ปลากัด
ชื่อสามัญ ปลากัด Siamese fighting fish
ชื่อวิทยาศาสตร์ ปลากัด Betta splendens Regan, 1910
ลักษณะทั่วไปของปลากัด
ปลากัดเป็นปลาพื้นเมืองของไทยที่ได้รับความนิยมเพาะเลี้ยงมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้เพื่อเลี้ยงไว้ดูเล่นและเพื่อเกมส์กีฬากัดปลา ปัจจุบันประเทศไทยมีการเพาะเลี้ยงปลากัดกันแพร่หลาย ซึ่งเป็นปลาที่เลี้ยง และเพาะขยายพันธุ์ได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเลี้ยงปลา เนื่องจากไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ เพราะปลากัดเป็นปลามีอวัยวะช่วยหายใจพิเศษเรียกว่า "labyrinth" ทำให้สามารถดึงออกซิเจนจากอากาศได้ ปลากัดมีอายุเฉลี่ย 2 ปี หรือน้อยกว่า
ปลากัดพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ มีสีน้ำตาลขุ่นหรือสีเทาแกมเขียว มีลายตามตัว ครีบ และหางสั้น ปลาเพศผู้มีครีบ และหางยาวกว่าปลาเพศเมียเล็กน้อย จากการเพาะ และการคัดเลือกพันธุ์ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ทำให้ได้ปลากัดมีสีสวยงามหลากหลาย อีกทั้งลักษณะครีบก็แผ่กว้างใหญ่สวยงามกว่าพันธุ์ดั้งเดิมมาก จากสาเหตุนี้ทำให้มีการจำแนกพันธุ์ปลากัดออกไปได้อีกหลายชนิด เช่น ปลากัดหม้อ ปลากัดทุ่ง ปลากัดจีน ปลากัดเขมร เป็นต้น
ในการเลี้ยงปลากัดเพื่อการต่อสู้ มีการคัดเลือกพันธุ์ให้มีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถใช้ในการต่อสู้ โดยเริ่มต้นจากการรวบรวมปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งเรียกกันว่า "กัดป่าหรือกัดทุ่ง" โดยมีลำตัวค่อนข้างเล็ก บอบบาง สีน้ำตาลขุ่นหรือเทาเขียว มีการนำมาเพาะเลี้ยง และคัดพันธุ์หลายชั่วอายุ จนได้ปลาที่มีรูปร่างแข็งแรงลำตัวหนา และใหญ่ขึ้น เพื่อใช้ในการกีฬากัดปลาซึ่งนิยมเรียกปลากัดชนิดนี้ว่า "กัดเก่ง" นอกจากนั้นปลากัดไทยนี้ยังได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อให้มีสีสันสวยสด มีผู้เลี้ยงปลากัดหลายรายได้มีการพัฒนาปลากัดที่ได้จากการคัดเลือกพันธุ์ และผสมข้ามพันธุ์ปลากัด โดยเน้นความสวยงามเพื่อเลี้ยงไว้ดูเล่น โดยคัดพันธุ์เพื่อให้ได้ปลาที่มีครีบยาว สีสวย นิยมเรียกปลากัดลักษณะเช่นนี้ว่า ปลากัดจีนหรือเป็นปลากัดเขมร ซึ่งต่างประเทศรู้จักปลากัดในนาม "Siamese fighting fish"
ในปัจจุบันการพัฒนาสายพันธุ์ปลากัดกำลังเป็นที่ยอมรับ และได้รับความนิยมจากนักเลี้ยงปลากัดเพื่อความสวยงาม แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ปัจจุบันนี้ ปลากัดไทยมีสีสรรสวยงามมากตั้งแต่ สีเหลืองทั้งลำตัว สีฟ้า half moon มีเรื่องอ้างอิงกันการพัฒนาสายพันธุ์ปลากัด โดยใช้สภาพสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเหนี่ยวนำ โดยมีความเชื่อว่า ปลาที่มีสีสันสวยงามต่าง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการถ่ายทอดความรู้สึกของเพศเมียไปยังลูกปลา ได้มีการนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ในบรรดานักเพาะปลาทั้งหลายโดยการวาดรูปปลากัดที่มีสีสันตามที่ต้องการ เช่น สีเหลืองทั้งตัว ตั้งวางโดยรอบปลาตัวเมียในระหว่างการทำการเทียบคู่นั้นวิธีการนี้เรียกว่า "pseudo breeding technique" ถึงแม้ว่าไม่มีการพิสูจน์ออกมาทางวิชาการแต่ก็ได้รับการยืนยันจากนักเพาะเลี้ยงทั้งหลายว่า ในคอกหนึ่งๆ ที่ได้ลูกปลาออกมานั้นมีประมาณ 1 - 2 ตัว ที่มีลักษณะเหมือนกับภาพ
สีสันของปลากัดสามารถจำแนกเพื่อที่จะใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ ได้ดังนี้
- สีเดียว (solid colored betta) เป็นสีเดียวทั้งครีบและตัว
- สีผสม (bi-colored betta) ส่วนใหญ่จะมี 2 สีผสมกัน
- สีผสมเขมร (cambodia colored betta)
- ลายผีเสื้อ (butterfly colored betta)
- ลายผีเสื้อเขมร (cambodian butterfly colored betta)
- ลายหินอ่อน (marble colored betta)
รูปแบบของปลากัดไทยมีการแบ่งออกมาเป็นรูปแบบต่าง ๆ ได้ดังนี้
- รูปทรงปลาช่อน มีลำตัวยาวและหัวเหมือนปลาช่อน หัวใหญ่กว่าเมื่อมองจากด้านบน รูปร่างเพรียว
- รูปแบบปลาหมอ ลำตัวสั้นและค่อนข้างอ้วน รูปทรงค่อนข้างกว้าง
- รูปแบบปลากราย หน้าเชิด ลำตัวตรง รูปทรงค่อนข้างเป็นรูปสีเหลี่ยม เมื่อมองด้านบนเห็นลักษณะรูปทรงผอมบาง มีครีบอกและครีบหางยาว
- รูปแบบปลาตะเพียน เป็นลูกผสมลำตัวป้อม ครีบยาวสวยงาม
การแพร่กระจาย
การแพร่กระจายของปลากัดพบทั่วไปในน้ำนิ่ง หรือน้ำที่มีออกซิเจนต่ำ อาศัยอยู่ในอ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ หนอง บึง แอ่งน้ำ ลำคลอง นอกจากนั้นพบในนาข้าว โดยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย และประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลากัด
เนื่องจากปลากัดเป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวชอบต่อสู้เมื่อมีอายุได้ประมาณ 1-2 เดือน การเลี้ยงปลากัดจึงจำเป็นต้องรีบแยกปลากัดเลี้ยงในภาชนะเพียง 1 ตัว ก่อนที่มีพฤติกรรมต่อสู้กัน ภาชนะที่นิยมนำมาใช้เลี้ยงปลากัด ได้แก่ ขวด (สุรา) ชนิดแบบบรรจุน้ำได้ 150 ซีซี เพราะสามารถเรียงกันได้ไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ การแยกเพศ สังเกตได้ว่าปลาเพศผู้มีลำตัวสีเข้ม และครีบยาว ลายบนลำตัวมองเห็นชัดเจน และขนาดมักโตกว่าเพศเมีย ส่วนปลาเพศเมียมีสีซีดจาง มีลายพาดตามยาวลำตัว 2-3 แถบ และมักมีขนาดเล็กกว่าปลาเพศผู้
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลากัดต้องเป็นน้ำที่สะอาดปราศจากคลอรีน ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 6.5-7.5 ความกระด้าง 75-100 มิลลิกรัมต่อลิตร และความเป็นด่าง 150-200 มิลลิกรัมต่อลิตร ควรใส่น้ำปริมาณ 3ใน4 ของปริมาตรขวด เพื่อเว้นช่องว่างให้อากาศได้สัมผัสผิวน้ำ นอกจากนั้นสถานที่ใช้เลี้ยงปลากัดไม่ควรเป็นที่โดนแสงแดดโดยตรง เพราะทำให้ปลากัดตายได้ในกรณีที่โดนความร้อนมาก อุณหภูมิที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 25-28 องศาเซลเซียส
อาหารที่ใช้เลี้ยง ปลากัดเป็นปลาที่ชอบกินอาหารมีชีวิต เช่น ลูกน้ำ หนอนแดง ไรสีน้ำตาล (artemia) อาหารที่มีชีวิตที่ใช้เลี้ยงควรล้างด้วยน้ำสะอาด ฆ่าเชื้อโรคที่ติดมากับอาหารในด่างทับทิมระดับความเข้มข้น 500-1,000 ส่วนในล้านส่วน ( 0.5-1.0 กรัม/ลิตร) เป็นเวลา 10-20 วินาที หลังจากนั้นจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
อาหารของปลากัดนอกจากใช้อาหารมีชีวิตแล้ว ยังสามารถฝึกหัดให้ปลากัดกินอาหารสำเร็จรูปได้อีกด้วย โดยค่อย ๆ ฝึกเปลี่ยนนิสัยในการกินอาหาร การให้อาหารควรให้วันละ 1-2 ครั้ง ให้ปริมาณที่พอดี การให้อาหารที่มากเกินไป อาจทำให้น้ำเน่าเสียได้ จึงควรเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องน้ำให้มาก ข้อสังเกตการกินอาหาร โดยปกติปลากัดกินอาหารประมาณ 5 นาที ในกรณีที่แยกขวดเลี้ยงปลากัดขวดละตัว การให้อาหารนิยมใช้ลูกยางสีแดงที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปดูดอาหาร และใส่ที่ละขวด ซึ่งทำให้สะดวกยิ่งขึ้น การถ่ายเทน้ำควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
การเพาะพันธุ์ปลากัด
การคัดพ่อแม่พันธุ์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเพาะพันธุ์ปลากัดอยู่ระหว่างเดือน พฤษภาคม - กันยายน แต่ในปัจจุบันสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 26-28 ๐C ปลาที่นำมาทำการเพาะพันธุ์ ควรมีอายุตั้งแต่ 5-6 เดือนขึ้นไป ปลาเพศผู้ที่มีอายุ 5-6 เดือน ในขณะที่ปลาเพศเมียเป็นปลาที่มีอายุ 4 เดือน ปลากัดเพศเมียสามารถวางไข่ครั้งละประมาณ 500-1,000 ฟอง ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ สังเกตเห็นความสมบูรณ์ของพ่อแม่ปลาได้ชัดเจน การคัดเลือกปลาเพื่อผสมพันธุ์ ควรมีหลักปฏิบัติดังนี้
ปลาเพศผู้ ควรคัดเลือกปลาที่แข็งแรง ว่ายน้ำปราดเปรียว ลักษณะสีสดสวยตามที่ต้องการ ชอบสร้างรังซึ่งเรียกว่า "หวอด" โดยการพ่นฟองอากาศที่มีน้ำเมือกจากปาก และลำคอผสมด้วย ซึ่งแสดงถึงว่า ปลาเพศผู้มีความสมบูรณ์ทางเพศเต็มที่พร้อมที่ผสมพันธุ์
ปลาเพศเมีย โดยทั่วไปมีขนาดเล็ก มีสีเทา และมีลายตามแนวราบ มีครีบสั้น ควรคัดเลือกแม่ปลาที่แข็งแรง สังเกตบริเวณท้องมีลักษณะอูมเป่ง และบริเวณใต้ท้องมีสีขาวใกล้กับรูก้นเห็นได้ชัดเจนแสดงว่าพร้อมที่ผสมพันธุ์ได้แล้ว ซึ่งตุ่มสีขาวนั้นเรียกกันว่า
"ไข่นำ"
การผสมพันธุ์ การผสมพันธ์ปลากัดทำโดยการนำขวดปลาเพศผู้และเพศเมียมาวางติดกัน ซึ่งเรียกว่า "เทียบคู่" บริเวณที่มีการเทียบคู่ปราศจากสิ่งรบกวนต่าง ๆ เพื่อไม่ให้แม่ปลาตกใจ การเทียบคู่ใช้เวลาประมาณ 3-10 วัน สังเกตปลาตัวเมียมีลักษณะท้องโต และมีจุดขาวที่ท่อนำไข่ชัดเจน ลำตัวมีสีลายอ่อน สลับเข้ม เรียกว่าลายชะโด ซึ่งแสดงว่าปลากัดตัวเมียพร้อมที่ผสมพันธุ์แล้วขณะเดียวกันตัวผู้สร้างหวอดขึ้นบริเวณเหนือน้ำ จากนั้นนำปลาเพศผู้ และเพศเมีย ใส่ลงในภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น ขันพลาสติก โหลแก้ว จนถึงอ่างดิน ใส่น้ำให้มีระดับ 5-10 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้ปลาเพศผู้เหนื่อยมากเกินไปในขณะที่ลำเลียงไข่ของตัวเมียไปไว้ที่รัง ควรใส่พรรณไม้น้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยด่างทับทิม เพื่เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับไข่ พรรณไม้ที่นิยมใช้ได้แก่ สาหร่ายพุงชะโด สาหร่ายหางกระรอก จอก ใบผักตบชะวา เป็นต้น เมื่อปลาเพศผู้และเพศเมียสามารถปรับตัวให้เคยชินกับสภาพแวดล้อมในภาชนะประมาณ 1-2 วัน ปลาเพศผู้จึงเริ่มก่อหวอดติดกับพรรณไม้น้ำ หลังจากสร้างหวอดเสร็จ ปลาเพศผู้พองตัวกางครีบและไล่ต้อนตัวเมียให้ไปอยู่ใต้หวอด ขณะที่ตัวเมียลอยตัวขึ้นมาบริเวณผิวน้ำ ปลาตัวผู้ทำการรัดตัวเมียตรงบริเวณช่องอวัยวะเพศ จากนั้นไข่ก็หลุดออกมา พร้อมกับเพศผู้ฉีดน้ำเชื้อเข้าผสม และปลาเพศผู้ตามลงไปใช้ปากดูดอมไข่ไว้ แล้วว่ายน้ำขึ้นไปพ่นไข่เข้าไปไว้ในฟองอากาศจนกว่าไข่หมด เมื่อสิ้นสุดการวางไข่ปลาเพศผู้ทำหน้าที่ดูแลไข่เพียงลำพัง และไล่ต้อนปลาเพศเมียไปอยู่ที่มุมภาชนะ หลังจากนั้นรีบนำปลาเพศเมียออก เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเพศเมียกินไข่ ปล่อยให้ปลาเพศผู้ดูแลไข่ 2 วัน จึงแยกเพศผู้ออก ขั้นตอนนี้ต้องระวังการกระแทกเพราะทำให้รังไข่ได้รับความเสียหาย
การอนุบาลลูกปลา
ไข่ปลากัดฟักเป็นตัวหลังจากได้รับการผสมน้ำเชื้อประมาณ 36 ชั่วโมง โดยในช่วงแรกมีถุงอาหาร (yolk sac) ติดตัวมาด้วย ดังนั้นช่วง 3-4 วันแรก จึงยังไม่ต้องให้อาหาร หลังจากถุงอาหารยุบหมด ควรให้ไข่แดงต้มสุกกรองผ่านกระชอนตาถี่เป็นอาหารวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3-5 วัน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นตัวอ่อนของไรแดง (moina) ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นไรแดงตัวเต็มวัย เลี้ยงต่อไปจนกระทั่งปลาสามารถกินลูกน้ำได้ ประมาณ 5 สัปดาห์ ลูกปลาบางตัวเห็นสี ช่วงนี้อาจเร่งการเจริญเติบโตโดยการเพิ่มอาหารทีละน้อยโดยให้ 3-4 ครั้งต่อวัน ช่วงนี้ลูกปลากินอาหารได้หลายชนิด เช่น หนอนแดง อาหารแผ่นบาง เคยบด ตับไก่สดแช่แข็งหั่นเป็นชิ้นเสียบไม้ใส่ไว้ในบ่อ ปลามาตอดกินได้อีกทั้งยังเป็นการช่วยเร่งสีเนื่องจากมีธาตุเหล็กให้แก่ปลาอีกด้วย และผู้เลี้ยงสามารถแยกเพศปลากัดได้ เมื่อปลามีอายุประมาณ 1.5 เดือนขึ้นไป
เนื่องจากการเลี้ยงปลากัดเป็นการเลี้ยงที่นิยมกันมานานมาก การดูแลรักษาปลา จึงเป็นแบบพื้นบ้านส่วนใหญ่ มีการหมักปลาโดยใช้ใบหูกวางแห้ง ใบมะพร้าวแห้ง หรือใบตองแห้ง เพื่อใช้ในการรักษาเมื่อเห็นว่าปลาเริ่มแสดงอาการผิด มีเกษตรกรบางรายไม่เคยประสบปัญหาโรคเลย ตลอดระยะเวลาการเลี้ยง เพราะใส่ใบไม้เหล่านี้ที่พื้นดินก้นบ่อด้วย ในบางครั้งพบว่าตัวมีจุดสีขาวที่รู้จักกันว่าเป็นโรคจุดขาวหรืออิ๊ค ก็ใส่ข่าหมักลงไปในขวดปลานั้น โรคดังกล่าวก็หายไป
ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต