เครื่องสำอางชิ้นเด็ดของผู้หญิงแต่ละยุค

เครื่องสำอางชิ้นเด็ดของผู้หญิงแต่ละยุค

ผู้หญิงสมัยนี้ขาดอายไลเนอร์ไม่ได้ ผู้หญิงสมัยก่อนก็มีเครื่องสำอางประจำตัวของพวกเธอเหมือนกัน ถ้าเอาเครื่องสำอางทั้งหมดนี้มาเรียงเป็นแถว เราจะได้เห็นการเดินทางของเครื่องสำอางก่อนที่จะมาเป็นเพื่อนซี้ของสาวๆ อย่างทุกวันนี้

อียิปต์โบราณ น้ำหอมเป็นสุดยอดเครื่องสำอางสำหรับคนอียิปต์ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นจริงๆ ของน้ำหอมจะใช้สำหรับรักษาโรค และประพรมเครื่องหอมสำหรับบูชาเทพเจ้า แต่พอสาวๆ ได้กลิ่นเข้าก็อดใจไม่ไหว ต้องขอแจมเอาน้ำหอมมาแตะนิดแตะหน่อยตามร่างกายบ้าง น้ำหอมที่โด่งดังที่สุดในสมัยอียิปต์ทำจากดอกไม้นานาชนิด น้ำผึ้ง ไวน์ และพืชตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ แม้แต่หมอก็ยังใช้น้ำหอมชนิดนี้รักษาโรคปอด ลำไส้ และตับด้วย

ยุคกรีกโบราณ คนเรามักจะชอบอะไรที่ตัวเองไม่มี อย่างเช่นสาวๆ ชาวกรีกที่เกิดมาผมดำแต่กลับหลงใหลผมสีบลอนด์แบบชาวตะวันตก พวกเธอเลยพยายามสร้างยาย้อมผมขึ้นเองโดยใช้สารหนูกัดสีผมให้อ่อนลง ส่วนเวลาสระผมก็จะใช้ขี้เถ้า น้ำมันมะกอกและน้ำเปล่าล้างสารพิษออก

ยุคกลาง เครื่องสำอางของผู้หญิงสมัยนี้ส่งตรงมาก้นครัวล้วนๆ เช่น ใช้น้ำแตงกวาคั้นสดๆ กำจัดกระและฝ้า ส่วนเวลาเป็นสิวก็ทาด้วยน้ำนมเพื่อให้สิวยุบไปเอง สำหรับริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ผู้หญิงปี 2011 ต้องอาศัยเลเซอร์ช่วยลบกันนั้น สาวๆ ยุคกลางเขาเสี่ยงตายลงไปสู้กับจระเข้แล้วเอาไขมันของมันมากวนรวมกับขี้ผึ้ง ทาเป็นประจำ แค่นี้ตีนกาก็ไม่กล้ามารังควานเธอแล้วล่ะ

สมัยเรอเนซองส์ เข้าสู่ยุคที่ถือว่าความงามคือทุกสิ่ง ผู้คนสมัยเรอเนซองส์แต่งตัวจัดมากคนรวยทั้งชายหญิงจะประโคมเครื่องสำอางเครื่องเพชรกันแบบไม่มีกั๊ก ส่วนคนจนที่ไม่มีเงินซื้อของแพงมาใช้ มีวิธีเพิ่มความสวยด้วยการใช้ผงชาดผสมกับขี้ผึ้งหรือไขมันจากสัตว์ แล้วเอามาทาปาก ทาแก้ม ผลที่ได้ก็คือแก้มและริมฝีปากแดงเปล่งปลั่งสมใจ ที่สำคัญสีที่ได้จากวิธีนี้ติดทนทานมาก ต่อให้ล้างหน้าทุกวันก็ยังไม่ลอกไม่หลุดเลย

ยุคทองของสเปน สาวๆ สเปนเกิดมามีผิวคล้ำตามชาติพันธุ์ แต่คนเรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ พวกเธอก็เลยไม่ชอบผิวสีแทน แต่ไพล่ไปอยากได้ผิวขาววิ้งแบบชาวอังกฤษเสียนี่ จึงมีคนคิดค้นยาทำให้ขาวที่ทำจากดินเหนียวขึ้น แต่ความจริงยาตัวนี้ไม่ได้ทำให้ผิวขาวจริงๆ เพียงแต่ด้วยความที่มันเป็นดินเหนียวพอกินเข้าไปจึงหนักท้องจนกินอาหารไม่ลง ประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมาสาวๆ ก็จะเริ่มขาดสารอาหาร ทำให้ตัวซีดหน้าเซียวดูขาวไปเองโดยอัตโนมัติ ผลจากความอยากวิ้งทำให้มีผู้หญิงยุคกลางต้องตายเพราะโลหิตจาง หลังจากกินยานี้ไปหลายคน

ปลายศตวรรษที่ 18 เป็นยุคที่ต่อเนื่องมาจากสมัยเรอเนซองส์ ผู้คนยังบูชาความสวยกันอย่างถวายหัว คุณหนูในวงสังคมชั้นสูงของฝรั่งเศส รวมถึงพระนางมารีอังตัวเน็ตต่างก็เชื่อว่าผิวขาวเกลี้ยงเกลาดุจหินอ่อนคือที่สุดของความสวย ทุกคนเลยพยายามพอกหน้ากันหนาเตอะด้วยแป้งที่ทำจากตะกั่ว แป้งโรยตัวบดละเอียดผสมกับขี้ผึ้งและไขมันปลาวาฬ หลังจากกวนส่วนผสมจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วแป้งที่ได้จะขาวจัดและเหนียวมาก จนสามารถยึดติดกับผิวหน้าได้เหมือนเป็นผิวที่สองก็ไม่ปาน

ปลายศตวรรษที่ 19 มาสคาร่าแต่งหน้าแบบเนื้อเค้กที่เราใช้กันทุกวันนี้ ถือกำเนิดขึ้นในสมัยปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง จากมันสมองของ ?ยูจีน ริมเมล' ช่างทำน้ำหอมชื่อดัง โดยนำเขม่าถ่านหินกับสบู่ก้อนเล็กมาผสมกัน ปั้นเป็นก้อนเล็กเท่าลูกเต๋า เวลาจะทำสวยต้องใช้แปรงเปียกๆ มาถูที่ก้อนมาสคาร่า เพื่อให้สีดำละลายติดแปรงออกมา แต่สาวๆ ยุคนั้นก็มีมุมซกมกไม่แพ้ผู้หญิง พ.ศ.นี้ แทนที่จะลุกไปตักน้ำใส่แก้วมาละลายมาสคาร่า นางเลยเอาง่ายเข้าไว้ด้วยการถ่มน้ำลายลงไป แค่นี้เธอก็สวย (แบบเหม็นๆ) กันได้แล้ว

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

airban-300x250
0
Shares