะไม่มีใครกล้าเข้าไปดอนปู่ตา

เมื่อมาถึงดอนปู่ตาผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็ใจแป้ว ไม่มีใครอยากเดินตามหลัง พอถึงถนนใหญ่ก็ได้ยินเสียงเหมือนม้าวิ่ง เสียงมันดังมาจากบริเวณที่นายคำมูลนอนตาย
กุบกับ...กุบกับ...กุบกับเสียงเหมือนม้าวิ่งในภาพยนตร์คาวบอย ทั้งๆ ที่หมู่บ้านในย่านนั้น ไม่เคยมีคนเลี้ยงม้าเลย ผมกับเพื่อนมีไฟฉายรวมกัน 2 กระบอก จึงฉายไฟไปยังต้นเสียง ทันใดนั้นเองแสงไฟได้ส่องไปเจอกับหมาดำขนาดใหญ่ ลำตัวของมันเท่ากับน้องๆ ม้า มันกำลังจ้องมายังพวกผม
"เฮ้ย! ผีหลอก" เสียงเพื่อนของผมคนหนึ่งร้องขึ้น
เท่านั้นแหละผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็ใส่ตีนหมาโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างออกไป 400-500 เมตร เมื่อถึงหมู่บ้านก็พากันหอบซี่โครงบานกันทุกคน แล้วต่างก็โทษกันไปโทษกันมา
"กูว่าแล้วให้กลับทางอ้อม รู้ทั้งรู้ยังโดนผีหลอกจนได้"
ความเฮี้ยนของผีนายคำมูล ที่ยังห่วงหาอาวรณ์กับเงิน 30 บาทของเขา เป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป
คนที่ไม่เคยทราบข่าวเกี่ยวกับเรื่องของนายคำมูลกระโดดรถตาย ผ่านบริเวณนั้นตอนกลางคืนคนเดียวโดนผีตายโหงนายคำมูลหลอก แทบจับไข้หัวโกร๋นกันมามากต่อมาก

ขอขอบคุณ นิตยสารผี ๔๘

Written by on

Written by on

แขนใครในคลองแสนแสบ

 

บ้านของดิฉันตั้งอยู่ริมคลองเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับคลองแสนแสบ เมื่อประมาณ 30 กว่าปีก่อนยังไม่มีบ้านเรือนมากขนาดนี้เวลาพายเรือ นานๆ จึงจะเจอบ้านสักหลัง เมื่อออกจากคลองเล็กๆ ก็จะไปเจอกับคลองขนาดใหญ่ซึ่งสร้างตำนาน ?ไอ้ขวัญกับอีเรียม? น้ำในคลองค่อนข้างขุ่นและไหลเชี่ยวที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเรือพ่วงซึ่งเป็น เรือสินค้าขนาดใหญ่บรรทุกสินค้าประเภทอิฐ หิน ปูน ทรายและไม้ข้ามจังหวัดแล่นผ่านอยู่เป็นประจำส่วนตัวดิฉันเอง ในวัยเด็กค่อนข้างขี้ขลาดตาขาวแต่ชอบโชว์ออฟ ทำเป็นคนกล้า บ้าบิ่น ยุขึ้น มักทำตัวเป้นจ่าฝูงจนเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ยากที่จะอธิบายอยู่บ่อยๆ พอเล่าให้ใครฟัง เขาก็หาว่าเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระตามประสาเด็ก

 
 
 

ที่ ท่าเรือเก่า ริมฝั่งคลองแสนแสบเป็นแหล่งนัดพบของพวกเราเหล่าทะโมน 4-5 คน ยามอาทิตย์อัสดง เรามักพากันลงเล่นน้ำและเล่นซ่อนหากันอย่างสนุกสนาน เพื่อนๆ ของฉันเป็นเด็กผู้ชายวัยไล่เลี่ยกัน 3 คน บวกตัวฉันกับน้องสาวรวมทั้งหมดเป็น 5 คนวันนี้ก็เช่นเคย หลังจากที่กระโดดน้ำตีลังกาม้วนหน้าม้วนหลังลงน้ำกันจนสะใจในความสามารถที่ ฝึกฝนกันมานานเราก็เปลี่ยนมาเล่นซ่อนหาบ้าง ผลัก

กัน ซ่อนผลัดกันหาจนเริ่มเบื่อเพราะใกล้มืด ในที่สุดก็เหลือฉันเป็นคนสุดท้ายที่เป็นฝ่ายหา ทุกคนพากันแอบในที่ซ่อนที่สามารถหาได้ในน้ำ เช่น กอผักตบชวา ขอนไม้ที่ลอยมากับน้ำหรือตอไม้เก่ากลางน้ำ อะไรทำนองนั้น ยกเว้นบนตลิ่งที่ห้ามขึ้นไปแอบฉันเริ่มหลับตาและนับหนึ่งถึงสิบช้าๆ แต่ยังแอบขี้โกงเล็กๆ ลืมตาดูว่าใครกระโดดน้ำไปทางไหนเพื่อซ่อนตัวบ้าง

 

ฉัน ลืมตาขึ้น มองเห็นตอไม้ที่ใกล้ที่สุด มีผักตบชวาเกาะกลุ่มอยู่ ฉันมุดน้ำไปยังจุดเป้าหมายด้วยเสียงแผ่วเบา จับตอไม้และผักตบชวา แต่ไม่มีผู้ใดอยู่ ณ บริเวณนี้ฉันรู้ว่าสายตาของเพื่อนทุกคู่จ้องมองฉันอยู่แต่ฉันไม่เห็นเขา มันทำให้ฉันผิดหวังบ้างนิดหน่อย แต่ฉันต้องมองหาเป้าหมายต่อไปนั่นคือ หยวกกล้วยท่อนใหญ่ลอยตามน้ำมาต้องมีใครสักคนซ่อนอยู่ที่บริเวณนั้นแน่ๆ เพราะฉันเห็นมันพลิกตะแคงมาอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็วฉันดำน้ำลงไปและว่ายไป ยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว แล้วรีบวาดมือควานหาใต้ผิวน้ำและคลำพบกับสิ่งหนึ่ง มันเป็นลำแขนของคน ฉันจับมันไว้ไม่ปล่อย และรีบทะลึ่งขึ้นเหนือน้ำเพราะต้องการอากาศหายใจและอยากรู้ว่าเป็นแขนของใคร แต่แค่เห็นมือและแขนเล็กๆ ขาวซีดก็พอจะเดาออกว่านี่ต้องเป็นแขนของน้องสาวแน่ๆ อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

?โป้ง! อีเอ? ฉันเอ่ยขึ้น
?นี่แน่ะ จับได้แล้ว รีบโผล่ออกมาเสียดีๆ มัวแต่เอาหัวมุดน้ำอยู่นั่นแหละ กูเหนื่อยจนคอแห้งไปหมดแล้ว หิวน้ำโว้ย!?

 

แทน ที่เจ้าของแขนจะโผล่มาให้เห็นหน้าแต่กลับสะบัดแขนอย่างแรง และมุดน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา ฉันพยายามคว้าแขนนั้นไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว มันดำดิ่งสู่ใต้น้ำอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่ลอยคอ เกาะต้นกล้วยและพลางคิดว่าน้องสาวฉันมันจะมาไม้ไหนกันแน่นะ

 

?หนอ ย! โดนจับได้แล้วยังไม่ยอมแพ้อีก? ฉันบ่นพึมพำฉันรอคอยอยู่ตรงนั้นนานพอควรและคิดว่าน้องสาวน่าจะโผล่ขึ้นมา หายใจได้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะดำน้ำได้อึดขนาดนั้นฉันมองไปรอบๆ ผิวน้ำที่ราบเรียบสาดด้วยแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า จิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดเป็นห่วงน้องสาว ชักมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ฉันเริ่มมองหาเพื่อนทั้งสามคนด้วยความร้อนรนและเต็มไปด้วยคำถามแล้วฉันก็ได้ ยินเสียงตะโกนเรียกมาจากทางด้านหลังบนริมฝั่งคลอง

 

?เฮ้ย! มึงทำอะไรอยู่วะ มัวงมหาสมบัติใต้น้ำรึไง พวกกูยืนรอมึงจนตะไคร่ขึ้นตัวแล้วนะโว้ย?

 

ฉัน มองไปตามเสียง เห็นเพื่อนๆ ผู้ชาย 3 คนและน้องสาวฉันยืนเรียงกันอยู่บนตลิ่ง หัวเราะเยาะ แยกเขี้ยวยิงฟันขาวๆ ตัดกับสีผิวดำๆ เขียวๆ ของพวกมันฉันรีบว่ายน้ำตรงไปหาพวกมันทันทีกะจะฉะให้หนำใจที่หลอกให้ฉันลอยคอ หาพวกมันอยู่เป็นนานสองนาน คนแรกที่ฉันตะโกนด่าคือน้องสาว

 

?อี เอ มึงนี่นะ โคตรกวนตีนเลย กูจับมึงได้ แต่มึงยังไม่ยอมแพ้ แหมสะบัดหนีกูอีก ถ้ามึงเล่นขี้โกงแบบนี้นะทีหลังไม่ต้องมาเล่นด้วยกันอีกเลย พวกมึง 3 คนก็เหมือนกัน ไม่ต้องเสือกชวนมันมาเล่นด้วย? ฉันสบถออกมาด้วยโทสะ ทุกคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะใส่ฉันที่ยืนทำหน้ายักษ์ และพร้อมที่จะกินพวกมันได้ทุกขณะ

 

?นี่ ตั้งแต่มึงนับหนึ่งถึงสิบ พวกกูก็แอบดูมึงอยู่หลังเขื่อนนี่ แล้วก็เห็นมึงมุดน้ำไปเกาะต้นกล้วยโน่น มึงไปทะเลาะกับต้นกล้วยหรือไปหลับอยู่วะ? เพื่อนฉันพูดขึ้นฉันหันไปมองหน้าน้องสาวพร้อมถามปัญหาที่ค้างคาอยู่ในใจ

 

?แล้วมึงล่ะอีเอ ขึ้นจากน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูไม่เห็นมึงว่ายน้ำขึ้นฝั่ง??

 

?พวก กูยังไม่ได้ลงน้ำเลยแม้แต่คนเดียว ก็แอบดูมึงว่ายน้ำตามหาอยู่ในคลองนั่นแหละ? น้องสาวตอบฉันยืนตัวแข็งทื่อ รู้สึกว่าผมตั้งชันและอณูเส้นขนทุกเส้นดีดตัวผึงขึ้น ร่างกายเย็นเยือกเหมือนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ เสียงที่พยายามจะพูดออกมากลับแห้งเหือด

 

?งั้น ก็ผี...ผีหลอกกู?ทุกคนลากฉันลงเรือ ฉันไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย ตอนนั้นพวกเรารีบจ้ำพายออกจากท่าเรือร้างตรงกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ไม่คิดหันกลับไปมองงข้างหลังอีกกลับถึงบ้าน ฉันเล่าให้เพื่อนๆ ฟังทุกคนต่างเข็ดขยาดและขนหัวลุก ไม่คิดจะไปเล่นน้ำในคลองที่ไหนอีกเพราะกลัวโดนอย่างฉันแต่พวกผู้ใหญ่กลับ หัวเราะแบบสมเพช

 
 

?โธ่ กะอีแค่ต้นกล้วยลอยน้ำมาตาฝาด นึกว่าแขนผี มือผี กลัวผีจนขี้ขึ้นสมองล่ะซิท่า พวกเอ็ง?

ตอน นี้ เวลาผ่านไปเกือบ 30 ปีแล้วแต่ฉันก้ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าไอ้มือและแขนเล็กๆ เรียว ซีดขาวที่สะบัดออกจากการเกาะกุมของฉัน มันคือส่วนไหนของต้นกล้วยกันเล่าช่วยหาคำตอบที ?

 
 
 

ขอขอบคุณ หนังสือคู่สร้างคู่สม โดย แม่ทองล้นหลาม

Written by on

Written by on

นายจ๋าอย่าสร้างเลย

โครงการสร้างถนนของโครงการเร่งรัดพัฒนาชนบท ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่มีนโยบายนำถนนสู่ชนบท ดังคำขวัญที่ว่า น้ำไหล ไฟ สว่าง ทางดี มีตลาด ทำให้รัฐบาลในยุค พ.ศ.2515 เร่งสร้างถนนเป็นนโยบายหลัก ประกอบในยุคนั้นรัฐบาลต้องต่อสู้กับการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ สมัยนั้น

ถ้า ใครมีอายุประมาณเกือบเลข 4 คงจะเคยได้ยินนโยบายป่าล้อมเมืองของลัทธิดังกล่าวนโยบายป่าล้อมเมืองนั้น คอมมิวนิสต์เขาจะเข้าไปปลุกระดมมวลชนที่อยู่ห่างไกลความเจริญในถิ่นที่ขาด แคลน โดยเฉพาะชาวไร่ ชาวนา เขาจะเข้าไปผูกมิตรกับชาวบ้าน และช่วยเหลือทางด้านความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็จะโจมตีรัฐบาลว่า

เห็น ไหม คนในเมืองมีความสะดวกสบาย ไฟฟ้ามีใช้กัน เปิดทีวี ฟังเพลงกันอย่างมีความสุข เข้าไปดูหนังดูละครแสนสบาย แต่พวกเรา ยังใช้จุดตะเกียงน้ำมัน ถนนหนทางในเมืองหลวง รถวิ่งกันสบาย ดูบ้านเราซิ ถนนควายยังไม่อยากเดินเลย

ด้วย เหตุนี้เอง ที่รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วน จะต้องพัฒนาชนบทให้เร็วเพราะถนนเป็นสิ่งที่นำความเจริญไปสู่ชนบท การก่อสร้างถนนทั่วประเทศไทยจึงเกิดขึ้นทันที

หมู่ บ้านโพธิ์ไชย เป็นหมู่บ้านหนึ่งในโครงการตัดถนน ไปสู่อำเภอมัญจาคีรีและเชื่อมกันถึงตัวจังหวัด การสร้างถนนสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ตัดและโค่นต้นไม้ เส้นทางเป้าหมายของนายช่างเป็นป่าดงดิบ เป็นเนิน เป็นหลุม เป็นบ่อน้ำ ขุดที่ดอนที่เนิน ถมบ่อน้ำ ขุดบ่อทำถนนตามเส้นทางต้องใช้รถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ปรับสภาพก่อน เช่น โคนต้นไม้ ไถดะ ไม่ว่าที่เนินศาลเก่าๆ ต้นไม้ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ล้วนเรียบโล่งเตียน เสียงรถแทรกเตอร์และเครื่องจักรทำถนนกันทั้งวันทั้งคืนชาวบ้านแตกตื่น ตื่นเต้นระคนตกใจ จูงลูกหลานพากันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น รถไถ รถแทรกเตอร์ และเครื่องจักรทำถนนขนาดใหญ่ กำลังไถและขุดตอไม้เป็นว่าเล่น

การ ทำถนนสมัยก่อนใช้เวลาเป็นแรมปี กว่าจะได้ถนนความยาวแค่ 500 เมตร เพราะอุปสรรคมีนานาประการ อุปสรรคที่สำคัญคือความลี้ลับ (ผี) นายช่างกับคนงาน ที่รับงานทำถนนในคราวนั้นมีเกือบ 20 คน เห็นจะได้ เป็นผู้ชายทั้งหมด หลังจากทำงานหนักทั้งวันตกเย็นคนงานก็กางเต็นท์นอนบริเวณที่ก่อสร้างนั้นเอง ด้วยความเมื่อยล้า ทุกคนหลับสนิททั้งคืน คืนแรกผ่านไปด้วยดี ตื่นเช้ามานายช่างพูดอย่างสบายใจว่า

?ดี จังเลย เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี การสร้างถนนคราวนี้คงเสร็จเร็วก่อนกำหนด?หลังจากคนงานรับประทานอาหารเช้า คนงานขึ้นประจำรถแทรกเตอร์ของงตนตามหน้าที่ บางคันโค่นต้นไม้ บางคันขุดดินถมบ่อน้ำ เสียงเครื่องยนต์ ดังกึกก้องไปทั่วป่าตลอดทั้งวัน ประมาณ บ่าย 3 โมงเย็น?นายช่างครับ นายช่างเชิญทางนี้หน่อยครับ คนขับรถเป็นอะไรไม่รู้? เป็นคนงานคันหนึ่ง วิ่งมาเรียก พอนายช่างไปถึงก็พบรถแทรกเตอร์คันหนึ่งสงบนิ่งอยู่กลางบ่อ คนขับนั่งตัวสั่นอยู่บนรถพอนายช่างเห็นก็ถึงบางอ้อทันที เหตุการณ์แบบนี้เขาพบบ่อยๆ การก่อสร้างถนนมีแบบนี้จนชินแล้วนายช่างบอกให้คนงานคนหนึ่งให้ไปที่ เต็นท์นอนของเขาหยิบเอารูปเหมือนที่เป็นภาพถ่าย ของสมเด็จพระปิยมหาราช (รัชกาลที่ 5) พอได้แล้วนายช่างก็ถือรูปตรงไปยังรถแทรกเตอร์
อ่านต่อตอนจบ..

เหตุการณ์ เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น คนขับรถที่อยู่บนรถและตัวสั่นอยู่นั้นลงมาด้านล่าง นั่งคุกเข่า ทำท่าเหมือนถวายบังคม ปากก็พูดภาษาที่ไม่สามารถจับใจความได้แล้วเขาก็สลบไป ?เอาเขาไปพักผ่อน และวันนี้เลิกงานแค่นี้? นายช่างสั่งคนงาน แล้วก็เดินจากไปทุกคนในเหตุการณ์ต่างตกใจกลัว และสงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้น และจบไปอย่างรวดเร็วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ไม่กล้าถามนายช่างได้แต่เก็บความสงสัยไปคิดต่อในที่พักของตนเองคืนนั้น คนงานหลับสนิทสังเกตได้จากเสียงกรนที่ส่งเสียงออกมาจากละเต็นท์ดังสนั่นไม่ น้อยหน้ากันเช้าตรู่ คนงานขับรถที่ถูกผีเข้าเมื่อวานเข้าไปหานายช่างแล้วเล่าว่า

?นาย ช่าง เมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลยทั้งคืนไม่รู้เป็นอะไร จะปลุกเพื่อนก็สงสารทำงานเหนื่อยทั้งวัน แถมกลัวเพื่อนล้อว่าเป็นคนขี้กลัว? เขาเล่าต่อว่า ผมนอนไม่หลับก็ออกมานอกที่พัก นั่งดูดบุหรี่เงียบๆ คนเดียว ทันใดนั้น ผมเห็นเงารางๆ ในความมืดเหมือนเด็กผู้หญิงยืนอยู่ ผมคิดในใจว่าคนจะมาขโมยอะไหล่รถมั้ง ผมก็ค่อยแอบเดินเข้าไปตามเงา แต่ว่ามีลางบอกว่ามีคนอยู่ข้างหลัง ขณะผมคิดว่าจะหันหลังมาดูหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อมีมือใครไม่รู้เย็นวาบมาจับ ที่ข้อมือขวา ก่อนที่ผมจะพูดอะไร

?น้า น้า แม่ให้มาเรียกไปหาที่บ้านหน่อย แม่เขาไม่กล้ามา? เสียงนั้นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผมค่อยใจชื้นขึ้นมานิดเด็กคนนั้นพาผมเดินไปในถนนที่มีแสงสลัวๆ จากดวงดาวคืนข้างขึ้นได้ประมาณ 150 เมตร เห็นจะได้ ก็ไปพบบ้านหลังหนึ่ง พบคนมากมายกำลังนั่งอยู่คล้ายๆ กับจะประชุมอะไรกันสักอย่าง มีชายคนหนึ่ง แต่งตัวภูมิฐานคงจะเป็นหัวหน้าเดินมาหาผม แล้วพูดว่า?พวกคุณมาที่นี่ มาทำให้พวกเราเดือดร้อนบ้านหลายหลังถูกพวกคุณทำลาย หลายครอบครัวไม่มีที่อยู่คนที่เป็นพวกคุณไม่รู้หรอกบริเวณแถบนี้เป็นหมู่ บ้านของพวกเรา พวกคุณต้องหยุด ถ้าไม่หยุดเราจะได้เห็นดีกัน คุณช่วยเป็นธุระไปบอกหัวหน้าคุณด้วยนะ? พอผมอ้าปากจะพูด ก็พูดไม่ออกเหมือนมีอะไรมาติดที่หลอดคอ แล้วเด็กผู้หญิงคนเดิมก็ดึงแขนผมกลับและพูดว่า?ไปเถอะน้า ฉันจะไปส่ง? เด็กพาผมเดินมาถึงท้ายรถ เขาบอกว่า?แค่นี้นะ? ผมหันมองจะพูดขอบใจ แต่แทนที่จะพูดกลับขนลุกซู่แทน เพราะเด็กคนนั้นหายไปแล้ว

นาย ช่างผู้มากด้วยประสบการณ์เข้าใจในเหตุการณ์เขาไม่อยากเสี่ยงกับความตาย เสี่ยงกับความสูญเสียโดยเฉพาะสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นด้วยตา เขาไม่กล้าคิดว่าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างงานอาจไม่เสร็จ คนงานหรือตัวเขาเองก็อาจเป็นอันตรายได้เพื่อเป็นการสร้างขวัญและสร้างกำลัง ใจในการทำงาน เขาสั่งให้คนงานหยุดงานแล้วระดมการสร้างศาลหลังเล็กๆ ขึ้นมาให้มากเท่าที่จะมากได้ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดก็คงประมาณสองร้อยศาลเห็นจะได้ แล้วนำศาลที่สร้างเสร็จมาตั้งเรียงกันเป็นสัดส่วน ข้างถนนที่ก่อสร้าง นำอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไว้ในศาลตั้งเครื่องเซ่นไหว้ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ไก่ต้มครึ่งสุกครึ่งดิบและเหล้าขาวสี่สิบดีกรี และผลไม้นานาชนิดเป็นส่วนประกอบนายช่างเริ่มจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา และอัญเชิญดวงวิญญาณขึ้นสู่บ้านหลังใหม่ว่ามาที่นี่ไม่ได้ลบหลู่ล่วงเกิน อะไร มาเพื่อสร้างฐานะความอยู่ดี ความมั่งคั่งมาให้บุตรหลาน และเชิญบริโภคอาหารเพื่อความสุขความเจริญทั้งผู้เชิญและผู้รับตลอดไปหลังจาก ทำพิธีบวงสวงเซ่นไหว้ เหตุการณ์เงียบสงบเรียบร้อยดี การสร้างถนนก็ราบรื่นไม่มีผีเข้าไม่มีฝันร้ายหรือวิญญาณมารบกวนอีกเลย แต่กว่าการสร้างถนนสายนี้จะเรียบร้อยใช้งานได้ก็ใช้เวลาเกือบปี

เรื่องวิญญาณสงบลงแล้ว แต่กลับมีเรื่องให้นายช่างปวดหัวอีกคือ เกิดศึกรัก ของคนงานสร้างถนนกับหญิงสาวชาวบ้านเข้ามาแทน ฮะ ฮ

เรื่องโดย...อ.อัครเมธี

Written by on

Written by on

หญิงชราชุดดำ

อำเภอที่ผมอยู่นั้น อยู่ห่างจากตัวจังหวัดเกือบ 100 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง มีรถโดยสารประจำทางวิ่งอยู่ตลอดทุกวัน เส้นทางเป็นถนนลาดยาง 2 เลน จึงสะดวกในการเดินทางเป็นอย่างมาก

 

ครั้ง หนึ่งผมมีธุระในตัวจังหวัด ผมจึงขับรถปิคอัพส่วนตัวเดินทางไปคนเดียวแต่เช้า โดยไม่เร่งรีบอะไรนักกระทั่งมาถึงตัวจังหวัดตามกำหนดเวลา ก็ได้ทำกิจธุระต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อย

 

ด้วยว่ามีธุระหลายอย่างจึงต้องวิ่งเต้นทั้งวัน จนกระทั่งมืดค่ำจึงได้ไปหาอาหารทาน ที่ร้านอาหารในตัวเมืองก่อนจะเดินทางกลับ

 

เวลา ประมาณ 2 ทุ่ม พอผมจ่ายค่าอาหารเสร็จก็ขึ้นรถขับกลับบ้าน โดยใช้เส้นทางเดิมเหมือนตอนขามา โดยขับมาเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านตามรายทางหลายหมู่บ้าน มีป่าละเมาะสลับเป็นระยะๆ ทั้ง 2 ฟากทาง

 

แต่มันน่าแปลก ที่ไม่ยักเห็นมีรถวิ่งสวนไปมาสักคันเดียว บรรยากาศก็ดูเงียบผิดปกติ แสงไฟจากหน้ารถส่องสว่างไปเรื่อยๆ

 

ฉับ พลัน! สายตาของผมได้มองไปเห็นร่างร่างหนึ่งเข้าร่างนั้นยืนอยู่ทางซ้ายมือ ตรงบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถนนลูกรังกำลังโบกมืออยู่ไหวๆ คล้ายกับว่าจะขอโดยสารไปด้วยทำนองนั้น โดยร่างนั้นผมยาวสยาย รูปร่างผ่ายผอมบอบบาง สวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงสีดำทั้งชุด

 

ใน ใจตอนนั้นคิดว่าเป็นหญิงสาว แต่พอรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าร่างนั้นถือตะกร้าสีดำ แบบที่คนแก่ชอบใส่หมากพลู อีกทั้งร่มที่ถืออยู่ก็สีดำ ทุกอย่างเห็นมีแต่สีดำทั้งสิ้น

 

พอ ผมจอดรถเสร็จเรียบร้อย ก็โน้มตัวไปทางประตูฝั่งตรงข้าม พร้อมเอื้อมมือไปเปิดล็อก และไขลดกระจกลงอย่างช้าๆ พอเธอโผล่หน้าเข้ามา ก็ให้สังเกตว่าหน้าตาดูเหี่ยวย่น ประมาณอายุคง 60 ปีเห็นจะได้ เธอพูดด้วยเสียงเนิบนาบช้าๆ ขึ้นว่า

 

?ฉันขอโดยสารไปด้วยคน จะไปลงที่หมู่บ้านข้างหน้าโน่น...ได้ไหมจ๊ะ?

 

?ได้...ได้ครับ...เชิญเลยครับ? ผมพยักหน้าตอบรับ  อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

หญิง ชราคนนั้นได้เปิดประตูรถ แล้วก้าวเท้าขึ้นมานั่งตรงเบาะหน้ารถคู่กับผมทันที โดยวางร่มกับตะกร้าหมากพลูไว้ข้างๆ ตัว พอแกนั่งเสร็จ จมูกของผมก็ได้กลิ่นแปลกๆ คล้ายกลิ่นควันธูปโชยมากระทบอย่างจัง แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร ผมค่อยๆ เหยียบคันเร่งออกจากที่นั่นทันที พร้อมกับถามไปว่า

 

?เอ่อ...แล้ว...แล้วนี่คุณยายไปยังไง มายังไง ถึงได้มายืนอยู่แถวนี้ล่ะครับ?

 

?ยายมางานศพที่หมู่บ้านนี้ แต่ไม่มีรถกลับ จึงต้องมายืนรอรถอย่างที่เห็นนี่แหละจ้ะ?

 

หญิงชราตอบกลับช้าๆ โดยไม่ยอมหันหน้ามาทางผมเลย ได้แต่นั่งเพ่งสายตาไปเบื้องหน้า ดูแข็งทื่อยังไงชอบกล ผมเลยถามต่ออีกว่า

 

?แล้วบ้านคุณยายอยู่ที่ไหนล่ะครับ??

 

?บ้านยายอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากหรอก อีกไม่นานก็จะถึงแล้ว ถึงเมื่อไหร่แล้วจะบอกนะจ๊ะ?

 

ผม ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ สายตาเพ่งมองไปข้างหน้า ที่มีแสงไฟสาดส่องไปตามเส้นทาง โดยไม่ได้ซักถามหรือพูดคุยอะไรอีก กระทั่งรถวิ่งมาได้อีก 5-6 กิโลเมตร หญิงชราคนนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า

 

?เอ่อ...ถึงแล้ว ตรงปากทางนั่นแหละ ยายจะลงตรงนั้น จอดให้ด้วยนะจ๊ะ?

 

ผมชะลอความเร็วลง พอถึงปากทางแยกก็ค่อยๆ แตะเบรกหักแอบข้างทาง จนรถหยุดอยู่กับที่ หญิงชราก็พูดขึ้นว่า

 

?ยายขอบใจมาก ที่อุตส่าห์มีน้ำใจให้นั่งรถมาด้วยขอบใจนะจ๊ะ?

 

พูด จบแกก็เอื้อมมาหยิบร่มและตะกร้าที่อยู่ข้างๆ ตัวถือติดมือ พร้อมกับเปิดประตูรถก้าวเท้าออกไป และโบกมือให้ผมไหวๆ ผมจึงขับรถเคลื่อนตัวออกมาจากบริเวณนั้นช้าๆ

 

แสงจันทร์บนท้องฟ้าสาดส่องลงมาเบื้องล่างพอมองเห็นผมขับรถออกมาได้สักระยะหนึ่ง ก็เหลือบมองดูกระจกส่องหลัง

 

ฉับพลัน! ผมก็แทบสะดุ้งโหยงตื่นตกใจ เพราะมองเห็นร่างของหญิงชราในชุดสีดำกำลังยื่นมือยาวๆ ไล่หลังผมอย่างกระชั้นชิด

 

มัน เหมือนกับนางนาคพระโขนง ที่เคยดูในภาพยนตร์ทำนองนั้น เล่นเอาผมแทบหัวใจวาย รีบเหยียบคันเร่งเต็มที่ จนรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการขวัญผวาอย่างหนัก

 
 

เรื่องโดย...นิรนาม ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on

Written by on

พรายตะเคียนบึงหนองใหญ่

ณ หมู่บ้านหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรีในสมัยก่อนโน้นยังเป็นป่าดงดิบอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้เบญจพรรณนานาชนิด มีทั้งไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ตะเคียนทอง ประดู่ ตะแบก กระบก และต้นไม้อื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นยืนต้นเขียวชอุ่มพุ่มไสวทั่วไพรพฤกษ์

 

และ ของที่คู่กับป่าก็คือผลไม้ป่าต่างๆ ที่ออกดอกติดผลตามต้นตามฤดูกาลทำให้มีสิงสาราสัตว์ หมู่ป่า ไก่ป่า ลิง ค่าง ช้าง เสือ ฯลฯ มาอยู่อาศัย เพราะป่าเปรียบเสมือนบ้าน และแหล่งอาหารของสัตว์ป่าทั้งหลาย

 

แต่ มาสมัยนี้ ป่าไม้อันมีคุณค่าอย่างมหาศาลของพวกเราทั้งหลายได้หมดไปกลายเป็นเรือกสวนไร่ นา ถางป่าเสียจนเตียนโล่ง บรรดาสัตว์ป่าต่างๆ ก็อยู่ไม่ได้ ต่างพากันอพยพหลบหนีตายเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าลึกที่ปลอดภัย

 

เขต อำเภอหนองใหญ่ในปัจจุบัน ถึงแม้ป่าไม้จะหมดไป แต่พื้นที่ลุ่มมีหนองน้ำเป็นบึงขนาดใหญ่ มองดูไกลสุดสายตาทีเดียวบึงนี้มีชื่อว่า ?บึงหนองใหญ่? และภายใต้ผืนน้ำนั้น ก็ยังมีตอไม้ขนาดใหญ่ๆ จมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ตอไม้ตะเคียนทอง มะค่าโมง

 

เมื่อ สมัยก่อนนั้น บริเวณนี้ยังคงเป็นป่าดงดิบ ต่อมาชาวบ้านเข้ามาบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โดยมีพวกเถ้าแก่นายทุนหนุนหลัง จนป่าไม้ราบพณาสูร เพื่อนำมาทำไม้แปรรูปขาย พื้นที่ดินก็เพาะปลูกพืชการเกษตร

 

ที่ ราบลุ่มก็กลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ กลายเป็นบึงที่เต็มไปด้วยตอไม้จมอยู่ใต้น้ำ เป็นที่อาศัยของบรรดาสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา จำนวนมาก โดยเฉพาะกุ้งฝอยกับหอยขม มีอยู่ในบึงชุกชุมยิ่งนัก พวกผู้ใหญ่และเด็กๆ ชาวบ้านหนองใหญ่ทั้งใกล้ไกล ต่างพากันมาจับกุ้ง ปลา ตอนเย็นๆ ตะวันโพล้เพล้ พักเดียวก็ได้กุ้งหัวแข็งครึ่งค่อนถังเลยทีเดียว

 
 

แต่ ทว่าหนองใหญ่แห่งนี้ก็มีเหตุการณ์อาถรรพณ์เกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นเหตุให้คนที่มาหากินในบริเวณนี้ ต้องตายเย็นมาแล้วหลายศพ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยคนเฒ่าคนแก่ก็พยายามเตือนนักเตือนหนาว่า?ถ้าพวกเอ็งจะไปหากุ้ง ปลา หอย ที่หนองใหญ่แล้วล่ะก้อ จงบนบานศาลกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเขาเสียก่อน ก่อนจะลงไปในบึง และอย่าออกห่างจากฝั่งมากนัก มันอันตรายมาก?
อ่านต่อตอน2..

ตอน 2

 

ผม ย้อนถามว่า มันมีอันตรายอะไร? อะไรคือต้นเหตุให้ชาวบ้านไปหาปลาต้องตาย ผมพยายามถามซ้ำผู้เฒ่าผู้แก่ก็อึกอักๆ ไม่อยากบอก แต่ผมก็คะยั้นคะยออยู่พักใหญ่ ท่านผู้เฒ่าถึงยอมเล่าถึงสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้คนจมน้ำตายในบึงหนองใหญ่มาแล้วหลายศพ

 

?มันมีพรายน้ำ?

 

?พรายน้ำ!? ผมอุทานซ้ำ

 

?ใช่?

สาเหตุ มันมาจากพรายน้ำ ที่เกิดมาจากรากไม้ตอต้นตะเคียนทอง ตอใหญ่หลายคนโอบ ที่จมน้ำตายซากอยู่กลางบึงใหญ่มานานหลาย 10 ปีแล้ว ที่โคนตอตะเคียน อาจมีพวกภูตผีวิญญาณ รุกขเทวดา หรือนางไม้ตะเคียนทอง อาศัยสิงสู่อยู่ที่สำคัญพรายน้ำจะเกิดที่บริเวณรากไม้ของตอตะเคียน จะไปเร็วมาก มันพุ่งไปใต้น้ำด้วยพลังมหาศาลหนีกันไม่ค่อยทันถ้าผู้ใดที่ไปหาหอย ปู ปลา หรือไปเล่นน้ำ ไม่บอกกล่าวขอต่อเจ้าของบึง ด้วยความเคารพก่อนแล้วล่ะก้อเป็นต้องเจอดี เพราะจะเจอความอาถรรพณ

วัน คืนเดือนมืดข้างแรมบางทีจะเห็นลูกไฟดวงใหญ่เท่ากระด้งฝัดข้าว ลอยขึ้นมาจากบริเวณกลางบึงหนองใหญ่ พุ่งขึ้นสูงประมาณยอดไม้ ลอยนิ่งอยู่พักใหญ่แล้วก็จมวูบลงไปที่ตรงตอไม้ตะเคียนทองจมอยู่ชาวบ้านที่ไป หาปลาอยู่ต่างเผ่นกันแทบไม่ทัน พร้อมกับมีเสียงคล้ายคนหัวเราะ ฮ่าๆ ซ่าๆๆ ได้ยินไปไกลจนชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่กล้าไปหาจับปลา กุ้ง ในเขตหนองใหญ่แห่งนี้

ผม กับเพื่อนๆ รวม 5 คน ซึ่งอยู่ในวัยเบญจเพส จิตใจกำลังคึกคะนองห้าวหาญ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพิสดารพันลึก ผีสางนางไม้ เทพยดา เจ้าป่าเจ้าที่ต่างๆ และถ้าได้ดื่มเหล้าขาว 35 ดีกรีด้วยแล้วถึงไหนถึงกันในเรื่องการทำมาหากิน ใครยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พวกผมชอบท้าทายลองดี อยากจะพิสูจน์ความจริงให้เห็นกันจะจะไปเลย

 

ผม ไม่รอช้า ชวนเพื่อนๆ ไปลงข่ายดักปลากันที่หนองใหญ่ ในคืนเดือนหงายของวันหนึ่ง พวกเราทั้ง 5 เตรียมเหล้ายาอาหาร เอาไปกินแก้หนาวกันพอสมควร แล้วปรึกษากันว่า ถ้าได้ปลาเยอะๆ ก็จะเอาไปขายตามหมู่บ้านหารายได้เข้ากระเป๋า

 

ผม กับเพื่อนๆ มาถึงริมบึงหนองใหญ่ วางเครื่องสัมภาระไว้ใกล้ๆ ริมตลิ่งจัดการเดินลงไปในบริเวณบึงอันกว้างใหญ่ รู้สึกสายน้ำเย็นยะเยือกจนสะท้าน พวกเราออกไปไม่ไกลนัก น้ำลึกเพียงหน้าอก เพราะไม่มีเรือพาย

 

เรา ทั้ง 4 นำตาข่ายและหลักไม้ไผ่อีกหลายอันพร้อมถังแกลลอนขนาด 20 ลิตร เตรียมไว้ใส่ปลาอีก 3 ใบ โดยตัดเป็นช่องด้านบนไว้เท้าฝ่ามือ ให้เพื่อนอยู่เฝ้าบนฝั่ง 1 คน เพื่อเฝ้าสัมภาระต่างๆ

 

ผม กับเพื่อนๆ ปักหลักลงในบึงจนแน่น ขึงตาข่ายขนาดตากว้าง 8 ซม. และ10 ซม. ยาวปากละ 100 เมตร พอพวกผมวางข่ายดักเสร็จ ยังไม่ทันจะขึ้นฝั่งปรากฏว่าปลาต่างๆ ว่ายมาติดแล้วพันตาข่ายดิ้นกันตูมตาม จนน้ำกระจายดังโผงผางๆ

 

ผม กับเพื่อนๆ โห่ร้องหัวเราะเฮฮาชอบใจ ที่มีปลาต่างๆ มาติดตาข่ายมากมาย ทั้งปลาช่อน ปลาดุก ชะโด ตะเพียน ฉลาด ปลาบู่ จนลืมความหวั่นเกรงพร้อมคำเตือนของผู้เฒ่าเสียสนิท

 

พวก เราใช้ถังแกลลอนตัดปากพอใส่ปลาได้ เอาเชือกผูกลอยน้ำ ปลดปลาต่างๆ ใส่ลงไปทั้ง 3 ใบ ขณะที่ผมกับเพื่อนๆ ปลดปลาลงถังกันอย่างเพลิดเพลินอยู่กลางน้ำท่ามกลางแสงจันทร์ส่องนวลจ้าจับ ท้องน้ำ มองดูเป็นคลื่นระยิบระยับ

 

ฉับ พลัน! ผมและเพื่อนๆ ก็ได้ยินเสียงดังตูมๆ ซู่ๆ ซ่าๆ มาจากกลางบึง พวกเราหันไปมองตามเสียงประหลาดนั้นทันที ปรากฏว่าเห็นเงาดำทะมึนของต้นไม้ใหญ่ เอนไปเอนมาเสียงดังซู่ๆ ซ่าๆ แล้วเคลื่อนเข้ามาหาพวกเราทั้ง 4 ที่ลอยคออยู่ในท้องน้ำอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

สาย ตาของผมเหลือบไปเห็นพรายน้ำ มันผุดขึ้นมาเป็นฟองขาวกว้างใหญ่หลายวา พุ่งซู่ๆ ซ่าๆ เป็นทางยาว ตรงมาหาพวกเราอย่างประสงค์ร้าย พร้อมกับเสียงคำรามเหวอ...เหวอ...เหอ...เหอ...ดังลั่นบึง ผมร้องตะโกนขึ้นสุดเสียง

 

?ผีหลอกโว้ย...หนีเร็ว...พรายน้ำพุ่งมาแล้ว...ขึ้นฝั่งเร็ว!?

 

พราย น้ำพุ่งมาเป็นทางดังซู่ๆ ซ่าๆ พร้อมเงาดำของต้นไม้ใหญ่ครางเหอๆๆๆ ผมรีบปลดถังปลาทิ้งกลางน้ำจ้ำอ้าวหนีเข้าหาฝั่งอย่างทุลักทุเล แขนขาอ่อนเปลี้ยแทบมาไม่ถึงฝั่ง โชคดีได้เพื่อนบนฝั่งมาช่วยดึงมือขึ้นบนตลิ่งไปได้หวุดหวิด

 

ผม หันมามองเพื่อนๆ อีก 3 คน ที่หนีพรายน้ำตามหลังผมมา แต่มองไม่เห็นสักคน ช่วยกันตะโกนเรียก พร้อมกับท่องนะโม สวดมนต์กันดังลั่นให้คุณพระคุ้มครอง มองไปเห็นแต่เงาดำทะมึนของต้นตะเคียนทองสูงใหญ่ที่กลางบึงครวญครางเหวอๆ เหอๆ อย่างสะใจ

 

พร้อม กับมองเห็นพรายน้ำผุดพร่างพรายเสียงดังซู่ๆ ซ่าๆ ทั่วบริเวณที่เพื่อนผมทั้ง 3 คน ดักตาข่ายอยู่ คงจะปลดปลาติดตาข่ายเพลินไม่ก็ชะตาถึงฆาตจึงหนีไม่ทันถูกพรายน้ำนางตะเคียน ทองเล่นงาน จนจมน้ำตายเป็นผีเฝ้าท้องน้ำทั้ง 3 คน

 

ปลา ต่างๆ ในถังแกลลอนทั้งหมด ก็จมน้ำคืนสู่บึงหนองใหญ่ไปหมด ผมกับเพื่อนตัดสินใจวิ่งหนีกลับมาบ้าน ด้วยจิตประหวั่นพรั่นพรึง ที่เห็นผีมาหลอกจะจะลูกกะตา ทำให้เสียขวัญอย่างหนัก

 

จน ผู้เฒ่าและพ่อแม่ต้องให้เข้าวัด เพื่อไปบวชพระแก้บน แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้กับวิญญาณนางพรายตะเคียนทองที่อาถรรพณ์ และเพื่อนๆ ทั้ง 3 คน ที่จบชีวิตเซ่นสังเวยนางพรายตะเคียนด้วยความอวดดี

 
 

เรื่อง โดย...เพิ่มศักดิ์/ชลบุรี ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on

Written by on

ผีขึ้นแท็กซี่

?โน้ต? เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแท็กซี่สยอง เมื่อเดือนที่แล้วผมพาน้องแก้มแฟนของผมไปดูหนังรอบดึกแถวอนุสาวรีย์ กว่าหนังจะ เลิกก็ตีหนึ่งกว่าแล้วล่ะครับเราต้องออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อไปส่งแก้มถึง บ้านที่รามอินทรา อากาศคืนนั้นเย็นสบายเพราะฝนเพิ่งหยุดตก มันชุ่มฉ่ำและโรแมนติกน่าดู เมื่อผมออกมาริมถนนก็มองเห็นแท็กซี่คันหนึ่งสีชมพูจอดอยู่ริมขอบทางเพื่อรอ รับผู้โดยสาร ผมตรงดิ่งไปที่รถคันนั้นทันที แต่น้องแก้มดึงมือผมไว้ก่อน

 

?นั่น! มีคนขึ้นไปแล้ว รอเรียกคันอื่นเถอะ? เธอพูดเบาๆ น้ำเสียงปกติ แต่ผมซิต้องแปลกใจมากเชียว เพราะภายใต้แสงไฟสว่างจ้า ผมไม่เห็นมีใครขึ้นแท็กซี่คันนั้นเลยสักคน

 

?ตา ฝาดหรือเปล่าจ๊ะแก้ม? พี่ไม่เห็นใครเลยนะ? ผมพูดขำๆ แต่เธอไม่ขำด้วย มองหน้าผมงงๆ แล้วบอกว่าจริงๆ นะ เมื่อกี้มีผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือกันอยู่ ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่ แก้มยังเห็นว่าผู้ชายนุ่งกางเกงยีนส์ขาลีบ สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ส่วนผู้หญิงนุ่งขาสั้น เสื้อแขนพองสีแดงลายสกอต! เห็นละเอียดขนาดนั้นเลยล่ะครับ

 

แก้ม เล่าว่าคนทั้งคู่เปิดประตูรถแท็กซี่ด้านหลังขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตู แต่เธอเอะใจว่าทำไมแท็กซี่ยังจอดนิ่งอยู่ ไม่ออกรถไปซะที มิหนำซ้ำตัวผมมเองก็ทำท่าตรงรี่จะไปขึ้นรถคันนั้น

 

น้อง แก้มทำตาปริบๆ อย่างงงงันและบอกผมว่า เดินไปดูกันดีกว่า ว่ามีคนนั่งในแท็กซี่คันนั้นหรือไม่? มือเธอเย็นเฉียบขณะที่ผมจูงเธอไปชะโงกดู และเห็นชัดๆ ว่าเบาะหลังว่างเปล่า...โชเฟอร์ขยับตัวพร้อมที่จะบริการเรา น้องแก้มครางแล้วบอกว่าเธอกลัวมาก ไม่กล้าขึ้นรถคันนี้ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ แถวนี้เหลือแท็กซี่อยู่คันเดียวและมันก็ดึกมากแล้วด้วย

 

ผม เปิดประตูก้าวเข้าไปนั่ง น้องแก้มทำหน้ามุ่ยเหมือนอยากร้องไห้ ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวตามผมเข้ามา ผมบอกให้โชเฟอร์ใช้ทางด่วนเลยจะได้ถึงบ้านน้องแก้มเร็วๆ

 

ใน รถคันนั้นทีแรกก็มีกลิ่นใบเตยหอมๆ ผมเห็นใบเตยมัดใหญ่กองสุมอยู่ด้านหลังของเบาะ แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ ผมเกิดได้กลิ่นคล้ายโรงพยาบาล มันแปลกมากครับ น้องแก้มเองก็คงได้กลิ่นเหมือนกัน...กระตุกมือผมแล้วเบียดตัวเข้ามาท่าทาง หวาดกลัวอะไรบางอย่าง
อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

ราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านน้องแก้มโดยปลอดภัย ผมส่งเธอเข้าบ้านแล้วใช้บริการแท็กซี่คันเดิมให้ไปส่งที่ศรีย่าน บ้านผมอยู่แถวนั้นครับ

 

ขณะ ที่นั่งรถมาตามลำพัง ผมก็ได้ทีถามโชเฟอร์ว่ารถคันนี้มีอะไรรึเปล่า? โชเฟอร์พูดว่า ?ไม่มีอะไรหรอกพี่ แต่พี่ถามขึ้นมาก็ดีแล้ว ผมรู้สึกมีอะไรแปลกๆ?

 

มันแปลกยังไงหรือครับ?

 

โชเฟอร์ เล่าว่า ตลอดทางที่วิ่งมา เขามองกระจกหลังและเห็นเป็นคนสี่คนนั่งอยู่ คือมีผมกับน้องแก้มซึ่งนั่งชิดกันแถวกลางเบาะ แต่มีเงาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านน้องแก้ม และผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านผม! จะว่าตาฝาดหรือเงาหลอนก็ไม่ใช่

 

เอา ล่ะสิ! ผมชักหนาวๆ ร้อนๆ เลยพูดกับโชเฟอร์ตามตรงว่า ก่อนที่ผมจะเปิดประตูมานั่งในรถเขาน่ะ แฟนผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามานั่งก่อน!

 

?ผม บอกจริงๆ นะพี่ ว่าก่อนพี่จะมาถึงรถผมน่ะ ผมรู้สึกว่ารถผมมันยวบเหมือนมีใครขึ้นมานั่งจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรไง...โอย! ผมจะทำไงเนี่ยย??

 

ขากลับนี่เราไม่ได้ขึ้นทางด่วนนะครับ แต่มาตามทางปกติและเรื่องที่เราสอบถามกันไปมานี่น่ะ ทำเอาเราหนาวๆ ร้อนๆ ทั้งคู่

 

ทันใดนั้น โชเฟอร์ร้องออกมาเบาๆ ?โอ๊ย! พี่...ผมไม่ไหวแล้ว?

 

เขาเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันข้างทางแล้วรีบลงจากรถทันที ผมก็ตาเหลือกสิครับ รีบตะกายลงจากรถตามเขาแล้วถามว่าอะไรเหรอ? เขาเห็นอะไร?

 

?ผมเห็นอีกแล้ว! ผู้ชายผู้หญิงคู่นั้น เขานั่งอยู่ข้างพี่! ไม่ใช่ผีแล้ววอะไรล่ะ??

 

เขา ยืนยันว่าในรถเขาไม่เคยมีประวัติภูตผีปีศาจใดๆ ทั้งสิ้นสิ่งที่อยู่ในรถต้องเป็นผีจากแถวอนุสาวรีย์แน่ๆ เป็นใครมาจากไหน? ตายยังไงก็สุดรู้! ผมเดาว่าคงเป็นหนุ่มสาวจากปรโลกที่ชวนกันมาเที่ยว...โธ่! แล้วมานั่งแท็กซี่นี่ทำไม? จะไปไหนกันหรือครับ?

 

โชเฟอร์ มือไม้อ่อน บอกว่าขับไม่ไหวแน่ๆ ต้องจอดอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีผู้โดยสารเรียก หรือจนกว่าจะเช้า ส่วนผมต้องเรียกแท็กซี่คันอื่นกลับบ้านล่ะครับ!

 

ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ข่าวสด

Written by on

Written by on

จะเอาไปอยู่ด้วย

พี่อ้อ เป็นลูกของป้าแท้ๆ ของผม พี่อ้อแต่งงานมีครอบครัวแล้วและมีลูก 1 คน แต่สามีของพี่อ้อต้องมาเสียชีวิตลง เมื่อปี 50 นี่เอง ด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว

 

วันที่สามีของพี่อ้อจะจากไปนั้น เขาบอกให้พี่อ้อไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เพราะว่ามีคนมารับแล้ว จากนั้นสามีของพี่อ้อก็ได้สิ้นลม

 

ศพ ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดศรีสะเกษบ้านเกิดสามีของพี่อ้อ เมื่อสิ้นสุดงานศพ พี่อ้อก็ได้ลาออกจากการเป็นพยาบาล และกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดสุรินทร์

 

อ้อ... ผมลืมบอกไปว่า พี่อ้อมีอาชีพเป็นพยาบาล ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คืนแรกที่พี่อ้อนอนที่บ้านนั้น พอเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันและมีคนมาโวยวายอยู่หน้าบ้าน หมาเจ้ากรรมก็ดันหอนกันซะงั้น

 

ยาย ของผมท่านบอกว่าได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูบ้านหลายครั้งมาก พอยายกับแม่ถามออกไปก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยสักนิด แต่เสียงเคาะประตูก็เคาะอยู่อย่างนั้นยายก็เลยพูดขึ้นว่า

 

?ไปแล้ว...ก็ขอให้ไปสบายนะ ไม่ต้องห่วงยายหรอก?

 

จาก นั้นก็ไม่มีเสียงเคาะประตูอีกเลย ที่ยายผมพูดไปแบบนั้น เพราะว่าสามีของพี่อ้อบอกกับยายว่า สงกรานต์จะกลับมาทาสีบ้านให้ แต่ก็ไม่ทันได้กลับมาเพราะมาเสียชีวิตก่อน พอเช้ามายายผมก็เลยเล่าให้พี่อ้อฟัง พี่อ้อเลยบอกกับยายว่า

 

?เมื่อคืนก็มาหาหนุเหมือนกัน มีเสียงเหมือนคนโวยวายอยู่หน้าบ้าน สงสัยเจ้าที่ท่านไม่ให้เข้าบ้าน?

 

พอ คืนที่ 2 ก็ทำให้พี่อ้อพบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อนเลยในชีวิต คืนนั้นพี่อ้อบอกว่า ได้ยินเสียงหมาเห่าหอนกันถ้วนหน้าจริงๆ หนักกว่าเมื่อคืนอีก พอเคลิ้มจะหลับก็ได้ยินอีกแล้ว เสียงคนทะเลาะโวยวายกันอยู่หน้าบ้านดูเหมือนคืนนี้จะรุนแรงกว่าคืนแรกเสีย อีก
อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

สัก พักพี่อ้อก็เริ่มรู้สึกหายใจติดๆ ขัดๆ หายใจไม่ออกเหมือนมีอะไรมาทับไว้ยังไงยังงั้น ในความรู้สึกของพี่อ้อ พี่อ้อลืมตาขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วพี่อ้อลืมตาไม่ได้เลย พี่อ้อมองเห็นใครบางคนนั่งทับอยู่บนตัวและมือนั้นกำลังบีบคดพี่อ้ออยู่

 

ตอน นั้นพี่อ้อกลัวแทบช็อกเลยล่ะ เพราะที่นั่งอยู่บนตัวเธอนั้น ก็คือสามีของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเองนาทีนั้นพี่อ้อได้ยินเค้าพูดว่า

 

?ไปอยู่ด้วยกันนะ?

 

แต่พี่อ้อไม่ยอมพยายามดิ้นรน แต่ก็ขยับไม่ได้เลย จนพี่อ้อจะทนไม่ไหวเหมือนจะขาดใจ เลยพูดขึ้นมาว่า

 

?ถ้าไปแล้วใครจะอยู่ดูแลลูกของเรา?

 

เท่า นั้นแหละ ผีสามีเธอก็หายไปต่อหน้าต่อตาจากนั้นพี่อ้อก็เปิดไฟร้องโวยวายลั่นบ้าน จนทุกคนในบ้านตื่นกันหมด ต่างรีบวิ่งมาดูว่าพี่อ้อเป็นอะไร พี่อ้อนั่งร้องห่มร้องไห้และเล่าให้ทุกคนฟัง

 

คืนนั้นทั้งคืนพี่อ้อหลับไม่ลงเลย เช้ามาทุกคนก็ไปทำบุญให้สามีของพี่อ้อ จากนั้นพี่อ้อก็ไม่เคยเห็นวิญญาณสามีของเธออีกเลย

 
 

เรื่องโดย...ขุมดิน ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on