Written by on

หญิงชราชุดดำ

อำเภอที่ผมอยู่นั้น อยู่ห่างจากตัวจังหวัดเกือบ 100 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง มีรถโดยสารประจำทางวิ่งอยู่ตลอดทุกวัน เส้นทางเป็นถนนลาดยาง 2 เลน จึงสะดวกในการเดินทางเป็นอย่างมาก

 

ครั้ง หนึ่งผมมีธุระในตัวจังหวัด ผมจึงขับรถปิคอัพส่วนตัวเดินทางไปคนเดียวแต่เช้า โดยไม่เร่งรีบอะไรนักกระทั่งมาถึงตัวจังหวัดตามกำหนดเวลา ก็ได้ทำกิจธุระต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อย

 

ด้วยว่ามีธุระหลายอย่างจึงต้องวิ่งเต้นทั้งวัน จนกระทั่งมืดค่ำจึงได้ไปหาอาหารทาน ที่ร้านอาหารในตัวเมืองก่อนจะเดินทางกลับ

 

เวลา ประมาณ 2 ทุ่ม พอผมจ่ายค่าอาหารเสร็จก็ขึ้นรถขับกลับบ้าน โดยใช้เส้นทางเดิมเหมือนตอนขามา โดยขับมาเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านตามรายทางหลายหมู่บ้าน มีป่าละเมาะสลับเป็นระยะๆ ทั้ง 2 ฟากทาง

 

แต่มันน่าแปลก ที่ไม่ยักเห็นมีรถวิ่งสวนไปมาสักคันเดียว บรรยากาศก็ดูเงียบผิดปกติ แสงไฟจากหน้ารถส่องสว่างไปเรื่อยๆ

 

ฉับ พลัน! สายตาของผมได้มองไปเห็นร่างร่างหนึ่งเข้าร่างนั้นยืนอยู่ทางซ้ายมือ ตรงบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถนนลูกรังกำลังโบกมืออยู่ไหวๆ คล้ายกับว่าจะขอโดยสารไปด้วยทำนองนั้น โดยร่างนั้นผมยาวสยาย รูปร่างผ่ายผอมบอบบาง สวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงสีดำทั้งชุด

 

ใน ใจตอนนั้นคิดว่าเป็นหญิงสาว แต่พอรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าร่างนั้นถือตะกร้าสีดำ แบบที่คนแก่ชอบใส่หมากพลู อีกทั้งร่มที่ถืออยู่ก็สีดำ ทุกอย่างเห็นมีแต่สีดำทั้งสิ้น

 

พอ ผมจอดรถเสร็จเรียบร้อย ก็โน้มตัวไปทางประตูฝั่งตรงข้าม พร้อมเอื้อมมือไปเปิดล็อก และไขลดกระจกลงอย่างช้าๆ พอเธอโผล่หน้าเข้ามา ก็ให้สังเกตว่าหน้าตาดูเหี่ยวย่น ประมาณอายุคง 60 ปีเห็นจะได้ เธอพูดด้วยเสียงเนิบนาบช้าๆ ขึ้นว่า

 

?ฉันขอโดยสารไปด้วยคน จะไปลงที่หมู่บ้านข้างหน้าโน่น...ได้ไหมจ๊ะ?

 

?ได้...ได้ครับ...เชิญเลยครับ? ผมพยักหน้าตอบรับ  อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

หญิง ชราคนนั้นได้เปิดประตูรถ แล้วก้าวเท้าขึ้นมานั่งตรงเบาะหน้ารถคู่กับผมทันที โดยวางร่มกับตะกร้าหมากพลูไว้ข้างๆ ตัว พอแกนั่งเสร็จ จมูกของผมก็ได้กลิ่นแปลกๆ คล้ายกลิ่นควันธูปโชยมากระทบอย่างจัง แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร ผมค่อยๆ เหยียบคันเร่งออกจากที่นั่นทันที พร้อมกับถามไปว่า

 

?เอ่อ...แล้ว...แล้วนี่คุณยายไปยังไง มายังไง ถึงได้มายืนอยู่แถวนี้ล่ะครับ?

 

?ยายมางานศพที่หมู่บ้านนี้ แต่ไม่มีรถกลับ จึงต้องมายืนรอรถอย่างที่เห็นนี่แหละจ้ะ?

 

หญิงชราตอบกลับช้าๆ โดยไม่ยอมหันหน้ามาทางผมเลย ได้แต่นั่งเพ่งสายตาไปเบื้องหน้า ดูแข็งทื่อยังไงชอบกล ผมเลยถามต่ออีกว่า

 

?แล้วบ้านคุณยายอยู่ที่ไหนล่ะครับ??

 

?บ้านยายอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากหรอก อีกไม่นานก็จะถึงแล้ว ถึงเมื่อไหร่แล้วจะบอกนะจ๊ะ?

 

ผม ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ สายตาเพ่งมองไปข้างหน้า ที่มีแสงไฟสาดส่องไปตามเส้นทาง โดยไม่ได้ซักถามหรือพูดคุยอะไรอีก กระทั่งรถวิ่งมาได้อีก 5-6 กิโลเมตร หญิงชราคนนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า

 

?เอ่อ...ถึงแล้ว ตรงปากทางนั่นแหละ ยายจะลงตรงนั้น จอดให้ด้วยนะจ๊ะ?

 

ผมชะลอความเร็วลง พอถึงปากทางแยกก็ค่อยๆ แตะเบรกหักแอบข้างทาง จนรถหยุดอยู่กับที่ หญิงชราก็พูดขึ้นว่า

 

?ยายขอบใจมาก ที่อุตส่าห์มีน้ำใจให้นั่งรถมาด้วยขอบใจนะจ๊ะ?

 

พูด จบแกก็เอื้อมมาหยิบร่มและตะกร้าที่อยู่ข้างๆ ตัวถือติดมือ พร้อมกับเปิดประตูรถก้าวเท้าออกไป และโบกมือให้ผมไหวๆ ผมจึงขับรถเคลื่อนตัวออกมาจากบริเวณนั้นช้าๆ

 

แสงจันทร์บนท้องฟ้าสาดส่องลงมาเบื้องล่างพอมองเห็นผมขับรถออกมาได้สักระยะหนึ่ง ก็เหลือบมองดูกระจกส่องหลัง

 

ฉับพลัน! ผมก็แทบสะดุ้งโหยงตื่นตกใจ เพราะมองเห็นร่างของหญิงชราในชุดสีดำกำลังยื่นมือยาวๆ ไล่หลังผมอย่างกระชั้นชิด

 

มัน เหมือนกับนางนาคพระโขนง ที่เคยดูในภาพยนตร์ทำนองนั้น เล่นเอาผมแทบหัวใจวาย รีบเหยียบคันเร่งเต็มที่ จนรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการขวัญผวาอย่างหนัก

 
 

เรื่องโดย...นิรนาม ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on

Written by on

ผีขึ้นแท็กซี่

?โน้ต? เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแท็กซี่สยอง เมื่อเดือนที่แล้วผมพาน้องแก้มแฟนของผมไปดูหนังรอบดึกแถวอนุสาวรีย์ กว่าหนังจะ เลิกก็ตีหนึ่งกว่าแล้วล่ะครับเราต้องออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อไปส่งแก้มถึง บ้านที่รามอินทรา อากาศคืนนั้นเย็นสบายเพราะฝนเพิ่งหยุดตก มันชุ่มฉ่ำและโรแมนติกน่าดู เมื่อผมออกมาริมถนนก็มองเห็นแท็กซี่คันหนึ่งสีชมพูจอดอยู่ริมขอบทางเพื่อรอ รับผู้โดยสาร ผมตรงดิ่งไปที่รถคันนั้นทันที แต่น้องแก้มดึงมือผมไว้ก่อน

 

?นั่น! มีคนขึ้นไปแล้ว รอเรียกคันอื่นเถอะ? เธอพูดเบาๆ น้ำเสียงปกติ แต่ผมซิต้องแปลกใจมากเชียว เพราะภายใต้แสงไฟสว่างจ้า ผมไม่เห็นมีใครขึ้นแท็กซี่คันนั้นเลยสักคน

 

?ตา ฝาดหรือเปล่าจ๊ะแก้ม? พี่ไม่เห็นใครเลยนะ? ผมพูดขำๆ แต่เธอไม่ขำด้วย มองหน้าผมงงๆ แล้วบอกว่าจริงๆ นะ เมื่อกี้มีผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือกันอยู่ ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่ แก้มยังเห็นว่าผู้ชายนุ่งกางเกงยีนส์ขาลีบ สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ส่วนผู้หญิงนุ่งขาสั้น เสื้อแขนพองสีแดงลายสกอต! เห็นละเอียดขนาดนั้นเลยล่ะครับ

 

แก้ม เล่าว่าคนทั้งคู่เปิดประตูรถแท็กซี่ด้านหลังขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตู แต่เธอเอะใจว่าทำไมแท็กซี่ยังจอดนิ่งอยู่ ไม่ออกรถไปซะที มิหนำซ้ำตัวผมมเองก็ทำท่าตรงรี่จะไปขึ้นรถคันนั้น

 

น้อง แก้มทำตาปริบๆ อย่างงงงันและบอกผมว่า เดินไปดูกันดีกว่า ว่ามีคนนั่งในแท็กซี่คันนั้นหรือไม่? มือเธอเย็นเฉียบขณะที่ผมจูงเธอไปชะโงกดู และเห็นชัดๆ ว่าเบาะหลังว่างเปล่า...โชเฟอร์ขยับตัวพร้อมที่จะบริการเรา น้องแก้มครางแล้วบอกว่าเธอกลัวมาก ไม่กล้าขึ้นรถคันนี้ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ แถวนี้เหลือแท็กซี่อยู่คันเดียวและมันก็ดึกมากแล้วด้วย

 

ผม เปิดประตูก้าวเข้าไปนั่ง น้องแก้มทำหน้ามุ่ยเหมือนอยากร้องไห้ ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวตามผมเข้ามา ผมบอกให้โชเฟอร์ใช้ทางด่วนเลยจะได้ถึงบ้านน้องแก้มเร็วๆ

 

ใน รถคันนั้นทีแรกก็มีกลิ่นใบเตยหอมๆ ผมเห็นใบเตยมัดใหญ่กองสุมอยู่ด้านหลังของเบาะ แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ ผมเกิดได้กลิ่นคล้ายโรงพยาบาล มันแปลกมากครับ น้องแก้มเองก็คงได้กลิ่นเหมือนกัน...กระตุกมือผมแล้วเบียดตัวเข้ามาท่าทาง หวาดกลัวอะไรบางอย่าง
อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

ราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านน้องแก้มโดยปลอดภัย ผมส่งเธอเข้าบ้านแล้วใช้บริการแท็กซี่คันเดิมให้ไปส่งที่ศรีย่าน บ้านผมอยู่แถวนั้นครับ

 

ขณะ ที่นั่งรถมาตามลำพัง ผมก็ได้ทีถามโชเฟอร์ว่ารถคันนี้มีอะไรรึเปล่า? โชเฟอร์พูดว่า ?ไม่มีอะไรหรอกพี่ แต่พี่ถามขึ้นมาก็ดีแล้ว ผมรู้สึกมีอะไรแปลกๆ?

 

มันแปลกยังไงหรือครับ?

 

โชเฟอร์ เล่าว่า ตลอดทางที่วิ่งมา เขามองกระจกหลังและเห็นเป็นคนสี่คนนั่งอยู่ คือมีผมกับน้องแก้มซึ่งนั่งชิดกันแถวกลางเบาะ แต่มีเงาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านน้องแก้ม และผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านผม! จะว่าตาฝาดหรือเงาหลอนก็ไม่ใช่

 

เอา ล่ะสิ! ผมชักหนาวๆ ร้อนๆ เลยพูดกับโชเฟอร์ตามตรงว่า ก่อนที่ผมจะเปิดประตูมานั่งในรถเขาน่ะ แฟนผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามานั่งก่อน!

 

?ผม บอกจริงๆ นะพี่ ว่าก่อนพี่จะมาถึงรถผมน่ะ ผมรู้สึกว่ารถผมมันยวบเหมือนมีใครขึ้นมานั่งจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรไง...โอย! ผมจะทำไงเนี่ยย??

 

ขากลับนี่เราไม่ได้ขึ้นทางด่วนนะครับ แต่มาตามทางปกติและเรื่องที่เราสอบถามกันไปมานี่น่ะ ทำเอาเราหนาวๆ ร้อนๆ ทั้งคู่

 

ทันใดนั้น โชเฟอร์ร้องออกมาเบาๆ ?โอ๊ย! พี่...ผมไม่ไหวแล้ว?

 

เขาเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันข้างทางแล้วรีบลงจากรถทันที ผมก็ตาเหลือกสิครับ รีบตะกายลงจากรถตามเขาแล้วถามว่าอะไรเหรอ? เขาเห็นอะไร?

 

?ผมเห็นอีกแล้ว! ผู้ชายผู้หญิงคู่นั้น เขานั่งอยู่ข้างพี่! ไม่ใช่ผีแล้ววอะไรล่ะ??

 

เขา ยืนยันว่าในรถเขาไม่เคยมีประวัติภูตผีปีศาจใดๆ ทั้งสิ้นสิ่งที่อยู่ในรถต้องเป็นผีจากแถวอนุสาวรีย์แน่ๆ เป็นใครมาจากไหน? ตายยังไงก็สุดรู้! ผมเดาว่าคงเป็นหนุ่มสาวจากปรโลกที่ชวนกันมาเที่ยว...โธ่! แล้วมานั่งแท็กซี่นี่ทำไม? จะไปไหนกันหรือครับ?

 

โชเฟอร์ มือไม้อ่อน บอกว่าขับไม่ไหวแน่ๆ ต้องจอดอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีผู้โดยสารเรียก หรือจนกว่าจะเช้า ส่วนผมต้องเรียกแท็กซี่คันอื่นกลับบ้านล่ะครับ!

 

ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ข่าวสด

Written by on

Written by on

จะเอาไปอยู่ด้วย

พี่อ้อ เป็นลูกของป้าแท้ๆ ของผม พี่อ้อแต่งงานมีครอบครัวแล้วและมีลูก 1 คน แต่สามีของพี่อ้อต้องมาเสียชีวิตลง เมื่อปี 50 นี่เอง ด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว

 

วันที่สามีของพี่อ้อจะจากไปนั้น เขาบอกให้พี่อ้อไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เพราะว่ามีคนมารับแล้ว จากนั้นสามีของพี่อ้อก็ได้สิ้นลม

 

ศพ ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดศรีสะเกษบ้านเกิดสามีของพี่อ้อ เมื่อสิ้นสุดงานศพ พี่อ้อก็ได้ลาออกจากการเป็นพยาบาล และกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดสุรินทร์

 

อ้อ... ผมลืมบอกไปว่า พี่อ้อมีอาชีพเป็นพยาบาล ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คืนแรกที่พี่อ้อนอนที่บ้านนั้น พอเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันและมีคนมาโวยวายอยู่หน้าบ้าน หมาเจ้ากรรมก็ดันหอนกันซะงั้น

 

ยาย ของผมท่านบอกว่าได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูบ้านหลายครั้งมาก พอยายกับแม่ถามออกไปก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยสักนิด แต่เสียงเคาะประตูก็เคาะอยู่อย่างนั้นยายก็เลยพูดขึ้นว่า

 

?ไปแล้ว...ก็ขอให้ไปสบายนะ ไม่ต้องห่วงยายหรอก?

 

จาก นั้นก็ไม่มีเสียงเคาะประตูอีกเลย ที่ยายผมพูดไปแบบนั้น เพราะว่าสามีของพี่อ้อบอกกับยายว่า สงกรานต์จะกลับมาทาสีบ้านให้ แต่ก็ไม่ทันได้กลับมาเพราะมาเสียชีวิตก่อน พอเช้ามายายผมก็เลยเล่าให้พี่อ้อฟัง พี่อ้อเลยบอกกับยายว่า

 

?เมื่อคืนก็มาหาหนุเหมือนกัน มีเสียงเหมือนคนโวยวายอยู่หน้าบ้าน สงสัยเจ้าที่ท่านไม่ให้เข้าบ้าน?

 

พอ คืนที่ 2 ก็ทำให้พี่อ้อพบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อนเลยในชีวิต คืนนั้นพี่อ้อบอกว่า ได้ยินเสียงหมาเห่าหอนกันถ้วนหน้าจริงๆ หนักกว่าเมื่อคืนอีก พอเคลิ้มจะหลับก็ได้ยินอีกแล้ว เสียงคนทะเลาะโวยวายกันอยู่หน้าบ้านดูเหมือนคืนนี้จะรุนแรงกว่าคืนแรกเสีย อีก
อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

สัก พักพี่อ้อก็เริ่มรู้สึกหายใจติดๆ ขัดๆ หายใจไม่ออกเหมือนมีอะไรมาทับไว้ยังไงยังงั้น ในความรู้สึกของพี่อ้อ พี่อ้อลืมตาขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วพี่อ้อลืมตาไม่ได้เลย พี่อ้อมองเห็นใครบางคนนั่งทับอยู่บนตัวและมือนั้นกำลังบีบคดพี่อ้ออยู่

 

ตอน นั้นพี่อ้อกลัวแทบช็อกเลยล่ะ เพราะที่นั่งอยู่บนตัวเธอนั้น ก็คือสามีของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเองนาทีนั้นพี่อ้อได้ยินเค้าพูดว่า

 

?ไปอยู่ด้วยกันนะ?

 

แต่พี่อ้อไม่ยอมพยายามดิ้นรน แต่ก็ขยับไม่ได้เลย จนพี่อ้อจะทนไม่ไหวเหมือนจะขาดใจ เลยพูดขึ้นมาว่า

 

?ถ้าไปแล้วใครจะอยู่ดูแลลูกของเรา?

 

เท่า นั้นแหละ ผีสามีเธอก็หายไปต่อหน้าต่อตาจากนั้นพี่อ้อก็เปิดไฟร้องโวยวายลั่นบ้าน จนทุกคนในบ้านตื่นกันหมด ต่างรีบวิ่งมาดูว่าพี่อ้อเป็นอะไร พี่อ้อนั่งร้องห่มร้องไห้และเล่าให้ทุกคนฟัง

 

คืนนั้นทั้งคืนพี่อ้อหลับไม่ลงเลย เช้ามาทุกคนก็ไปทำบุญให้สามีของพี่อ้อ จากนั้นพี่อ้อก็ไม่เคยเห็นวิญญาณสามีของเธออีกเลย

 
 

เรื่องโดย...ขุมดิน ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on

Written by on

นายจ๋าอย่าสร้างเลย

โครงการสร้างถนนของโครงการเร่งรัดพัฒนาชนบท ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่มีนโยบายนำถนนสู่ชนบท ดังคำขวัญที่ว่า น้ำไหล ไฟ สว่าง ทางดี มีตลาด ทำให้รัฐบาลในยุค พ.ศ.2515 เร่งสร้างถนนเป็นนโยบายหลัก ประกอบในยุคนั้นรัฐบาลต้องต่อสู้กับการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ สมัยนั้น

ถ้า ใครมีอายุประมาณเกือบเลข 4 คงจะเคยได้ยินนโยบายป่าล้อมเมืองของลัทธิดังกล่าวนโยบายป่าล้อมเมืองนั้น คอมมิวนิสต์เขาจะเข้าไปปลุกระดมมวลชนที่อยู่ห่างไกลความเจริญในถิ่นที่ขาด แคลน โดยเฉพาะชาวไร่ ชาวนา เขาจะเข้าไปผูกมิตรกับชาวบ้าน และช่วยเหลือทางด้านความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็จะโจมตีรัฐบาลว่า

เห็น ไหม คนในเมืองมีความสะดวกสบาย ไฟฟ้ามีใช้กัน เปิดทีวี ฟังเพลงกันอย่างมีความสุข เข้าไปดูหนังดูละครแสนสบาย แต่พวกเรา ยังใช้จุดตะเกียงน้ำมัน ถนนหนทางในเมืองหลวง รถวิ่งกันสบาย ดูบ้านเราซิ ถนนควายยังไม่อยากเดินเลย

ด้วย เหตุนี้เอง ที่รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วน จะต้องพัฒนาชนบทให้เร็วเพราะถนนเป็นสิ่งที่นำความเจริญไปสู่ชนบท การก่อสร้างถนนทั่วประเทศไทยจึงเกิดขึ้นทันที

หมู่ บ้านโพธิ์ไชย เป็นหมู่บ้านหนึ่งในโครงการตัดถนน ไปสู่อำเภอมัญจาคีรีและเชื่อมกันถึงตัวจังหวัด การสร้างถนนสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ตัดและโค่นต้นไม้ เส้นทางเป้าหมายของนายช่างเป็นป่าดงดิบ เป็นเนิน เป็นหลุม เป็นบ่อน้ำ ขุดที่ดอนที่เนิน ถมบ่อน้ำ ขุดบ่อทำถนนตามเส้นทางต้องใช้รถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ปรับสภาพก่อน เช่น โคนต้นไม้ ไถดะ ไม่ว่าที่เนินศาลเก่าๆ ต้นไม้ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ล้วนเรียบโล่งเตียน เสียงรถแทรกเตอร์และเครื่องจักรทำถนนกันทั้งวันทั้งคืนชาวบ้านแตกตื่น ตื่นเต้นระคนตกใจ จูงลูกหลานพากันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น รถไถ รถแทรกเตอร์ และเครื่องจักรทำถนนขนาดใหญ่ กำลังไถและขุดตอไม้เป็นว่าเล่น

การ ทำถนนสมัยก่อนใช้เวลาเป็นแรมปี กว่าจะได้ถนนความยาวแค่ 500 เมตร เพราะอุปสรรคมีนานาประการ อุปสรรคที่สำคัญคือความลี้ลับ (ผี) นายช่างกับคนงาน ที่รับงานทำถนนในคราวนั้นมีเกือบ 20 คน เห็นจะได้ เป็นผู้ชายทั้งหมด หลังจากทำงานหนักทั้งวันตกเย็นคนงานก็กางเต็นท์นอนบริเวณที่ก่อสร้างนั้นเอง ด้วยความเมื่อยล้า ทุกคนหลับสนิททั้งคืน คืนแรกผ่านไปด้วยดี ตื่นเช้ามานายช่างพูดอย่างสบายใจว่า

?ดี จังเลย เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี การสร้างถนนคราวนี้คงเสร็จเร็วก่อนกำหนด?หลังจากคนงานรับประทานอาหารเช้า คนงานขึ้นประจำรถแทรกเตอร์ของงตนตามหน้าที่ บางคันโค่นต้นไม้ บางคันขุดดินถมบ่อน้ำ เสียงเครื่องยนต์ ดังกึกก้องไปทั่วป่าตลอดทั้งวัน ประมาณ บ่าย 3 โมงเย็น?นายช่างครับ นายช่างเชิญทางนี้หน่อยครับ คนขับรถเป็นอะไรไม่รู้? เป็นคนงานคันหนึ่ง วิ่งมาเรียก พอนายช่างไปถึงก็พบรถแทรกเตอร์คันหนึ่งสงบนิ่งอยู่กลางบ่อ คนขับนั่งตัวสั่นอยู่บนรถพอนายช่างเห็นก็ถึงบางอ้อทันที เหตุการณ์แบบนี้เขาพบบ่อยๆ การก่อสร้างถนนมีแบบนี้จนชินแล้วนายช่างบอกให้คนงานคนหนึ่งให้ไปที่ เต็นท์นอนของเขาหยิบเอารูปเหมือนที่เป็นภาพถ่าย ของสมเด็จพระปิยมหาราช (รัชกาลที่ 5) พอได้แล้วนายช่างก็ถือรูปตรงไปยังรถแทรกเตอร์
อ่านต่อตอนจบ..

เหตุการณ์ เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น คนขับรถที่อยู่บนรถและตัวสั่นอยู่นั้นลงมาด้านล่าง นั่งคุกเข่า ทำท่าเหมือนถวายบังคม ปากก็พูดภาษาที่ไม่สามารถจับใจความได้แล้วเขาก็สลบไป ?เอาเขาไปพักผ่อน และวันนี้เลิกงานแค่นี้? นายช่างสั่งคนงาน แล้วก็เดินจากไปทุกคนในเหตุการณ์ต่างตกใจกลัว และสงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้น และจบไปอย่างรวดเร็วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ไม่กล้าถามนายช่างได้แต่เก็บความสงสัยไปคิดต่อในที่พักของตนเองคืนนั้น คนงานหลับสนิทสังเกตได้จากเสียงกรนที่ส่งเสียงออกมาจากละเต็นท์ดังสนั่นไม่ น้อยหน้ากันเช้าตรู่ คนงานขับรถที่ถูกผีเข้าเมื่อวานเข้าไปหานายช่างแล้วเล่าว่า

?นาย ช่าง เมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลยทั้งคืนไม่รู้เป็นอะไร จะปลุกเพื่อนก็สงสารทำงานเหนื่อยทั้งวัน แถมกลัวเพื่อนล้อว่าเป็นคนขี้กลัว? เขาเล่าต่อว่า ผมนอนไม่หลับก็ออกมานอกที่พัก นั่งดูดบุหรี่เงียบๆ คนเดียว ทันใดนั้น ผมเห็นเงารางๆ ในความมืดเหมือนเด็กผู้หญิงยืนอยู่ ผมคิดในใจว่าคนจะมาขโมยอะไหล่รถมั้ง ผมก็ค่อยแอบเดินเข้าไปตามเงา แต่ว่ามีลางบอกว่ามีคนอยู่ข้างหลัง ขณะผมคิดว่าจะหันหลังมาดูหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อมีมือใครไม่รู้เย็นวาบมาจับ ที่ข้อมือขวา ก่อนที่ผมจะพูดอะไร

?น้า น้า แม่ให้มาเรียกไปหาที่บ้านหน่อย แม่เขาไม่กล้ามา? เสียงนั้นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผมค่อยใจชื้นขึ้นมานิดเด็กคนนั้นพาผมเดินไปในถนนที่มีแสงสลัวๆ จากดวงดาวคืนข้างขึ้นได้ประมาณ 150 เมตร เห็นจะได้ ก็ไปพบบ้านหลังหนึ่ง พบคนมากมายกำลังนั่งอยู่คล้ายๆ กับจะประชุมอะไรกันสักอย่าง มีชายคนหนึ่ง แต่งตัวภูมิฐานคงจะเป็นหัวหน้าเดินมาหาผม แล้วพูดว่า?พวกคุณมาที่นี่ มาทำให้พวกเราเดือดร้อนบ้านหลายหลังถูกพวกคุณทำลาย หลายครอบครัวไม่มีที่อยู่คนที่เป็นพวกคุณไม่รู้หรอกบริเวณแถบนี้เป็นหมู่ บ้านของพวกเรา พวกคุณต้องหยุด ถ้าไม่หยุดเราจะได้เห็นดีกัน คุณช่วยเป็นธุระไปบอกหัวหน้าคุณด้วยนะ? พอผมอ้าปากจะพูด ก็พูดไม่ออกเหมือนมีอะไรมาติดที่หลอดคอ แล้วเด็กผู้หญิงคนเดิมก็ดึงแขนผมกลับและพูดว่า?ไปเถอะน้า ฉันจะไปส่ง? เด็กพาผมเดินมาถึงท้ายรถ เขาบอกว่า?แค่นี้นะ? ผมหันมองจะพูดขอบใจ แต่แทนที่จะพูดกลับขนลุกซู่แทน เพราะเด็กคนนั้นหายไปแล้ว

นาย ช่างผู้มากด้วยประสบการณ์เข้าใจในเหตุการณ์เขาไม่อยากเสี่ยงกับความตาย เสี่ยงกับความสูญเสียโดยเฉพาะสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นด้วยตา เขาไม่กล้าคิดว่าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างงานอาจไม่เสร็จ คนงานหรือตัวเขาเองก็อาจเป็นอันตรายได้เพื่อเป็นการสร้างขวัญและสร้างกำลัง ใจในการทำงาน เขาสั่งให้คนงานหยุดงานแล้วระดมการสร้างศาลหลังเล็กๆ ขึ้นมาให้มากเท่าที่จะมากได้ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดก็คงประมาณสองร้อยศาลเห็นจะได้ แล้วนำศาลที่สร้างเสร็จมาตั้งเรียงกันเป็นสัดส่วน ข้างถนนที่ก่อสร้าง นำอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไว้ในศาลตั้งเครื่องเซ่นไหว้ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ไก่ต้มครึ่งสุกครึ่งดิบและเหล้าขาวสี่สิบดีกรี และผลไม้นานาชนิดเป็นส่วนประกอบนายช่างเริ่มจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา และอัญเชิญดวงวิญญาณขึ้นสู่บ้านหลังใหม่ว่ามาที่นี่ไม่ได้ลบหลู่ล่วงเกิน อะไร มาเพื่อสร้างฐานะความอยู่ดี ความมั่งคั่งมาให้บุตรหลาน และเชิญบริโภคอาหารเพื่อความสุขความเจริญทั้งผู้เชิญและผู้รับตลอดไปหลังจาก ทำพิธีบวงสวงเซ่นไหว้ เหตุการณ์เงียบสงบเรียบร้อยดี การสร้างถนนก็ราบรื่นไม่มีผีเข้าไม่มีฝันร้ายหรือวิญญาณมารบกวนอีกเลย แต่กว่าการสร้างถนนสายนี้จะเรียบร้อยใช้งานได้ก็ใช้เวลาเกือบปี

เรื่องวิญญาณสงบลงแล้ว แต่กลับมีเรื่องให้นายช่างปวดหัวอีกคือ เกิดศึกรัก ของคนงานสร้างถนนกับหญิงสาวชาวบ้านเข้ามาแทน ฮะ ฮ

เรื่องโดย...อ.อัครเมธี

Written by on

Written by on

มาไม่ถึงร้าน

วัน ก่อนผมไปที่ห้างฯเอาของลงและเข้าไปเช็คสต๊อกเหมือนทุกครั้ง...หลังจากทำธุระ ส่วนตัวเรียบร้อย เช็คของ ลงรหัสสินค้าแม้กระทั่งบาร์โค้ดเสร็จครบทุกอย่างแล้ว ผมก็ออกมาข้างนอก เตรียมตัวจะกลับไปที่โรงงาน แต่เผอิญช่วงที่ออกมา ผมเจอนายตี๋ หัวหน้า รปภ. ประจำห้างเข้าซะก่อน

 

?อ้าวคุณมด จะกลับแล้วรึครับ??นาย ตี๋ทักทายผม พลางเชื้อเชิญให้เข้ามานั่งเล่นนั่งคุยกันก่อน ผมเห็นว่าท่าจะดีเพราะวันนี้ผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรประกอบกับงานในส่วนรับผิด ชอบก็แล้วเสร็จทุกอย่างดังนั้น ผมเลยทำตามคำชักชวนของนายตี๋ เข้ามานั่งเล่นนั่งคุยกับเค้า?ไง ออกเวรแล้วเรอะ เป็นไงบ้างล่ะ...??ผมถามไป แต่ดูหน้านายตี๋ ไม่ค่อยดีเลย ผมเลยลองเลียบๆ เคียงๆ ไถ่ถามดู?...แล้วนี่เป็นอะไรไปล่ะตี๋...สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนี่ ไม่สบายเรอะ...??

 

นาย ตี๋ส่ายหน้า บอกว่าไม่ใช่ไม่สบาย เพียงแต่ว่าเมื่อคืนนี้ เค้ากับลูกน้องสองสามคนเจอเรื่องที่ไม่ค่อยจจะสู้ดีนัก จะว่ามันเป็นความซวยก็คงได้?เรื่องอะไรเรอะ?? ผมสงสัยทันที นายตี๋บอกว่า?...ก็เมื่อคืนนี้น่ะซิครับ ผมเดินยามอยู่ ช่วงๆ กลางดึกก็ได้ยินเสียงประหลาดๆ ก็เลยตามลูกน้องสองคนออกมาดูด้วยกัน...ส่วนคนอื่นๆ ก็คุมแถวๆ นี้ไว้เราเดินตามกันไปดูว่าเสียงที่ว่ามันเป็นเสียงอะไร??แล้วเสียงมันดัง ยังไงล่ะ?? ผมถามต่อ?อืมม์ จะว่าไป เสียงมันเหมือนเสียงน้ำเดือด หรือเสียงหวีดๆ แหลมๆ ดังยาวๆ นานๆ น่ะแหละครับ ผมสงสัยมาก กลัวว่าแก๊สที่ร้านค้าแถวๆ นี้มันจะรั่วรึยังไง...แบบนี้ทิ้งไว้ไม่ได้ ก็เลยตามลูกน้อง สองสามคนไปดูด้วยกัน"ตอนเดินไปหลังห้าง ผมเห็นพวกนายหนุ่ม เดินยามอยู่ข้างใน ผมก็วอ.ไปถามว่ามีอะไรผิดปกติมั้ย เค้าก็ว่าไม่มีแต่ตอนที่ผมวอ.เสียงหวีดที่ว่ามันยังดังอยู่เลยนะเราเดินกัน ไปหลังห้าง...แต่ยังไม่ทันไปถึงเลย...?พวกเราก็ดันไปเจอต้นตอเสียงหวีดที่ ว่า เข้าเสียก่อน...??แล้วมันเสียงอะไรล่ะ อาตี๋...??

 

คำ ถามนี้เป็นเสียงของคุณลุงแก่ๆ ที่เปิดร้านขายขนมเล็กๆ อยู่ข้างๆ ห้างที่พวกเรามานั่งคุยในร้านแกนี่แหละ ร้านแกเช่าพื้นที่ในห้างมาทำการค้า...แกเป็นคนต่างจังหวัด และออกจะสนิทสนมกับพนักงานห้างหรือพวกยามและรปภ.เป็นที่สุด?...นี่แหละ ลุง ผมกำลังจะเล่าอยู่นี่แหละ...ไอ้เสียงที่ว่านั้น มันเป็นเสียง...เปรต...เสียงเปรต คุณมด...ผมกับเด็กๆ ตกใจแทบช๊อกเลย มันยืนสูงเด่นตระหง่าน เห็นเป็นเงาดำมืดสูงปรี๊ดอยู่หลังห้างนี่เอง...แล้วไอ้เสียงหวีดดังๆ ยาวๆ ก็ดังมาจากตัวมันนี่แหละ ผมกับลูกน้องแข้งขาสั่นไปหมดไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวแบบนี้เลย...อู๊ย พูดแล้วขนยังลุกอยู่เลยดูซิลุง?แกว่าแล้วก็เอามือลูบแขนอยู่ไปมา...ท่าทางแก ยังกลัวไม่หายเหมือนกัน?ฮื้อ โดนแบบนี้ ยังไงไปทำบุญซะนะ อาตี๋ เพราะที่เค้ามาปรากฏร่างให้เห็น่ะท่าทางเค้าจะมาขอส่วนบุญอาตี๋รับได้เค้าก็ เลยมาให้เห็นนั่นแหละ...ยังไงๆ ตามลูกน้องที่เห็นด้วยกัน ไปทำบุญให้ซะ...รู้มั้ย??นายตี๋รับคำ ในขณะที่ผมสั่งกาแฟเย็นจากคุณลุง มาทานไปแล้วนั่งคุยไปพร้อมๆ กับนายตี๋และคุณลุง เราคุยกันสารพัดเรื่อง สุดท้ายคุณลุงแกก็พูดขึ้นมาว่า... อ่านต่อตอน2

ตอน 2

 

?...อืมม์ แบบนี้อาตี๋ ท่าจะมีเซ้นซ์ที่สื่อสารกับผี หรือคนตายได้...ดีๆ อีแบบนี้ เกิดลุงตายไปจะมาหาอาตี๋นี่แหละเป็นคนแรก...?

 

นาย ตี๋รีบโวยวายว่าไม่ต้องมาเลยนะลุง แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะกันใหญ่...ในขณะที่ทั้งสองคนคุยกัน ผมกลับรู้สึกแปล๊บๆ กับคำพูดของคุณลุงแก อาการแบบนี้ผมเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมเชื่อว่ามันน่าจะเป็นลางสังหรณ์อะไรสักอย่างเป็นแน่ แต่ทว่าในวันนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยแล้วก็นั่งคุยอยู่อย่างนั้น จนทานกาแฟเย็นหมดแก้ว ผมก็ขอตัวกลับ ก่อนจะกลับผมลานายตี๋และคุณลุง แกก็บอกว่า

 

?ไว้ คราวหน้ามาคุยกันใหม่นะคุณมด...แต่...เอ...ไม่รู้คุณมดจะมาเมื่อไหร่ เพราะผมกะจะขึ้นไปเยี่ยมหลานที่บ้านสักหน่อย...คราวนี้คงไปนานเหมือนกัน ไม่รู้ว่าได้เจอกันอีกมั้ยเพราะขายที่นี่ ผมก็เหนื่อยมากแล้วว่าจะให้ลูกๆ หลานๆ มาขายแทน...ยังไงดูก่อน...แล้วกัน โชคดีนะคุณมด?ผมยกมือไหว้ ลาคุณลุงแกออกมา โดยยังมีความรู้สึกแปล๊บๆ ที่ว่านั้นอยู่...แล้วหลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้กลับไปที่ห้างนั้นเลย จนเวลาล่วงเลยมาอีกในราวสองสัปดาห์...

 

?...ปรากฏ ว่าทางห้างฯโดยคุณเก๋ที่เป็นลูกน้องพี่อ้อมแผนกจัดซื้อ แกโทรมาหาผมถามว่ามีสินค้าใหม่ๆ บ้างมั้ย ผมก็ว่ายังไม่มีเลย กำลังผลิตอยู่...แล้วแกก็บอกว่า ให้นำสินค้าสองสามตัวมาเติมได้แล้วเพราะของพร่องไปมาก แสดงว่าขายดี ผมก็เลยเตรียมของขึ้นรถ กะว่าจะไปลงของที่ห้างบ่ายนี้?ผมถามคุณเก๋ว่า แล้วคราวนี้ ผมต้องไปขอรหัสอีกมั้ย หรือว่าลงรหัสเก่าได้เลย คุณเก๋ก็ว่าใช้รหัสและบาร์โค้ดเก่าได้ ยังไงแค่เอาใบส่งสินค้ามาให้เซ็นก็พอแล้วบ่ายวันนั้นฝนตกลงมาแต่ผมอยู่กลาง ทางกำลังลังเลว่า จะเอายังไงดีสุดท้ายก็ตัดสินใจไปที่ห้าง พอไปถึงห้างฝนก็หยุดขาดเม็ดไปแล้วผมเอารถลงไปที่ลานจอดแล้วขนของพร้อมเอา บัตรจอดรถให้ทางหน้าร้านแสต็มป์มาด้วยเลยการขนส่งและวางของจัดของขึ้นชั้น คราวนี้ไม่ช้าอย่างที่คิด เพราะไม่ต้องขอรหัสและบาร์โค้ดใหม่ เพียงแต่เอาใบส่งของไปให้พนักงานหน้าร้านเซ็นว่าได้รับของแล้วก็เท่านั้น

 

หลัง จากส่งของเสร็จ ผมก็ลงมากะว่าจะไปหาอะไรดื่มเหมือนทุกครั้ง พอลงมาก็เจอนายตี๋ นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าห้าง พอนายตี๋เห็นผมเข้าก็เรียกเหมือนเคย ผมเลยชวนไปทานน้ำร้านคุณลุงพูดถึงตรงนี้ นายตี๋สะดุ้งเฮือกทันที ผมเห็นว่าแกผิดสังเกต ออกอาการไม่ปกติก็ถามว่า แกเป็นอะไรไปรึเปล่า?แกมองหน้าผม และถอนหายใจดังเฮือก ก่อนจะบอกว่า

 

?...นี่ท่าทางคุณมด จะยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะซิเนี่ย??ผมงงๆ ได้แต่ส่ายหน้าแล้วถามนายตี๋ว่า เรื่องอะไร... อ่านต่อตอน3

ตอน 3

 

?ทำไม มีเรื่องอะไรกันรึ??นายตี๋ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะลากแขนผมมานั่งที่ข้างๆ เคาน์เตอร์ พลางบอกว่า

 

?คุณ มดคงยังไม่รู้...คุณลุงขายน้ำ แกตายแล้วนะ...?ผมตกใจ ร้อง ฮ๊า...ดังลั่น อะไรกัน ก็วันก่อนผมผ่านมาก็ยังเห็นแกอยู่เลยนี่นา แล้วไหงตอนนี้นายตี๋ มาบอกว่าแก...?จริงๆ คุณมด คุณลุงแกเสียไปแล้ว เสียไปเมื่อวันก่อนนี่เอง แกประสบอุบัติเหตุรถคว่ำระหว่างเดินทางกลับมาที่กรุงเทพฯนี่แหละ...น่า เสียดายแกมาไม่ถึงร้าน...ไม่ซิ คงจะมาถถึงแล้วล่ะ...?นายตี๋ พูดอยย่างเศร้าๆ ผมถามว่าแล้วแกรู้ข่าวได้ยังไง นายตี่อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะกระซิบบอกผมเบาๆ ว่า?ไม่รู้ ผมเล่าไปคุณมดจะเชื่อผมรึเปล่า...แต่ทว่าคืนนั้นผมเจออะไรแบบนี้ พบกับคุณลุงแกแบบนี้จริงๆ แกมาหาผมถึงที่นี่นั่นแหละ ผมเองก็สงสัยและเอะใจว่ามันยังไงกัน...?แล้วนายตี๋ก็เล่าเรื่องที่เค้าเผชิญ มาให้ผมฟังว่า?...เรื่องของเรื่อง...มันนี่เลย...คุณมด...?เค้าว่าพลางถอน หายใจอีกเฮือกใหญ่ นิ่งไปชั่วครู่ แล้วก็เล่าเรื่องเหล่านั้นออกมาช้าๆ ...?...วันนั้น ผมอยู่ยาม เราเป็นหัวหน้ารปภ.ก็ต้องมาก่อน...ผมสงสัยมาหลายวันแล้ว เห็นว่าก่อนหน้านั้น ลุงแกว่าจากลับบ้าน แกก็เที่ยวไปลาคนนั้นคนนี้เพราะคนแถวนี้พ่อค้าแม่ค้าสนิทกับแกทั้งนั้น...?

 

วัน นั้น แกยังมาลาผมเลย...มาให้ศีลให้พร บอกว่ายังไม่รู้นะว่าจะได้กลับมารึเปล่าถ้าเป็นคนอื่นมาอยู่ร้านแทน ก็แปลว่าแกต้องอยู่ทางโน้น เพื่อดูแลหลานแกแล้ว?โชคดีนะตี่...แล้วยังไงลุงจะติดต่อมาหาตี๋อีก...แกว่า ยังงั้น...แล้วแกก็ออกไป?

 

นาย ตี๋ ถอนหายใจดังเฮือกพร้อมกับบอกว่า...?...แต่ผมไม่คิดเลยนะคุณมด...ไม่คิดว่า ไอ้ที่ผมเห็นแกวันนั้น มันจะเป็นครั้งสุดท้ายไปได้...?...แกหายไปหลายวัน ปิดร้านเอาผ้าคลุมเก็บของทุกอย่างล็อกกุญแจอย่างดีเลย แล้วก่อนจะไปแกก็ฝากร้านไว้กับผมพร้อมกับบอกว่า?...ถ้าลุงไม่ได้กลับมา ยังไงคนที่ดูแลร้านแทนลุง ก็น่าจะเป็นลูกหรือหลานของแกคนใดคนหนึ่ง ยังไงลุงไหว้วานตี๋ ช่วยดูแลเค้าด้วยก็แล้วกันนะ...แต่ถ้าไม่มีอะไร ลุงก็จะกลับมาขายน้ำอย่างเดิม...? แกว่าอย่างนั้นผมก็ว่า เอาเถอะลุง ไม่ต้องห่วง ถ้าหลานลุงมา มีอะไรช่วยได้ผมก้จะช่วยเหลือทุกๆ อย่างก็แล้วกัน เพราะผมคิดกับแกว่า...คุณลุงแก ถึงแม้ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ...?...สมัยที่ผมเพิ่งมาเป็นรปภ.ที่นี่ใหม่ๆ มีอะไรแกก็คุยกับผม มีอะไรก็ช่วยเหลือผม เลี้ยงน้ำ เลี้ยงข้าวผมสารพัดผมจะตอบแทนแกได้ก็คราวนี้แหละ...?นายตี๋ เค้าว่าอย่างนั้น แล้วก็นิ่งลำดับเรื่องราวก่อนจะเล่าต่อว่า?...ในอีกสองสามวันต่อมา วันนั้นฝนมันลงหนัก คุณมดจำได้มั้ย...วันอังคารที่ผ่านมานี่แหละ ฝนมันตกหนักตอนบ่ายๆ เรื่อยไปจนหัวค่ำ...?นายตี๋หันมาถามผม ผมพยักหน้าพอจะนึกออก เพราะวันนั้นฝนลงหนักมาก กว่าจะหยุดกว่าจะซา ก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม...แล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฝนมันก็ตกไม่ได้หยุดอีกเลยตกมาจนกระทั่งวันนี้ เพิ่งจะขาดเม็ดเมื่อสักครู่ใหญ่นี่เองและคิดว่าเย็นนี้มันก็คงจะตกอีกผมเลิก สนใจเรื่องฝนหันมาสนใจนายตี๋ ที่กำลังเล่าเรื่องคุณลุงค้างเอาไว้ เค้าเริ่มเล่าต่อว่า?...วันนั้น ฝนมันลงหนักตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ไปจนเย็นรถติดกันเป็นแพ หน้าห้างนี่แทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลย พอฝนซาเกือบจะขาดเม็ดก็นู่น ราวๆ สักทุ่มครึ่งได้...ปรากฏว่าวันนั้น พอฝนซาลูกค้าก็ทยอยกลับกันหมดสองทุ่มในห้างแทบจะไม่มีคนเดินแล้วเพราะฝนมัน ยังไม่หยุดร้านค้าข้างนอกนี่ ปิดร้านกลับไปหมดแล้ว?ขณะที่ฝนมันเริ่มลงหนักมาอีก ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ก็เห็นว่ามีใครบางคนเดินฝ่าสายฝน ไม่กางร่มมาด้วย...?...ผมเพ่งสายตามอง ทีแรกก็ไม่เห็นชัดนัก เพราะฝนมันลงหนัก...พอเค้าเดินมาใกล้ๆ ให้ตายซิคุณมด...เป็นคุณลุงแกเดินตากฝนมา มาถึงก็มาทักทายผม ผมก็สงสัยเอ๊ะ...แกมาทำไม ดึกดื่นแบบนี้? ผมก็ถามแกว่า... อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

 

?อ้าว ลุงกลับมาแล้วเรอะ...ไหงฝ่าฝนมาแบบนี้ล่ะ เดี่ยวก็ไม่สบายหรอก...?แกพูดขึ้นเบาๆ ว่า ?ไม่เป็นไร ลุงชินซะแล้ว...แล้วแกก็เงียบไปอีก? ผมก็เลยถามแกว่า?...ว่าแต่ลุงเหอะ มาทำอะไรตอนนี้ล่ะ ห้างมันจะปิดอยู่แล้วนา คนอื่นๆ เค้าก็กลับไปกันหมดแล้วด้วยวันนี้มันขายไม่ค่อยดี ฝนมันตกทั้งวันเลย?แกก็นิ่ง ไม่พูดอะไร ผมถามคำแกก็ตอบคำ เป็นแบบนี้อยู่แป๊บนึง?แล้วจู่ๆ แกก็พูดว่า ท่าทางลุงจะไม่ได้กลับมาขายของที่นี่อีกแล้วล่ะ ลุงมาที่นี่ก็จะมาลานายตี๋นั่นแหละ ยังไงบอกคนอื่นๆ ด้วยก็แล้วกันนะ?ผมถามว่าทำไมล่ะลุง...ตกลงหลานลุงเค้าให้ลุงอยู่ที่บ้านดู แลหลานเรอะ...?แกก็ว่าไม่ใช่ๆ ...แต่ว่า แกจะต้องไปที่อื่นที่ไกลมากๆ คงไม่มีเวลามาขายของที่นี่แล้ว แล้วเห็นทีร้านนี้แกก็คงจะเซ้งต่อ...ยังไงหลานแกจะมาติดต่อทีหลัง ถึงเวลานั้นแกขอให้ผมช่วยเหลืออำนวยความสะดวกด้วย?

 

ผม ก็ว่า...ได้เลยลุง...ไม่มีปัญหา...แกก็ยิ้ม?ตอนนั้น สักสามทุ่มได้แล้วมั้ง ตรงที่ผมอยู่ยามนี่มันเป็นมุมอับข้างห้างไง แกก็มายืนคุยกับผม โดยไม่มีใครเห็นหรือเห็นเค้าก็คิดว่าเราสองคนคุยกันธรรมดาๆ?แกคุยอยู่ครู่ หนึ่ง ผมถึงเริ่มสังเกตว่า เอ๊ะ...ทำไมเสื้อแกไม่เปียกเลยวะ...ทั้งๆ ที่แกก็เพิ่งเดินตากฝนมาเดี่ยวนี้เองนี่หว่า...แถมร่มแกก็ไม่กางมาด้วย ...กำลังจะถาม ก็เหมือนแกจะรู้ แกเปลี่ยนเรื่องพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้...แต่มันก็น่าแปลกนะคุณมดผมรู้สึก ว่า เสียงแกเบามากเหมือนแกพูดแบบกระซิบกระซาบนั่นแหละ หลายคำที่ผมต้องถามย้ำแกว่า...อะไรนะครับ ว่าไงนะครับ ดังๆ หน่อยครับ แกก็เร่งเสียงแกดังขึ้นมานิดนึง?...แล้วเดี๋ยวเดียว เสียงแกก็หายไปอีก ผมคิดว่า แกคงไม่สบายอยู่ด้วยแล้วยิ่งแกมาเดินตากฝนแบบนี้ด้วยนะ เดี่ยวได้ไปกันใหญ่แน่ๆ?มีอยู่ครั้งสองครั้งที่คุยๆ กันพอผมลุกขึ้นไปดูที่หน้าห้างเพราะเด็กมันวอ.เรียกมา ผมก็ลุกไป หันกลับมากำลังจะบอกแกว่า...ลุงรอเดี๋ยวนะ ก็ปรากฏว่า แกหายตัวไปแล้ว...แกหายไปได้ยังไงวะ เร็วจริงๆ เลย ผมก็นึกว่าแกคงไปเข้าห้องน้ำนอกห้างที่ยังไม่ปิด พอดูรถดูหน้าห้างเสร็จ ผมหันกลับมาอีกที...?ปรากฏว่านี่...แกมายืนอยู่ข้างหลังผมแล้ว ผมสะดุ้งโหยงตกใจเลย ไม่คิดว่าแกจะมายืนอยู่ตรงนี้เงียบๆ ผมบอกว่า...ว้าแล้วกันซิลุง ทำไมมาอยู่ข้างหลังผมเงียบๆ แบบนี้เล่า ตกใจหมดเลย...ผมนึกว่าลุงเป็นผีซะอีก?แกไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มๆ แล้วหัวเราะ หึ

หึ เหมือนมีเลศนัย แกบอกว่า?...ตี๋ ตี๋จำได้มั้ยที่ลุงบอกว่า ถ้าลุงเป็นอะไรไป ลุงจะมาหาตี่เป็นคนแรกน่ะ...??ผมก็ว่า จำได้เพราะวันนั้นที่แกว่า คุณมดก็อยู่ด้วยกันนี่นาใช่มั้ย? นายตี๋หันมาถามผม ผมก็จำได้เลยบอกเค้าไปว่า?...ใช่ๆ วันนั้น ผมก็อยู่ด้วยผมเห็นแกพูดชอบกลๆ อยู่เหมือนกัน...?

 

นาย ตี๋บอกว่า นั่นแหละแกก็บอกลุงแกไปว่าอย่างนั้นแกก็ว่า?...ตอนนี้ ลุงก็ได้ทำอย่างที่ว่าแล้วนะยังไงตี๋รักษาตัวด้วยลุงเห็นท่าจะมาหาตี๋และคน อื่นไม่ได้อีกแล้วมันไม่สะดวก ฝากลาคุณมดและทุกคนด้วยเอาไว้เมื่อถึงเวลาจริงๆ เราอาจจะได้พบกันอีกนะ...แล้วแกลาไป?

 

ผม งงๆ เลยนะ แกพูดอะไรของแกวะ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจเห็นแกว่าจะกลับผมก็ยกมือไหว้ลาแก แกก็ว่าโชคดีมีสุขแล้วแกก็เดินกลับไปเหมือนที่แกเดินมา...เดินกรำฝนปรอยๆ ออกไปนั่นแหละ

 

ผม ตะโกนถามแกว่า ?ลุงเอาร่มมั้ย?? แกก็หันมาโบกมือบอกว่าไม่ต้อง...?ตี๋เอาไว้ใช้เหอะ อีกสักเดี๋ยวฝนจะตกหนัก ลุงไปแค่นี้เอง เค้ามารอลุงแล้ว...ผมก็มองใครมารอแกฟะ...หรือว่าจะเป็นญาติแกก็ไม่รู้ พอแกเดินไปผมก็มองตาม...ก็พอดีมีโทรศัพท์เข่ามาซะก่อน ผมละสายตาจากที่ดูแกมารับโทรศัพท์...พอหันไปดูอีกที แกก็หายไปแล้วผมละงงจริงๆ เลย แกเดินไวชะมัดเลยแฮะ...แต่พอผมรับโทรศัพท์ ผมก็แทบช็อก เพราะคุณป้าที่อยู่ร้านข้างๆ แกโทรมาบอกผมว่า...

 

?ญาติๆ ของลุงที่แกรู้จักโทรมาบอกว่า ลุงแกเสียแล้วด้วยอุบัติเหตุเมื่อบ่ายวันนี้เอง...????

 
 

เรื่องโดย...ดอกไม้จันทน์ ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on

Written by on

พรายตะเคียนบึงหนองใหญ่

ณ หมู่บ้านหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรีในสมัยก่อนโน้นยังเป็นป่าดงดิบอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้เบญจพรรณนานาชนิด มีทั้งไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ตะเคียนทอง ประดู่ ตะแบก กระบก และต้นไม้อื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นยืนต้นเขียวชอุ่มพุ่มไสวทั่วไพรพฤกษ์

 

และ ของที่คู่กับป่าก็คือผลไม้ป่าต่างๆ ที่ออกดอกติดผลตามต้นตามฤดูกาลทำให้มีสิงสาราสัตว์ หมู่ป่า ไก่ป่า ลิง ค่าง ช้าง เสือ ฯลฯ มาอยู่อาศัย เพราะป่าเปรียบเสมือนบ้าน และแหล่งอาหารของสัตว์ป่าทั้งหลาย

 

แต่ มาสมัยนี้ ป่าไม้อันมีคุณค่าอย่างมหาศาลของพวกเราทั้งหลายได้หมดไปกลายเป็นเรือกสวนไร่ นา ถางป่าเสียจนเตียนโล่ง บรรดาสัตว์ป่าต่างๆ ก็อยู่ไม่ได้ ต่างพากันอพยพหลบหนีตายเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าลึกที่ปลอดภัย

 

เขต อำเภอหนองใหญ่ในปัจจุบัน ถึงแม้ป่าไม้จะหมดไป แต่พื้นที่ลุ่มมีหนองน้ำเป็นบึงขนาดใหญ่ มองดูไกลสุดสายตาทีเดียวบึงนี้มีชื่อว่า ?บึงหนองใหญ่? และภายใต้ผืนน้ำนั้น ก็ยังมีตอไม้ขนาดใหญ่ๆ จมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ตอไม้ตะเคียนทอง มะค่าโมง

 

เมื่อ สมัยก่อนนั้น บริเวณนี้ยังคงเป็นป่าดงดิบ ต่อมาชาวบ้านเข้ามาบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โดยมีพวกเถ้าแก่นายทุนหนุนหลัง จนป่าไม้ราบพณาสูร เพื่อนำมาทำไม้แปรรูปขาย พื้นที่ดินก็เพาะปลูกพืชการเกษตร

 

ที่ ราบลุ่มก็กลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ กลายเป็นบึงที่เต็มไปด้วยตอไม้จมอยู่ใต้น้ำ เป็นที่อาศัยของบรรดาสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา จำนวนมาก โดยเฉพาะกุ้งฝอยกับหอยขม มีอยู่ในบึงชุกชุมยิ่งนัก พวกผู้ใหญ่และเด็กๆ ชาวบ้านหนองใหญ่ทั้งใกล้ไกล ต่างพากันมาจับกุ้ง ปลา ตอนเย็นๆ ตะวันโพล้เพล้ พักเดียวก็ได้กุ้งหัวแข็งครึ่งค่อนถังเลยทีเดียว

 
 

แต่ ทว่าหนองใหญ่แห่งนี้ก็มีเหตุการณ์อาถรรพณ์เกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นเหตุให้คนที่มาหากินในบริเวณนี้ ต้องตายเย็นมาแล้วหลายศพ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยคนเฒ่าคนแก่ก็พยายามเตือนนักเตือนหนาว่า?ถ้าพวกเอ็งจะไปหากุ้ง ปลา หอย ที่หนองใหญ่แล้วล่ะก้อ จงบนบานศาลกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเขาเสียก่อน ก่อนจะลงไปในบึง และอย่าออกห่างจากฝั่งมากนัก มันอันตรายมาก?
อ่านต่อตอน2..

ตอน 2

 

ผม ย้อนถามว่า มันมีอันตรายอะไร? อะไรคือต้นเหตุให้ชาวบ้านไปหาปลาต้องตาย ผมพยายามถามซ้ำผู้เฒ่าผู้แก่ก็อึกอักๆ ไม่อยากบอก แต่ผมก็คะยั้นคะยออยู่พักใหญ่ ท่านผู้เฒ่าถึงยอมเล่าถึงสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้คนจมน้ำตายในบึงหนองใหญ่มาแล้วหลายศพ

 

?มันมีพรายน้ำ?

 

?พรายน้ำ!? ผมอุทานซ้ำ

 

?ใช่?

สาเหตุ มันมาจากพรายน้ำ ที่เกิดมาจากรากไม้ตอต้นตะเคียนทอง ตอใหญ่หลายคนโอบ ที่จมน้ำตายซากอยู่กลางบึงใหญ่มานานหลาย 10 ปีแล้ว ที่โคนตอตะเคียน อาจมีพวกภูตผีวิญญาณ รุกขเทวดา หรือนางไม้ตะเคียนทอง อาศัยสิงสู่อยู่ที่สำคัญพรายน้ำจะเกิดที่บริเวณรากไม้ของตอตะเคียน จะไปเร็วมาก มันพุ่งไปใต้น้ำด้วยพลังมหาศาลหนีกันไม่ค่อยทันถ้าผู้ใดที่ไปหาหอย ปู ปลา หรือไปเล่นน้ำ ไม่บอกกล่าวขอต่อเจ้าของบึง ด้วยความเคารพก่อนแล้วล่ะก้อเป็นต้องเจอดี เพราะจะเจอความอาถรรพณ

วัน คืนเดือนมืดข้างแรมบางทีจะเห็นลูกไฟดวงใหญ่เท่ากระด้งฝัดข้าว ลอยขึ้นมาจากบริเวณกลางบึงหนองใหญ่ พุ่งขึ้นสูงประมาณยอดไม้ ลอยนิ่งอยู่พักใหญ่แล้วก็จมวูบลงไปที่ตรงตอไม้ตะเคียนทองจมอยู่ชาวบ้านที่ไป หาปลาอยู่ต่างเผ่นกันแทบไม่ทัน พร้อมกับมีเสียงคล้ายคนหัวเราะ ฮ่าๆ ซ่าๆๆ ได้ยินไปไกลจนชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่กล้าไปหาจับปลา กุ้ง ในเขตหนองใหญ่แห่งนี้

ผม กับเพื่อนๆ รวม 5 คน ซึ่งอยู่ในวัยเบญจเพส จิตใจกำลังคึกคะนองห้าวหาญ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพิสดารพันลึก ผีสางนางไม้ เทพยดา เจ้าป่าเจ้าที่ต่างๆ และถ้าได้ดื่มเหล้าขาว 35 ดีกรีด้วยแล้วถึงไหนถึงกันในเรื่องการทำมาหากิน ใครยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พวกผมชอบท้าทายลองดี อยากจะพิสูจน์ความจริงให้เห็นกันจะจะไปเลย

 

ผม ไม่รอช้า ชวนเพื่อนๆ ไปลงข่ายดักปลากันที่หนองใหญ่ ในคืนเดือนหงายของวันหนึ่ง พวกเราทั้ง 5 เตรียมเหล้ายาอาหาร เอาไปกินแก้หนาวกันพอสมควร แล้วปรึกษากันว่า ถ้าได้ปลาเยอะๆ ก็จะเอาไปขายตามหมู่บ้านหารายได้เข้ากระเป๋า

 

ผม กับเพื่อนๆ มาถึงริมบึงหนองใหญ่ วางเครื่องสัมภาระไว้ใกล้ๆ ริมตลิ่งจัดการเดินลงไปในบริเวณบึงอันกว้างใหญ่ รู้สึกสายน้ำเย็นยะเยือกจนสะท้าน พวกเราออกไปไม่ไกลนัก น้ำลึกเพียงหน้าอก เพราะไม่มีเรือพาย

 

เรา ทั้ง 4 นำตาข่ายและหลักไม้ไผ่อีกหลายอันพร้อมถังแกลลอนขนาด 20 ลิตร เตรียมไว้ใส่ปลาอีก 3 ใบ โดยตัดเป็นช่องด้านบนไว้เท้าฝ่ามือ ให้เพื่อนอยู่เฝ้าบนฝั่ง 1 คน เพื่อเฝ้าสัมภาระต่างๆ

 

ผม กับเพื่อนๆ ปักหลักลงในบึงจนแน่น ขึงตาข่ายขนาดตากว้าง 8 ซม. และ10 ซม. ยาวปากละ 100 เมตร พอพวกผมวางข่ายดักเสร็จ ยังไม่ทันจะขึ้นฝั่งปรากฏว่าปลาต่างๆ ว่ายมาติดแล้วพันตาข่ายดิ้นกันตูมตาม จนน้ำกระจายดังโผงผางๆ

 

ผม กับเพื่อนๆ โห่ร้องหัวเราะเฮฮาชอบใจ ที่มีปลาต่างๆ มาติดตาข่ายมากมาย ทั้งปลาช่อน ปลาดุก ชะโด ตะเพียน ฉลาด ปลาบู่ จนลืมความหวั่นเกรงพร้อมคำเตือนของผู้เฒ่าเสียสนิท

 

พวก เราใช้ถังแกลลอนตัดปากพอใส่ปลาได้ เอาเชือกผูกลอยน้ำ ปลดปลาต่างๆ ใส่ลงไปทั้ง 3 ใบ ขณะที่ผมกับเพื่อนๆ ปลดปลาลงถังกันอย่างเพลิดเพลินอยู่กลางน้ำท่ามกลางแสงจันทร์ส่องนวลจ้าจับ ท้องน้ำ มองดูเป็นคลื่นระยิบระยับ

 

ฉับ พลัน! ผมและเพื่อนๆ ก็ได้ยินเสียงดังตูมๆ ซู่ๆ ซ่าๆ มาจากกลางบึง พวกเราหันไปมองตามเสียงประหลาดนั้นทันที ปรากฏว่าเห็นเงาดำทะมึนของต้นไม้ใหญ่ เอนไปเอนมาเสียงดังซู่ๆ ซ่าๆ แล้วเคลื่อนเข้ามาหาพวกเราทั้ง 4 ที่ลอยคออยู่ในท้องน้ำอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อตอนจบ..

ตอนจบ

 

สาย ตาของผมเหลือบไปเห็นพรายน้ำ มันผุดขึ้นมาเป็นฟองขาวกว้างใหญ่หลายวา พุ่งซู่ๆ ซ่าๆ เป็นทางยาว ตรงมาหาพวกเราอย่างประสงค์ร้าย พร้อมกับเสียงคำรามเหวอ...เหวอ...เหอ...เหอ...ดังลั่นบึง ผมร้องตะโกนขึ้นสุดเสียง

 

?ผีหลอกโว้ย...หนีเร็ว...พรายน้ำพุ่งมาแล้ว...ขึ้นฝั่งเร็ว!?

 

พราย น้ำพุ่งมาเป็นทางดังซู่ๆ ซ่าๆ พร้อมเงาดำของต้นไม้ใหญ่ครางเหอๆๆๆ ผมรีบปลดถังปลาทิ้งกลางน้ำจ้ำอ้าวหนีเข้าหาฝั่งอย่างทุลักทุเล แขนขาอ่อนเปลี้ยแทบมาไม่ถึงฝั่ง โชคดีได้เพื่อนบนฝั่งมาช่วยดึงมือขึ้นบนตลิ่งไปได้หวุดหวิด

 

ผม หันมามองเพื่อนๆ อีก 3 คน ที่หนีพรายน้ำตามหลังผมมา แต่มองไม่เห็นสักคน ช่วยกันตะโกนเรียก พร้อมกับท่องนะโม สวดมนต์กันดังลั่นให้คุณพระคุ้มครอง มองไปเห็นแต่เงาดำทะมึนของต้นตะเคียนทองสูงใหญ่ที่กลางบึงครวญครางเหวอๆ เหอๆ อย่างสะใจ

 

พร้อม กับมองเห็นพรายน้ำผุดพร่างพรายเสียงดังซู่ๆ ซ่าๆ ทั่วบริเวณที่เพื่อนผมทั้ง 3 คน ดักตาข่ายอยู่ คงจะปลดปลาติดตาข่ายเพลินไม่ก็ชะตาถึงฆาตจึงหนีไม่ทันถูกพรายน้ำนางตะเคียน ทองเล่นงาน จนจมน้ำตายเป็นผีเฝ้าท้องน้ำทั้ง 3 คน

 

ปลา ต่างๆ ในถังแกลลอนทั้งหมด ก็จมน้ำคืนสู่บึงหนองใหญ่ไปหมด ผมกับเพื่อนตัดสินใจวิ่งหนีกลับมาบ้าน ด้วยจิตประหวั่นพรั่นพรึง ที่เห็นผีมาหลอกจะจะลูกกะตา ทำให้เสียขวัญอย่างหนัก

 

จน ผู้เฒ่าและพ่อแม่ต้องให้เข้าวัด เพื่อไปบวชพระแก้บน แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้กับวิญญาณนางพรายตะเคียนทองที่อาถรรพณ์ และเพื่อนๆ ทั้ง 3 คน ที่จบชีวิตเซ่นสังเวยนางพรายตะเคียนด้วยความอวดดี

 
 

เรื่อง โดย...เพิ่มศักดิ์/ชลบุรี ขอขอบคุณ นิตยสารผี๔๘

Written by on

Written by on

ผีเรือน

?ป๊อป?เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องคนขับรถ ทุกวันเสาร์ผมมักจะตื่นสายเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน แต่เสาร์นั้นจำได้ว่าเสียงวุ่นวายในบ้านทำให้ผมลืมตาขึ้นทั้งที่กำลังฝันมันๆ ตั้งสติสักพักก่อนจะลุกไปเปิดม่านหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง

 

จาก ห้องนอนผมจะมองเห็นเรือนคนรับใช้ที่ปลูกขนานไปกับแนวรั้ว มันเป็นเรือนชั้นเดียว หลังคาลาดเอียงสีเขียวแบ่งเป็น 3 ห้องนอน ห้องริมสุดด้านโน้นเป็นห้องของนายหมานคนขับรถของคุณยาย ผมเรียกแกว่าลุงหมาน แม้จะชอบดื่มเหล้าแต่ก็ขับรถดีไม่มีอุบัติเหตุเลย

 

ลุง หมานเป็นชายวัย 40 เศษที่โสดสนิท ไม่ใช่เพราะอัปลักษณ์อย่างเดียว แต่เป็นที่นิสัยใจคอ จะว่าเป็นคนเลวก็ไม่ใช่ แกโหลยโท่ยซะมากกว่า คือขี้เกียจและไม่มีน้ำจิตน้ำใจกับใครเลย ที่จริงแกขี้คุย หัวเราะเก่ง แต่ลึกๆ แล้วเห็นแก่ตัวเป็นที่หนึ่ง

 

คุณ ยายไม่ได้ตั้งใจจ้างแกหรอก แต่เพื่อนพามา บอกว่าสงสารเพราะไอ้เจ้าคนนี้หางานทำไม่ได้ ไม่มีใครเอา เพื่อนฝูงก็ดูถูกเพราะตามเขาไปกินตลอดแต่ไม่เคยจ่ายเงิน ขืนปล่อยให้ว่างงานก็คงไม่แคล้วอดตาย หรือไม่ก็เป็นโจรไปเลย

 

ท่าทางลุงหมานไม่มีพิษสงอะไร ตาเศร้าๆ หน้าหมองๆ คุณยายสงสารก็เลยรับไว้ โดยยอมทนรำคาญกับนิสัยแย่ๆ หลายอย่างของแก

 

แปลก นะ...ลุงหมานอยู่กับเรามาถึง 10 ปีแน่ะครับ คุณยายบอกว่าไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่เลว คนเราถ้าซื่อสัตย์ไม่ลักไม่ขโมยก็พอจะอยู่กันได้ ไอ้เรื่องโกหกตอแหลขี้โม้น่ะคุณยายรู้ทันแต่ก็เฉยไว้ ผมละเซ็งจริงๆ.. อ่านต่อตอน2

ตอน 2

 

และ แล้ว...อยู่มาวันหนึ่ง คือเมื่อ 2-3 วันมานี่เอง เงินปึกใหญ่ของคุณยายก็หายจากกระเป๋าสตางค์ที่เก็บไว้ในกระเป๋าถือใหญ่ เงินที่หายไปน่ะตั้งสามหมื่นเชียวนะครับ คุณยายเตรียมไว้จะซ่อมแซมห้องน้ำ ...อดเลย! ที่สำคัญมันหายไปในบ้านเรานี่แหละ

 

คุณ ยายจำได้ว่าวันนั้นลงจากรถ พอดีเพื่อนแวะมาหา ลุงหมานขับรถเลยไปจอดในโรงรถ โดยกระเป๋าถือคุณยายยังอยู่เบาะหลัง และคุณยายก็ลืมไปเลย กว่าจะนึกได้อีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมง...เงินก็ล่องหนหายไปโดยไม่รู้จะโทษ ใครได้ทั้งที่สงสัยลุงหมานมากที่สุด แต่อย่างว่าละครับ จับไม่ได้คาหนังคาเขานี่นา!

 

พอถึงเช้านี้ เขาก็วุ่นวายกันอยู่ที่หน้าห้องลุงหมาน

 

เอ๊ะ! มีอะไรกันแน่ๆ ผมต้องลงไปดูซะหน่อยแล้วละ

 

ไม่ ใช่หรอกครับ...ไม่ใช่ที่ผมคิดว่าคุณยายเอาตำรวจมาจับลุงหมาน แต่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นตั้งหลายเท่า...ผมขนลุกไปหมดแล้วนะเนี่ย!

 

ลุง หมานนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องแกขณะที่คนอื่นๆ จ้องขึ้นไปบนเพดาน พลางวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่...ผมมองตามสายตาของทุกคนไปตรงนั้นแล้วก็ต้อง สะดุ้งโหยง หลุดปากร้องเฮ้ย! ออกมาซะลั่นบ้าน

 

เพดานห้องด้นในที่ตรงกับหัวเตียงลุงหมาน มีรอยฝ่าเท้าขนาดใหญ่มหึมาปรากฏอยู่เด่นชัด!!

 

มัน ไปอยู่ตรงนั้นได้ไง? และใครจะมีรอยเท้าใหญ่ขนาดนั้น...ใหญ่กว่าไฟเพดานห้องน่ะครับ นี่แสดงว่าเจ้าของรอยฝ่าเท้าจะต้องตัวโตมหึมากว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างน้อย 3-4 เท่า

 

ผม สาบานได้ว่าเป็นรอยเท้าอย่างชัดเจน เท้าข้างซ้ายครับ มีเส้น มีนิ้วเท้าครบถ้วน เหมือนเราเอาเท้าจุ่มโคลนแล้วประทับไว้ แต่มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ซึ่งตรงกับหัวหรือหน้าลุงหมานที่กำลังนอนบนเตียงพอดี...สยองเหลือกำลัง..อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

 

ลุง หมานท่าทางคิดหนัก ทำหน้าคล้ายคนกำลังจับไข้ แกเล่าว่าคืนก่อนแกนอนๆ อยู่ได้ยินเสียงคนเดินหนักๆ บนกระเบื้องหลังคา รับรองว่าไม่ใช่แมวหรือหนู แต่เป็นเสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ 3-4 ก้าว วนไปวนมา แกนอนตัวแข็ง นึกไม่ออกว่าเป็นผีเรือนหรือขโมย ?

 

ถ้าเป็นผีแกไม่ออกมาหรอก ถึงเป็นขโมยก็เถอะ! ปล่อยให้มันขโมยไปซิ เรื่องอะไรจะเอาตัวมาเสี่ยง?

 

พอ ตอนเช้าเมื่อนวานตื่นมาก็ไม่มีอะไร ครั้นถึงเช้านี้ พอตื่นแกก็บิดขี้เกียจกลับไปกลับมา พอลืมตา...แกชาวาบหัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นรอยเท้าสยองขวัญเหยียบเต็มเพดาน!

 

คุณ ยายบอกว่านั่นคือผีบ้านผีเรือนแน่ๆ ท่านมมาเตือนมาบอกอะไรบางอย่าง! ลุงหมานเข้าใจทันที เย็นนั้นแกเอาเงินมาคืนคุณยายแล้วก้มลงกราบอย่างงาม แกขออยู่ต่ออย่าไล่แกออกเลย...คุณยายเห็นว่าคนลองกลัวขนาดนี้ก็คงพออยู่กัน ได้

 

ลุงหมานยังโหล่ยโท่ยเหมือนเดิม แต่ผมว่านิสัยแกดีขึ้นทันตาเห็นเลยละครับ!

 

ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ข่าวสด

Written by on