Written by on

เจอผีที่ออฟฟิศ

จอยและแนน 2 เพื่อนสาว บริษัทส่งตัวไปทำงานต่างจังหวัดโดยไปกันทั้งหมด 6-7 คนมีผู้ชายไปด้วยอีก 4 คนผู้หญิง 1 คน กว่าจะเดินทางไปถึงที่ทำงานใหม่ก็เย็นมากแล้ว ห้องพักที่ทางบริษัทจัดให้ชั่วคราวนั้นเป็นออฟฟิศเก่าแต่ถูกตบแต่งใหม่นิดหน่อยพอนอนได้ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก ด้วยความที่เดินทางมาเหนื่อยทั้งวัน ทุกคนจึงหลับเป็นตาย

จอยมาสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเพราะถูกกระชากขาอย่างแรงเธอเกือบจะตกลงจากเตียง แต่พอจอยมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่ามีอะไร มองไปที่เพื่อนก็ยังเห็นว่าหลับกันอยู่

"เอ...แล้วใครมาดึงขาเราเกือบตกเตียงนะ!" จากนั้นจอยก็ล้มตัวนอนต่อกำลังจะเคลิ้มๆ หลับ ก็ถูกกระชากขาอีก คราวนี้ร่างของเธอหล่นลงไปจากเตียง

"ว้าย! ใครมาทำอะไรกับจอย แนนๆ ตื่น"

ถึงแม้ว่าจอยจะพยายามปลุกเพื่อนๆ เท่าไหร่แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครตื่นขึ้นมา

"ฮึๆๆๆ"

"ใคร...เสียงใครหัวเราะ...ออกมานะ"

"กูเอง...กูอยู่ที่นี่...มึงเป็นใครมานอนบนเตียงของกู...ออกไปให้พ้น"

"ห้องกับเตียงนี้ ทางบริษัทจัดให้เราพัก ถ้าคุณไล่เราไปแล้วเราจะไปนอนกันที่ไหนล่ะ"

"กูไม่รู้...กูบอกให้พวกมึงออกไปจากเตียงของกู กูมาเตือนพวกมึงแล้วนะ...จำไว้"

แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป จอยรีบหันไปปลุกแนนและเพื่อนอีกคนทันที

"มีอะไรหรือจอย ปลุกเราขึ้นมาทำไม"

"ผี...แนน...เราถูกผีหลอก...ผีเจ้าของเตียงที่เรานอนอยู่นี่ไง"

"จริงหรือจอย"

"จริงซี...ฉันจะโกหกเธอทำไมเราไม่ต้องนอนกันแล้ว นั่งรอให้สว่างนี่แหละ ฉันคงนอนต่อไม่ได้แน่ๆ "

จากนั้นทุกคนก็พากันนั่งจนสว่าง จอยและเพื่อนๆ จึงปรึกษากันว่า จะขอย้ายห้องไปหาที่พักใหม่

ขอขอบคุณ นิตยสาร ผี 48 เรื่องโดย : พนา-บุรีรัมย์

Written by on

Written by on

วิญญาณอาฆาต

สมัยเด็กๆ ฉันมีเหตุการณ์ระทึกขวัญอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่จำได้และไม่มีวันลืมเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งย้อนไปสัก 10 ปี เห็นจะได้ ที่ทางแถวนั้นยังเป็นป่ารกทึบต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดเต็ม 2 ข้างทาง

ความเจริญยังไม่เข้ามาสักเท่าไร ไฟฟ้าส่องสว่างตามถนนหนทางก็มีบ้างเป็นบางจุดทำให้บรรยากาศภายนอกดูน่ากลัว พอตกกลางคืน เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม ชาวบ้านก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นจากการหลับใหล เพราะเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำให้ฉันต้องตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ เสียงที่ปลายสายบ่งบอกว่าเป็นเสียงของพ่อฉันนั่นเอง ที่บอกให้ไปรับท่านที่ท่าน้ำวัดคลองเตยนอกที

ฉันรีบลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา แล้วบึ่งมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปรับพ่อทันที ระยะทางก็ห่างจากบ้านไปเป็นกิโลๆ แถมบรรยากาศข้างนอกก็ดูวังเวงไปจากทุกคืนด้วยไม่มีรถแล่นสวนมาเลยสักคันเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแต่อยากจะไปรับพ่อ แล้วรีบๆ กลับมานอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นนอนแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน พอขับรถไปถึงท่าน้ำ พ่อก็มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่ฉันสังเกตว่าพ่อไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว

แต่มีผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังให้ฉันกับพ่ออยู่ เธอใส่ชุดนักศึกษา รองเท้าผ้าใบสีขาว ฉันจึงถามพ่อว่า เธอเป็นใคร พ่อบอกว่า ไม่รู้เหมือนกันแต่ลงเรือมาด้วยกัน เธอไม่พูดไม่จา คนขับเรือถามว่า ไปไหนก็ไม่ตอบ ได้แต่ชี้นิ้วบอกอย่างเดียว ฉันจึงร้องถามเธอไป...ว่ากลับด้วยกันมั้ยคะ มีคนมารับหรือเปล่า และก็ได้ผล เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง...ว่า ไม่มีใครมารับ เดี๋ยวลงและจะบอกเอง ขอติดรถไปด้วยคนนะ

ขณะที่เธอคุยกับฉัน เธอก็ค่อยๆ หันหน้ามา แต่มีเส้นผมปิดบังหน้าตาอยู่ บวกกับความมืดยามค่ำคืน จึงทำให้เห็นหน้าเธอไม่ค่อยชัดเท่าไร หน้าของเธอดูซีดๆ เหมือนไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายยังไงไม่รู้ เราเดินไปที่รถพร้อมกันฉันให้พ่อเป็นคนขับ ฉันนั่งกลางและเธอคนนั้นนั่งหลังสุด ตลอดเวลาที่เราขับรถไปเธอไม่พูดจาเลยสักคำ ไอ้หมาเวรก็ยังหอนรับกันไปตลอดทาง แถมยังมีลมพัดมาให้หนาวกายเป็นระลอกๆ จนพ่อบอกว่า วันนี้มันแปลกๆ นะ...อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

พอขับรถมาถึงทางโค้งที่มีต้นหูกวางขนาดใหญ่อยู่ เธอก็พูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง บอกให้หยุดรถตรงนี้ พ่อจึงหยุดรถแต่ยังไม่ทันที่จะหันไปมองว่าเธอลงจากรถหรือยัง สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นเงาบางอย่างที่กระจกมองข้างของรถ

ภาพที่เห็นคือ เธอคนนั้นไปยืนอยู่ใต้ต้นหูกวางแล้ว เป็นไปได้อย่างไร เธอลงไปตอนไหนไม่มีใครรู้ พ่อจึงบอกให้ฉันตั้งสติให้ดีเราไม่ได้มาร้าย เขาคงไม่ทำอะไรเราหรอก พ่อพยายามสตาร์ทรถแต่พยายามเท่าไรมันก็ไม่ยอมติด เธอคนนั้นยังคงยืนอยู่เหมือนเดิม โดยมองพวกเรา 2 คนด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

พ่อของฉันทนไม่ไหวเลยจอดรถและตะโกนด่าเธอไปว่า ถ้ายังไม่เลิกแกล้งกัน จะแช่งไม่ให้ไปผุดไปเกิดเลย สักพัก รถก็สตาร์ทติดขึ้นมาเฉยๆ แต่ยังไม่ทันที่จะขับรถออกไป ก็มีบางอย่างหล่นลงมาจากไหนไม่รู้ เฉียดหน้ารถไปแค่นิดเดียวเอง วัตถุตรงหน้าคล้ายๆ ลูกมะพร้าว แต่ตรงนั้นไม่มีต้นมะพร้าวอยู่เลยสักต้น แล้วอะไรที่ตกลงมา พ่อจึงส่องไฟจากหน้ารถเพื่อดูว่า มันคืออะไร

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือหัวของคน มีเส้นผมยาวๆ ดวงตาบวมแดง ลิ้นแลบยาวชวนน่าขนลุกที่สุด เท่านั้นแหละ ฉันตะโกนบอกพ่อว่าให้ขับรถกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยที่ไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย

พอไปถึงบ้าน แม่เลยถามว่าเป็นอะไรมา ท่าทางเหมือนหนีผีมางั้นแหละ ใช่เลยแม่ หนีผีมา น่ากลัวซะด้วย พ่อร้องบอกแม่ คืนนั้นทั้งคืน ฉันนอนไม่หลับเลยนึกถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

พอรุ่งเช้า ฉันเลยรวบรวมความกล้าเข้าไปถามน้าชายที่เป็นเพื่อนพ่อ ว่าเมื่อคืนฉันเจออะไรมา เผื่อว่า...น้าชายจะรู้อะไรบ้าง แล้วก็เป็นจริง น้าชายเล่าให้ฉันฟังว่า

เธอเป็นนักศึกษา ถูกข่มขืนและฆ่าตายในป่าหลังต้นหูกวาง คนเขาเจอกันเยอะแยะ เธอไม่ไปไหนหรอก เพราะยังจับคนร้ายไม่ได้ เคยไปนิมนต์พระมาแล้วแต่เธอก็ไม่ยอมไปสักทีเที่ยวหลอกผู้คนยามค่ำคืน

ผ่านไปได้ 3-4 วันก็มีข่าวว่า คนขับวินมอเตอร์ไซค์หน้าท่าน้ำก็โดนดีมาเหมือนกัน

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : เด็กปราการ

Written by on

Written by on

ผีช่วยเลี้ยง

ฉันเคยไปนอนเฝ้าน้องสาวที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ ที่ ต.พระบาท เพราะสามีเขาต้องไปธุระที่ต่างจังหวัด ฉันเองก็เป็นห่วงน้องสาวที่ต้องนอนอยู่กับลูก 2 คน เลยอาสาไปนอนเป็นเพื่อน บ้านน้องสาวเป็นบ้านห้องแถวติดกัน 10 กว่าห้องมีคนอยู่เยอะคึกคักดี เจ้าตัวเล็กก็เลี้ยงง่าย กินแล้วก็นอนไม่ค่อยงอแง มานอนคืนแรกก็หลับสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่คืนที่ 2 นี่สิเริ่มเจออะไรแปลกๆ ฉันตื่นขึ้นมาตอนเกือบตี 3 ตื่นเพราะเจ้าตัวเล็กร้องกินนม พอนมแม่เข้าปากก็เงียบได้เหมือนกดสวิตช์ปิดได้เลย

ฉันตื่นจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วตอนเดินกลับมาฉันมองออกไปทางหน้าต่าง เหมือนเห็นเงาคนเลือนรางเดินอยู่แถวหน้าประตูบ้าน ลักษณะจะเหมือนคนแก่ที่เกล้าผมมวยอยู่ข้างหลัง เดินหลังค่อมๆ แต่พอฉันแหวกผ้าม่านออกดูก็ไม่เห็นมีใครสักคน น้องสาวยังพูดเลยว่าฉันตาฝาด เพราะแถวนี้มีแต่คนวัยทำงานไม่มีคนแก่เลย มิหนำซ้ำ ตี 3 คนบ้าที่ไหนจะมาเดินไป-มา

พอคืนที่ 3 นี่เต็มๆ เลย ฉันกำลังนอนหลับโดยนอนตะแคงข้างหันหน้ามาทางหลาน ก็ได้ยินเสียงหลานนอนหัวเราะเอิ้กอ๊าก เสียงกำไลข้อมือ ข้อเท้าดังกรุ๊งกริ๊ง พอรู้สึกตัวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดูว่าเจ้าตัวเล็กมันนอนเล่นกับใครถึงได้หัวเราะเสียงใสดังขนาดนี้ แล้วพอมองเห็นเท่านั้นแหละหัวใจแทบวาย

ยายแก่ผมหงอกขาว เกล้าผมมวยไว้ข้างหลัง ใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก มีผ้าสไบพาดบ่า นุ่งโจงกระเบน กำลังยืนสองมือไพล่หลัง หยอกเล่นอยู่กับหลานฉันอย่างมีความสุข ฉันนอนใจสั่นเต้นระทึก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวได้แต่นอนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ด้วยมั่นใจว่านั่นไม่ใช่คนอย่างแน่แท้ จนอึดใจใหญ่ ยายคนนี้จึงเอ่ยลาเจ้าตัวเล็ก

ทวดไปแล้วนะ คนดี หิวแล้วละซิเดี๋ยวแม่ของเอ็งก็จะตื่นมาให้นมแล้ว เป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายๆ แล้วก็หายแว้บไปต่อหน้าต่อตาฉันทันที พอยายแก่หายไปเจ้าตัวเล็กก็แหกปากร้องจ้าขึ้นมาทันที เรียกให้น้องสาวฉันตื่นขึ้นมาอุ้มเอานมให้กิน น้องสาวเห็นฉันนอนนิ่งตาค้างก็เรียกว่า ดึกแล้วทำไมไม่นอน ฉันจึงเล่าให้น้องสาวฟังว่า ก่อนที่น้องสาวจะตื่นฉันเห็นอะไร ฝ่ายน้องสาวก็ดีเหลือหลายหัวเราะใส่ฉัน ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า เป็นผีบ้านผีเรือนเขามาช่วยเลี้ยง บางทีก็มากลางวัน มาให้เห็นกันจะจะเลย เจอใหม่ๆ แทบช็อกตายเหมือนกัน แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว เคยไปถามพระท่านก็ว่าเขามาดี มาช่วยเลี้ยงจะกลัวทำไมดีซะอีก มีเขามาช่วยคุ้มครองให้ลูกเราอยู่รอดปลอดภัยจากภัยอันตรายอื่นๆ ที่เรามองไม่เห็น
จริงๆ แล้ว ที่ดินผืนนี้แรงมาก ถ้าไม่ได้ผีบ้านผีเรือนปกปักรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุขก็คงอยู่ไม่ได้ขนาดนี้หรอก ต้องย้ายออกไปนานแล้ว

โชคดีที่สามีของน้องสาวเสร็จธุระกลับมาพอดี ฉันจึงลากลับบ้านเลย อยู่ไม่ไหวจริงๆ ทำไมเจ้าน้องสาวตัวดีถึงไม่บอกฉันตั้งแต่แรกนะว่า มีคนช่วยเลี้ยงแล้ว จะได้ไม่มาให้โดนผีหลอกแบบนี้

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : เด็กดอย/ลำปาง

Written by on

Written by on

ลบหลู่พญานาค

เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ที่บริษัทได้ไปสัมมนากันที่จังหวัดหนองคาย เมื่อไปถึงได้เข้าที่พักเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันไปรับประทานอาหารอร่อยๆ ที่บริเวณที่เขาเรียกว่า ท่าเสด็จ

เมื่อได้โต๊ะนั่งใกล้ๆ แม่น้ำซึ่งข้าพเจ้าได้นั่งหันหน้าไปทางแม่น้ำโขง ซึ่งดูกว้างใหญ่ ผิวน้ำราบเรียบแลดูสวยงาม ปะปนด้วยความน่าเกรงขาม น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่สั่งอาหารนั่งกินกันไปคุยกันไป ก็มีเพื่อนรุ่นพี่บอกว่า "พวกเรารู้ไหม ที่แม่น้ำโขงนี้มีบั้งไฟของพญานาค ใต้พื้นน้ำนี้เป็นที่อยู่ของพญานาค วันออกพรรษาของทุกปี จะมีบั้งไฟของพญานาคผุดขึ้นมาเป็นร้อยๆ ลูกเลยทีเดียว และทุกๆ ปีก็มีคนมาคอยดูลูกไฟนี้แน่นไปหมดเลย"

พวกเพื่อนๆ ก็นั่งฟังกันอย่างตื่นเต้น มีข้าพเจ้าคนเดียวที่บอกรุ่นพี่คนนั้นว่า "นั่นเป็นตำนานเล่าสืบต่อกันมา คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราไม่ควรไปเชื่อ เราคนหนึ่งละที่ไม่เชื่อและไม่เคยเชื่อมาก่อน ขอคัดค้านเต็มที่"

พอข้าพเจ้าพูดจบ ก็ได้ยินเสียงคนที่โต๊ะข้างๆ ซึ่งมีเพียง 3 คน บอกว่า...พวกเขาเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน คงจะเป็นแก๊สหรือแรงอัดอะไรสักอย่างลอยขึ้นมาในเวลานั้นก็เป็นได้ และพวกเราก็ได้พูดถึงเหตุผลที่ควรจะเป็น มากกว่าที่จะเป็นลูกไฟพญานาค

ทันใดนั้นเอง ในขณะที่ข้าพเจ้ามองออกไปที่พื้นน้ำของแม่น้ำโขง ข้าพเจ้าก็ได้เห็นลูกไฟลอยขึ้นมาจากพื้นน้ำที่นิ่งสนิท พอข้าพเจ้าเห็นลูกแรกก็ตกใจมาก ชั่วพริบตาเดียวก็ได้เห็นอีกจาก 1 ลูก 2 ลูกจนถึงลูกที่ 5 ข้าพเจ้ามองอย่างแปลกใจและตกใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงโต๊ะข้างๆ ร้องบอกกันอย่างตกใจว่า "นั่นไงลูกไฟพญานาคลอยขึ้นมาตั้งหลายลูก"

ทุกคนหันไปมองที่แม่น้ำกันหมด แต่ไม่มีใครเห็น มีเพียงข้าพเจ้า กับโต๊ะที่นั่งกันอยู่ 3 คนเท่านั้นที่เห็น ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเย็นยังไม่มืดค่ำเลย และก็ไม่ใช่วันออกพรรษาอีกด้วย ที่สำคัญคือ เป็นพวกเดียวกันกับที่พูดว่า ไม่เชื่อว่าลูกไฟพญานาคมีจริง ข้าพเจ้าถึงกับยกมือไหว้แล้วบอกว่า "เชื่อแล้วว่ามีจริง ต่อไปลูกช้างจะไม่ลบหลู่" และโต๊ะข้างๆ ก็ได้ทำตามข้าพเจ้าเหมือนกัน

ตั้งแต่วันนั้นเมื่อถึงวันออกพรรษาของทุกปี ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าคอยดูบั้งไฟพญานาคเสมอ จะคอยนั่งนับลูกไฟทุกดวงที่ลอยขึ้นมาให้เห็นด้วยใจที่เคารพ และเชื่อว่ามีจริงๆ

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : ดาวดอย

Written by on

Written by on

เธอตามมาด้วย

ผมเคยทำงานเป็นอาสาสมัครกู้ภัยของมูลนิธิแห่งหนึ่ง ตอนนั้นใจผมไม่ได้คิดหวังสิ่งใดตอบแทน คิดเพียงว่าต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่ตกทุกข์ได้ยาก กลุ่มของผมมีด้วยกัน 4 คนคือ เจ้าโจ้ เจ้าเอ เจ้าอ้วน และผม ซึ่งพวกเราจะรวมกลุ่มกันขับรถออกตระเวนตามถนนหนทางไปเรื่อยๆ ซึ่งรถที่พวกผมใช้กันนั้นก็เป็นรถปิกอัพของทางมูลนิธินั่นเอง

คืนนั้น พวกผมก็ขับรถออกไปตามถนนเหมือนเคย แต่คืนนั้นพวกผมเลือกที่จะมุ่งหน้าไปแถวๆ ฝั่งธนบุรี เพราะอยู่แต่ฝั่งพระนครมาทุกคืนแล้ว เลยอยากเปลี่ยนเส้นทางบ้าง พวกผมขับรถกันมาเรื่อยๆ ดูเวลาก็เที่ยงคืนเศษๆ ไม่พบเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุอะไร เลยตกลงกันว่าอีกสักพักถ้าหากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็จะขับรถกลับศูนย์ รอฟังแจ้งเหตุทางวิทยุดีกว่าขืนขับรถไปทั้งคืนอย่างนี้คงไม่ไหวแน่

ขับมาถึงแยกโพธิ์สามต้น ตั้งใจว่าจะเลี้ยวรถกลับก็พอดีมีวิทยุแจ้งเหตุมาว่า มีคนพบศพลอยมาติดตอม่อสะพานข้ามคลองบางกอกน้อย พอได้ยินดังนั้น จึงรีบขับรถไปทันทีเพราะจุดที่พบศพนั้นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกผมอยู่ เมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุก็เห็นว่า มีคนยืนมุงดูเต็มไปหมดและมีตำรวจที่รับผิดชอบในท้องที่นั้นยืนอยู่ 3 นาย

พวกผมจึงลงไปสอบถามรายละเอียดก็ทราบแต่เพียงว่า ผู้ตายเป็นผู้หญิงยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เจ้าโจ้กับเจ้าอ้วนจึงลงน้ำไปกู้ศพ ส่วนผมกับเจ้าเอได้ปูผ้าขาวรออยู่บนบกแล้ว เมื่อนำศพขึ้นมาตรวจดูในตัวก็ไม่พบหลักฐานว่าเป็นใคร เพราะไม่พบกระเป๋าสตางค์หรือบัตรที่สามารถจะบอกข้อมูลของผู้ตายได้บ้างเลย

จะมีก็แต่แหวนทองที่นิ้วนางข้างซ้ายของศพที่ยังคงสวมอยู่ รูปพรรณสัณฐานที่พอจะบ่งบอกได้คือ ผู้ตายอายุประมาณ 23-24 ปี ผิวขาว หน้าตาดี ตามร่างกายไม่พบบาดแผล มีก็เพียงแต่รอยช้ำที่หัวคิ้วด้านขวา จึงต้องนำศพไปให้แพทย์ชันสูตรหาสาเหตุการตาย

ทางตำรวจจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แล้วจึงให้พวกผมนำศพไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ชันสูตรตามขั้นตอน และตามหาญาติของผู้ตายต่อไป กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเป็นเวลาตี 2 กว่า พวกผมจึงตกลงกันว่าคืนนี้จะพากันไปนอนค้างกันที่บ้านของโจ้เพราะบ้านมันอยู่ใกล้ที่สุด แล้วพรุ่งนี้ค่อยขับรถเข้าศูนย์กัน...อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

ระหว่างทางที่ไปบ้านเจ้าโจ้ พอดีมีร้านข้าวต้มโต้รุ่งเปิดขายอยู่ริมทางฝั่งตรงข้าม เจ้าโจ้จึงจอดรถบอกพวกผมว่าแวะกินข้าวกันเลยก็แล้วกัน เผื่อว่าที่บ้านมันไม่มีอะไรกิน เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้วพอลงจากรถพวกผมจึงพากันเดินข้ามถนนเข้าไปในร้าน (รถจอดฝั่งตรงกันข้ามกับร้าน) จัดแจงหาที่นั่งกันเรียบร้อย

เด็กเสิร์ฟก็นำแก้วมาวาง 5 ใบ น้ำแข็งอีก 1 กระบอก พวกผมจึงสั่งกับข้าวไป 3-4 อย่างพร้อมข้าวต้มและน้ำโพลาลิส 2 ขวด กับข้าว 4 อย่าง ข้าวต้มอีก 5 ถ้วย ผมแปลกใจว่า ทำไมถึงยกข้าวต้มมาให้ถึง 5 ถ้วย ทั้งๆ ที่พวกผมมากันแค่ 4 คน แต่อีกใจก็คิดว่า คนขายอาจจะเผื่อไว้หากใครไม่อิ่มก็หยิบไปกินต่อได้เลย จะได้ไม่ต้องรอให้เสียอารมณ์

สักครู่ใหญ่ๆ พอพวกผมกินอิ่มกันแล้วเจ้าโจ้จึงเรียกคิดเงิน ขณะที่เด็กเสิร์ฟยืนรอเงินอยู่นั้น เขาได้หันมาถามผมว่า... "พี่ นั่นแฟนพี่เหรอ ทำไมพี่ไม่เรียกมากินข้าวด้วยกันละ ตัวเปียกก็เข้ามานั่งในร้านได้ไม่เป็นอะไรหรอก ยืนอยู่ได้ยังไงคนเดียว มืดก็มืด ยุงก็เยอะ" พวกผมได้ยินจึงหันไปมองก็ไม่เห็นมีใคร ผมเลยบอกเขาไปว่าพวกผมมากันแค่ 4 คนเท่านั้น แต่เขาก็ยืนยันว่า มีผู้หญิงตัวเปียกเหมือนไปตกน้ำที่ไหนมายืนอยู่ท้ายรถพวกผม ผมจึงรู้ทันทีว่า...

วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นตามพวกผมมาด้วยแน่ๆ พอจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พวกผมจึงขับรถย้อนไปโรงพยาบาลที่ได้นำศพไปส่งกันไว้อีกครั้ง เมื่อไปถึงจึงจอดรถจัดแจงเปิดท้ายกระบะพร้อมกับพูดขึ้นว่า...

"คุณรออยู่ที่นี่นะไม่ต้องตามพวกผมไปหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ญาติๆ ของคุณก็คงจะมารับแล้วละ ไม่ต้องเสียใจนะ พวกผมช่วยคุณได้แค่นี้นะ" พูดจบ พวกผมจึงขึ้นรถขับมุ่งหน้าไปบ้านเจ้าโจ้ โดยที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ผิดปกติเกิดขึ้นอีกเลย

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : มนต์ เมืองสมุทร

Written by on

Written by on

เมียผีร้อยปี

ผมเป็นอีกคนหนึ่งครับที่ชอบชนิดที่ว่าคลั่งไคล้ของเก่าเอามากๆ ยิ่งเก่าๆ สภาพสวยเต็มร้อย ราคาแพงแค่ไหนผมก็ลุ้น เป็นแสนก็เคยซื้อมาแล้วก็คนมันชอบนี่ครับ
อย่างครั้งนี้ ผมได้เตียงไม้ 4 เสามาจากคนกลุ่มอนุรักษ์ของเก่าเหมือนกัน เขามาถามขายให้ในราคาไม่กี่พันบาท ผมยังแปลกใจเลยว่า สวยขนาดนี้ทำไมขายถูกจังเลย เขาให้เหตุผลว่า เตียงใหญ่เกินมีเต็มบ้านแล้วขืนเอาเข้าบ้านไปอีกเมียต้องฆ่าตายแน่

เป็นเตียงไม้สักที่ถึงเก่าขนาดไหน ก็ยังคงความประณีตสวยงามเอาไว้ได้อย่างเต็มร้อย ถูกใจครับด้วยเหตุนี้เตียงไม้สักจึงไปตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในห้องนอนบ้านของผมทันที เพื่อที่จะได้ทดลองนอนแล้วสมมติตัวเองว่า เป็นท่านเจ้าคุณคงสนุกดีพิลึก เสียตรงที่ไม่มีเมียทาสมาปรนนิบัติเท่านั้น

ในค่ำคืนนั้น ผมก็หลับฝันไปว่า...มีผู้หญิงซอยผมสั้นอย่างคนสมัยโบราณ แต่งผ้ากระโจมอก นุ่งโจงกระเบนมานั่งอยู่ข้างเตียง แล้วกราบลงพื้นหน้าเตียงที่ผมนอนอยู่ ในฝันเธอคนนั้นเรียกผมว่า "คุณหลวง"

เธอรำพึงรำพันว่า ดีใจที่ได้เจอกันเสียที รอคอยผมมาหลายภพหลายชาติ ทุกข์ทรมานมาหลายร้อยปีกว่าจะพาตัวเองมาเจอผมจนได้ ดูหน้าตาผิวพรรณแล้วสวยเกลี้ยงเกลาไม่หยอกเลยครับ หลังจากนั้น เธอก็ค่อยๆ คลานขึ้นเตียงมานอนอยู่ข้างกายผม กลิ่นกายเธอหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นน้ำอบหรือกลิ่นธูปก็ไม่แน่ใจ

หลังจากนั้นก็นึกภาพเองนะครับ สาวงามมานอนทอดสะพานให้ชายทั้งแท่ง จะปล่อยไปรึก็กลัวเสียฟอร์ม รวบหัวรวบหางซะจบข่าวเลย ผมมาตื่นเอาเกือบเที่ยงของอีกวัน ทั้งๆ ที่นอนตั้งแต่ยังไม่ 3 ทุ่มเลย แถมตื่นมาก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างบอกไม่ถูก ลุกขึ้นมาจัดการกับตัวเอง กินข้าวแล้วก็กลับขึ้นเตียงนอนต่อ แล้วก็หลับฝันเห็นผู้หญิงคนเดิมมานอนกับผมเหมือนเดิม เหมือนติดอยู่ในโลกแห่งความฝันที่มีเพียงฉันกับเธอ ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีคนอื่น เหมือนนรกยังไม่ต้องการคนลามกอย่างผมมั้ง เพราะผมมาตื่นขึ้นก็พบว่า ตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อแม่ญาติพี่น้องเต็มห้องเลย

จากคำบอกเล่า ผมหลับไปเกือบ 2 วัน ถ้าไม่ขนเตียงเก่าโบราณนั้นไปให้พระปลดปล่อยวิญญาณผีร้ายนั้น ผมคงตายไปแล้ว เพราะเรียกเท่าไรก็ไม่ฟื้น พระท่านบอกว่า เมื่อหลายชาติก่อนผมเป็นท่านเจ้าคุณ เธอคนนั้นเป็นเมียคนหนึ่งในบรรดาหลายคน เธอตรอมใจจนตายคาเตียงหลังนี้ที่เคยนอนร่วมกับผม วิญญาณที่ยังตัดกิเลสไม่ขาดและมีแต่ความอาฆาตยังฝังใจ จึงยังไปไหนไม่ได้

เธอรอคอยจนได้เจอกับผมอีกครั้ง และตั้งใจจะเอาผมไปอยู่ด้วยให้ได้ ถ้าไม่ได้พ่อแม่ช่วยกันหามผมออกมาส่งโรงพยาบาลและญาติพี่น้องช่วยกันเอาเตียงผีไปทำพิธีที่วัด ป่านนี้ผมคงได้ไปอยู่กับเมียผีร้อยปีของผมไปแล้ว

คิดๆ ดูแล้วก็สงสารเธอนะครับ รอคอยผมมาตั้งหลายปีได้อยู่ด้วยกันแค่แป๊บเดียวก็โดนแยกจากกันอีก และครั้งนี้ก็แยกกันตลอดกาลเลยด้วย แค่สงสารนะครับ อย่าคิดมาก

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : นะโม

Written by on

Written by on

เด็กดอง

ช่วงที่เรียน ป.ตรี เราเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งตึกที่เรียนเป็นอาคาร 4 ชั้น เราเรียนอยู่ชั้น 3 และชั้น 2 ซึ่งชั้น 2 เป็นแผนกชีววิทยา ห้องชีวะที่นี่ก็จะเหมือนที่อื่นๆ คือ มีอุปกรณ์ทดลอง มีโหลสัตว์ดอง เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน

เวลาเราทำการทดลองวิชาชีวะ จะต้องลงมาทำที่ชั้น 2 ช่วงขึ้นปี 3 เราเรียนหนักมากและการทดลองแต่ละตัวต้องทำจนดึกจนดื่น บางทีก็ทำงานกลุ่ม บางทีก็ทำงานเดี่ยว ถ้าใครทำงานช้าก็ต้องอยู่ดึกทำงานให้เสร็จ ถ้าดีหน่อย ใครมีแฟนเรียนที่เดียวกันก็จะมีคนอยู่ช่วยทำงาน

วันนั้น เราและนกต้องอยู่รอผลการวิเคราะห์น้ำ เราทำงานกันในห้องเรียนชีวะ ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มแล้วผลจะออกก็ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง นกหิวข้าวจึงขอลงไปที่มินิมาร์ทข้างล่าง สงสัยจะหิวมากเห็นรีบวิ่งลงไปอย่างไว

ส่วนเรานั่งเขียนการบ้านรออยู่ในห้องและต้องเฝ้างานด้วย ลักษณะของห้องจะมีตู้สื่อการสอนและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่รอบๆ ห้อง ส่วนตรงกลางเป็นโต๊ะแลปยาวรอบห้อง เรานั่งทำงานที่โต๊ะแลปและหันหลังให้ตู้เก็บสื่อการสอน ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้มองว่าในตู้มีอะไรอยู่

นั่งทำงานเพลินๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง เราก็ไม่ได้สนใจ นั่งทำงานต่อ สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กหัวเราะอยู่ข้างหลัง ตอนแรกก็คิดว่าหูแว่ว ไอ้นกก็ไม่ขึ้นมาซักที เรานั่งต่อไปเรื่อยๆ จู่ๆ ไฟในห้องก็ดับพรึ่บ ยกเว้นตู้อบที่เราทำการทดลอง เรากำลังจะเดินออกมาดู ว่าข้างนอกไฟดับหรือเปล่าพอเดินมาถึงประตู เราเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่หน้าระเบียง
เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก แต่แปลกที่เค้าไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงตัวเดียว เราสังเกตเห็นที่ข้อเท้าขวาของน้องเค้าสวมกำไลเล็กๆ อยู่ แต่ไม่รู้ว่าใช่ทองหรือเปล่าเพราะมันมืด ตอนนั้นก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว เด็กที่ไหนจะมาวิ่งเล่นแถวนี้ เราจึงเดินไปหา เด็กคนนั้นหันมาชวนให้เราเล่นด้วย บอกว่าเห็นพี่นั่งอยู่คนเดียว หนูเหงาอยากให้เล่นเป็นเพื่อน เราบอกเค้าว่าเรากำลังทำงานอยู่ ต้องคอยดูงานแล้วไฟก็ดับด้วย ไม่รู้ว่างานพี่เสียรึเปล่า เค้าบอกเราว่างานพี่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหนูช่วยเองตอนนั้น เรามีความรู้สึกงงๆ เบลอๆ ยังไงบอกไม่ถูก แต่เราก็นั่งเล่นกันอยู่ที่หน้าระเบียง น้องเค้าบอกเราว่า เค้าเหงาไม่มีเพื่อนเล่นและคิดถึงแม่ด้วย ตอนนั้นเราก็แปลกใจอยากจะถามว่าเค้าเป็นลูกใครและมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ถามเค้าบอกว่า พี่มาเล่นด้วยเค้าสนุกและมีความสุขมาก...อ่านต่อตอนจบ

ตอนจบ

เรานั่งเล่านิทานให้เค้าฟังไปหลายเรื่อง จนน้องเค้าหลับไปบนตักของเรา เราก็กำลังจะเคลิ้มๆ จะหลับเหมือนกัน แต่ก็ต้องตื่นเพราะเจ้านกมาโวยวายว่าให้เฝ้างานนิดเดียวดันหลับซะได้ไม่รู้งานเสียหรือเปล่า นั่งหลับไปนานรึยังเนี่ย ถ้าผลแลปเสียหายนะจะด่าให้

เราตื่นขึ้นมาก็งงๆ ถามนกว่าเด็กคนนั้นไปไหนแล้ว นกก็งงว่าเด็กที่ไหน เรายืนยันกับนกว่ามีเด็กมาเล่นกับเราจริงๆ เมื่อกี้ยังนอนหนุนตักเราอยู่เลย นกบอกว่าเราบ้าไปแล้วใครจะมานอนหนุนตักเราได้ เพราะเรานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียว ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ

นกจึงเดินไปดูผลแลป และเก็บอุปกรณ์เพราะเกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว อยากกลับบ้านเต็มที เรามานั่งนึกดูดีๆ ตอนแรกเรานั่งอยู่กับเด็กคนนั้นที่หน้าระเบียงนี่นา แล้วเรามาอยู่ในห้องได้ยังไง ตกลงเราฝันหรืออะไรกันแน่ พอดีนกเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาหาเรา เราก็ยังพูดเรื่องเด็กคนนั้นอยู่เพราะเราสงสัยมาก

นกคงรำคาญจึงแกล้งพูดว่า สงสัยเป็นเด็กที่อยู่ในขวดโหลข้างหลังแกมั้ง พอนกพูดแบบนั้นเราจึงหันไปมองในตู้สื่อการสอน ตอนนั้นเรารู้สึกอยากจะเป็นลมไม่อยากรับรู้อะไรเลย มันเย็นวูบไปทั้งตัว

ในนั้นมีเด็กดองในขวดโหล เป็นเด็กผู้ชายที่มีอวัยวะครบถ้วน แถมที่ข้อเท้าขวายังใส่กำไลเล็กๆ เหมือนน้องคนนั้นที่มาเล่นกับเราเลย และข้างๆ ขวดโหลมีพวงมาลัยเล็กๆ วางอยู่ด้วย ขวดโหลนี้เราไม่เคยเห็นเลย มันมาวางตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะส่วนใหญ่มีแต่ขวดโหลสัตว์ชนิดต่างๆ

ตอนนั้น เราพอจะเดาออกแล้ว ว่าเรื่องที่เราเจอมันคืออะไร เราพยายามตั้งสติ (เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ต้องเชื่อเรื่องที่พิสูจน์ได้เท่านั้น) เราชวนนกกลับบ้าน เราพยายามอย่างมากที่จะต้องเดินให้ปกติที่สุด แต่ในใจเราอยากจะวิ่งให้ป่าราบไปเลย พอถึงบ้าน เราเล่าเรื่องทุกอย่างให้นกฟัง นกไม่มีท่าทีสงสัยเลย นกบอกว่าเค้าเจอกันมาเยอะแล้วแต่ไม่ได้เล่าให้เราฟัง ไอ้ที่ลงไปซื้อของน่ะ นกโกหกเรา นกแค่ลงไปตั้งสติ เพราะตอนที่เรานั่งหันหลังทำการบ้านอยู่

นกเห็นเด็กที่อยู่ในขวดโหลขยับตัวและโบกไม้โบกมือให้นก นกเลยรีบลงไปตั้งสตินั่งอยู่ข้างล่างกับลุงยาม กว่าจะทำใจได้กะว่าจะมาตอนผลแลปออกพอดี มิน่าล่ะ พอนกกลับขึ้นมาก็รีบเก็บของใหญ่เลย

วันหลัง เราได้รู้มาว่าศพน้องคนนี้เป็นลูกของอาจารย์ในมหาลัยนี้แหละ แต่พอดีคลอดก่อนกำหนดทำให้เสียชีวิต พ่อแม่เค้ายังทำใจไม่ได้จึงมอบศพให้คณะวิทย์เพื่อทำการดองไว้ เวลาพ่อแม่คิดถึงจะได้มาเยี่ยมได้ เฮ้อก็ยังดีนะ ที่เราเจอแค่ในฝันและมาแบบดีๆ ถ้าเราเจอแบบอื่นสงสัยคงช็อกไปแล้ว แต่ที่เจ็บใจก็เจ้าเพื่อนตัวดีนี่แหละ ฮึ่ม...

ขอขอบคุณ นิตยสารเรื่องผีและวิญญาณ เรื่องโดย : Safety

Written by on