นำเสนอสาระน่ารู้ บทความดีๆ เกี่ยวกับพัฒนาการของทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 ปี เพื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้เตรียมพร้อมรับมือกับพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างชาญฉลาด และมีสติ พร้อมที่จะแก้ไขและส่งเสริมให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีสมวัย และสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ร่าเริงสดใส ทาง Pstip หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสาระความรู้ต่างๆ ในหมวดนี้จะสามารถเป็นแนวทางที่ดี สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนใหม่นำไปปฏิบัติเพื่อลูกน้อยที่คุณรักได้อีกทางหนึ่งค่ะ
Written by on
ให้ลูกน้อยนอนเตียงเด็กเถอะ
เนื่องจากมีผลวิจัยจากต่างประเทศที่ชี้ว่า การที่ลูกรักวัยเบบี๋นอนร่วมร่วมเตียงกับพ่อแม่ มีโอกาสเสี่ยงที่ลูกจะถูกทับจนหายใจไม่ออก หากผู้เลี้ยงดูเมา กินยาบางชนิด หรืออ่อนเพลียจากการทำงาน ดังนั้นจึงแนะนำให้แยกลูกน้อยไปนอนในเตียงเด็กจะทำให้ลูกปลอดภัยกว่าค่ะ
ผลการวิจัยที่ว่านี้มาจาก ภาควิชาการพัฒนาทางกายภาพและสุขภาพของทารก มหาวิทยาลัยบริสตอลและวอริกประเทศอังกฤษที่ได้ศึกษาการเสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดของเด็กน้อยวัยทารกที่มีอายุตั้งแต่ แรกเกิดถึง 2 ปี ในแคว้นอิงแลนด์ เขตตะวันตกเฉียงใต้ โดยทำการศึกษาในช่วงระหว่างเดือนมกราคม 2546 จนถึงเดือนธันวาคม 2549 โดยทีมวิจัยได้เปรียบเทียบกรณีการเสียชีวิตของเด็กทารกเหล่านี้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มความเสี่ยงสูง จากการที่เด็กเหล่านี้มีแม่เป็นวัยรุ่น สูบบุหรี่ และมีปัญหาการเข้าสังคม อีกกลุ่มได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ
ผลจากการวิจัย ในกลุ่มเปรียบเทียบทั้งสองพบว่า พ่อแม่ที่นอนร่วมเตียงกับลูกมี 20% ในจำนวนกรณีการเสียชีวิต 80 รายนั้น ซึ่งเป็นการเสียชีวิตขณะนอนร่วมเตียงกับพ่อแม่ถึง 54% โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินยาก่อนเข้านอน การเสียชีวิตของกรณีเหล่านี้มี 31% ขณะที่ในกลุ่มเปรียบเทียบมี 3% นอกจากนี้หัวหน้าทีมวิจัยยังได้บอกว่า การให้ลูกนอนบนโซฟาร่วมกันมีความเสี่ยงมากกว่าการนอนบนเตียงร่วมกันถึง 25 เท่า ดังนั้นเมื่อคุณแม่ป้อนนมลูกในตอนกลางคืนแล้วก็ควรนำลูกไปนอนบนเตียงเด็ก เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
แต่แม้ให้ลูกนอนเตียงก็เกิดปัญหาได้ เนื่องจากพบว่า 1 ใน 5 ของทารกที่เสียชีวิตขณะนอนหลับบนเตียง เกิดจากมีหมอนผ้าห่ม หรือผ้าอ้อมอุดปากและจมูก คุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นใส่ใจดูแล ให้ลูกนอนหงาย ไม่ให้มีผ้ามากมายบนเตียง รวมทั้งจัดเตียงลูกให้ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเตียงของพ่อแม่ด้วย ยิ่งจะช่วยให้สามารถดูแลลูกได้ใกล้ชิดขึ้นค่ะ
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Modern Mom ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
ลูกน้อยร้องไห้ บอกอะไรพ่อแม่
หากคุณพ่อคุณแม่หมั่นสังเกตเสียงร้องของลูก ก็จะสามารถรู้ได้ว่าลูกวัยเบบี๋ต้องการอะไร รวมถึงสามารถตอบสนองลูกให้ทันทีทันใจ ลูกรักก็หายหงุดหงิดใจและอารมณ์ดีบอกความลองมาดูกันว่าลักษณะเสียงร้องแบบ ไหนบอกอะไรเราบ้าง
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Modern Mom ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
5 โรคร้ายที่ควรระวังในเด็กแรกเกิด
สิ่งหนึ่งที่คู่รักหลายคู่ ได้ให้ความสนใจและเล็งเห็นถึงความสำคัญก็คือ ปัญหาการมีบุตรยาก และปัญหาการติดเชื้อและเกิดโรคในเด็กแรกเกิด ซึ่งปัญหาดังกล่าว เป็นสิ่งที่พ่อแม่มือใหม่ควรศึกษาและหาวิธีแก้ไข รวมทั้งการป้องกันโรคร้ายที่จะมาเยือนตัวเด็ก ดังนั้น คอลัมน์หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพ จึงขอนำเสนอ "5 โรคร้ายที่ควรระวังในเด็กแรกเกิด"
1.ภาวะตัวเหลืองในทารก ตามปกติทารกแรกเกิดทุกคนจะมีตัวเหลืองมากบ้างน้อยบ้างเป็นปกติ โดยทั่วไปจะพบว่าตัวเหลืองมากที่สุดช่วง 3-4 วันหลังเกิด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทารกและมารดาออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งมารดาจะต้องสังเกตว่า ลูกตัวเหลืองมากจนต้องกลับมาพบแพทย์ เพื่อทำการประเมินและตรวจร่างกายซ้ำว่า ไม่เป็นอันตรายต่อทารกหรือไม่ทารกที่มาพบแพทย์เมื่อตัวเหลืองมากจนถึงขั้นเป็นพิษกับเนื้อสมอง อาจจะสายเกินไป เพราะภาวะดังกล่าวได้ส่งผลเสียหายกับสมองที่เรียกว่าเป็น "สมองพิการ" ทำให้ทารกมีอาการบิดเกร็งแขนขา หลังแอ่น ชัก และอาจเสียชีวิตได้ หรือถ้ารอดชีวิตก็อาจมีผลในระยะยาว เช่น ปัญญาอ่อน การได้ยินบกพร่อง แขนขาเกร็งผิดปกติ เป็นต้นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตัวเหลืองมากในทารกจนอาจเป็นอันตราย ได้แก่ ทารกที่เกิดก่อนกำหนด, ทารกที่กรุ๊ปเลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน เช่น แม่มีเลือดกรุ๊ปโอ ลูกมีเลือดกรุ๊ปเอหรือบี, ภาวะหรือโรคที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย ที่พบบ่อย เช่น ภาวะพร่อง จี 6 พีดี (G-6PD deficiency) หรือมีประวัติเคยมีบุตรที่ต้องส่องไฟรักษาตัวเหลืองมาก่อน รวมทั้งลูกได้น้ำนมไม่เพียงพอและมีน้ำหนักตัวลดลงมากดังนั้นหากทารกที่เพิ่งเกิดและมีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตอาการตัวเหลืองในลูก หากไม่แน่ใจว่าตัวเหลืองมากผิดปกติหรือไม่ ควรนำทารกไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจประเมิน ทั้งนี้ในปัจจุบันการรักษาภาวะตัวเหลืองมากผิดปกติทำได้ง่ายๆ โดยการส่องไฟ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง สามารถลดระดับตัวเหลืองได้ นอกจากนี้ หากตัวเหลืองมากจนอาจเป็นอันตราย ก็สามารถให้การรักษาด้วยวิธีการเปลี่ยนถ่ายเลือดได้
2.ภาวะติดเชื้อในทารก เนื่องจากทารกแรกเกิดยังมีภูมิต้านทานไม่มากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือเกิดก่อน กำหนดทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายและลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมอง ปอดอักเสบ ทารกที่มีภาวะติดเชื้ออาจมีอาการแสดงได้หลายอย่าง เช่น ซึม ดูดนมน้อย นอนนิ่งๆ ไม่ค่อยขยับแขนขาหรือร้อง ตัวเย็น ตัวลาย หายใจเร็วผิดปกติ หยุดหายใจจนตัวเขียวหรือซีด บางรายอาจมีอาการเกร็งกระตุก หรือมีไข้ ทารกที่มีภาวะติดเชื้อรุนแรงอาจถึงกับช็อก ความดันเลือดต่ำ และเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากท่านสังเกตเห็นอาการผิดปกติดังกล่าว ควรรีบนำทารกมาพบแพทย์เพื่อให้การตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาตามความเหมาะสม
3.โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ทารกที่มีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ หัวใจพิการชนิดมีภาวะตัวเขียว และชนิดไม่มีภาวะตัวเขียว อาการที่พบและทำให้สงสัยว่าอาจมีโรคหัวใจ เช่น ริมฝีปากเขียว หายใจแรงเร็ว ซี่โครงบาน หน้าอกบุ๋ม จมูกบาน ดูเหนื่อย ดูดนมไม่นานก็หยุดเป็นพักๆ หายใจแรง ตัวเย็น มือเท้าเย็น ซีดแบบเฉียบพลัน ทารกบางรายแพทย์อาจตรวจพบว่ามีโรคหัวใจตั้งแต่ก่อนออกจากโรงพยาบาล และตรวจพบว่ามีเสียงหัวใจผิดปกติ ซึ่งอาจตรวจไม่พบ และแสดงอาการชัดเจนในช่วงหลังก็ได้
4.ภาวะลำไส้ขาดเลือดจากการบิดขั้ว เนื่องจากการจัดเรียงตัวของลำไส้ผิดปกติแต่แรกเกิด (malrotation)เป็นภาวะที่พบไม่บ่อย แต่ถ้าเป็นแล้วให้การวินิจฉัยและรักษาล่าช้า จะทำให้ทารกเสียชีวิตได้ สาเหตุเกิดจากลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่มีการจัดเรียงตัวผิดปกติตั้งแต่เกิด ทำให้เกิดการบิดขั้วของเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงผนังลำไส้ ทำให้ลำไส้ขาดเลือด ทารกจะปกติดีทุกอย่างเมื่อแรกเกิด แต่ต่อมามีอาการอาเจียน ท้องอืด ถ่ายเป็นเลือดหรือสีน้ำหมาก หากปล่อยไว้ จะซึม ตัวซีด มีภาวะช็อก และเสียชีวิตได้ ทารกที่มีภาวะดังกล่าวต้องรีบให้การรักษาโดยการผ่าตัดอย่างรีบด่วน เพื่อไม่ให้ลำไส้ขาดเลือดจนไม่สามารถแก้ไขได้
5.ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิดเป็นภาวะที่พบได้บ่อยพอสมควรในประเทศไทย โดยทั่วไปประมาณ 1 ต่อ 3,000-4,000 จะพบอุบัติการณ์ได้มากในบางพื้นที่ของประเทศไทย ที่มีการบริโภคธาตุไอโอดีนน้อย เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถึง 1 ต่อ 1,900 ทารกเกิดมีชีพ ภาวะนี้เป็นภาวะซ่อนเร้นอยู่ในตัวทารก เนื่องจากไม่สามารถบอกความผิดปกติได้จากการดูภายนอก เนื่องจากทารกจะดูเป็นปกติทุกอย่าง แต่หากไม่ให้การรักษาตั้งแต่ในระยะแรก (ภายใน 2 เดือน) จะส่งผลเสียรุนแรงต่อพัฒนาการเจริญเติบโตและสมอง ทำให้ปัญญา อ่อน อันที่จริงเราสามารถตรวจได้ง่าย เพียงตรวจเลือดทารกก่อนออกจากโรงพยาบาล เช่น หยดเลือดบนกระดาษกรองส่งตรวจ ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลเกือบทุกแห่งทำการตรวจคัดกรองภาวะดังกล่าว ดังนั้นหากท่านได้รับการติดต่อจากทางโรงพยาบาล หรือจากกระทรวงสาธารณสุขว่า สงสัยทารกจะมีภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน ต้องรีบนำทารกกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจซ้ำ และให้การรักษาในทันที เพื่อป้องกันภาวะปัญญาอ่อนแม้ว่า 5 อันดับโรคร้ายที่มักพบในเด็กแรกเกิด จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง แต่ก็เชื่อว่าความรัก ความเอาใจใส่ การเลี้ยงดูเด็กทารก ก็คงจะมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เพียงเพื่อให้เด็กเติบโตมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในสังคม
ขอบคุณข้อมูลจาก
โดย รศ.นพ.ประชา นันท์นฤมิตหน่วยทารกแรกเกิด ภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
Written by on
Written by on
รู้จัก...ลูกรักแรกเกิด
คุณแม่หลายท่านอาจไม่เคยทราบว่าลูกน้อยแรกเกิดมีลักษณะอะไรที่แตกต่างและควร ใส่ใจ วันนี้เราจึงนำความรู้ดีๆ เช่นนี้มาให้คุณแม่ทำความเข้าใจลูกน้อยแรกเกิด
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารรักลูก ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
ลักษณะทั่วไปของทารกแรกเกิด
บทความกล่าวถึง อวัยวะต่างๆของทารก เช่น ตา หู จมูก ปาก สะดือ อวัยวะเพศ และวิธีการดูแลทำความสะอาด รวมถึงภาวะที่พบได้เป็นปกติในทารกแรกเกิด เช่น เลือดออกทางช่องคลอดที่เป็นผลมาจากฮอร์โมน
การมีโลหิตไหลออกทางช่องคลอด
อาจพบได้ในทารกหญิงที่ครบกำหนด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงหลังคลอดของฮอร์โมนเมื่ออายุ 3-4 วัน อาจมีโลหิตออกได้เล็กน้อย จะเป็นอยู่ครั้งเดียวและเป็นปกติไม่มีอันตรายหรือต้องรักษาอย่างใด
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารรักลูก ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on
Written by on
พัฒนาการด้านภาษาของลูกน้อย
ช่วงอายุ 1-6 เดือน พัฒนาการด้านภาษาของเด็กในระยะ 6 เดือนแรกของชีวิตยังมีลักษณะเป็นสากล กล่าวคือเด็กทั่วโลกมักจะมีขึ้นตอนการเปลี่ยนแปลงคล้ายคลึงกัน โดยเริ่มจากการทำเสียงในลำคอคล้ายเสียงสระ เช่น อู อา ในช่วงเดือนแรก เมื่ออายุประมาณ 2-3 เดือน เด็กจะเริ่มมีเสียงสระอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น และเข้าใจจังหวะของการผลัดกันพูดคุยกับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู บางครั้งเด็กอาจเริ่มส่งเสียงร้องที่บ่งบอกถึงความต้องการที่แตกต่างกันได้ เช่น การร้องซึ่งหมายถึงหิว ร้องเมื่อต้องการให้มีผู้อื่นมาสนใจหรือเล่นด้วย เป็นต้น การส่งเสียงร้องที่แตกต่างกันเหล่านี้เป็นขั้นตอนแรกที่ผู้เลี้ยงดูสามารถ สังเกตและตอบสนองหรือสื่อสารกลับ เพื่อเป็นการเริ่มต้นการสอนวิธีสื่อสารระหว่างบุคคลให้แก่เด็ก นอกจากการทำเสียงคล้ายพูดคุยโต้ตอบกับเด็ก ผู้เลี้ยงดูควรมีปฏิสัมพันธ์อื่นๆ ร่วมไปด้วย ได้แก่ การสัมผัส มองหน้าสบตา สังเกตลักษณะหรือสีหน้าท่าทางของเด็ก เพราะจะช่วยให้การตอบสนองการสื่อสารเป็นไปอย่างเหมาะสมและรอบด้านในช่วงอายุ ประมาณ 4 เดือน เด็กจะเริ่มทำเสียงที่ใช้ริมฝีปาก (babbling) การทำเสียงริมฝีปากจะทำให้เด็กออกเสียงเป็นพยัญชนะอื่นๆ ได้เพิ่มมากกว่าเสียง อ.อ่าง เสียงสากลทั่วไปมักเป็นเสียงพยัญชนะ พ บ ป ม ในระยะแรกที่เด็กทำเสียงจากริมฝีปากเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นทีละเสียงและฟังไม่ชัดเจน แต่จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น และเป็นเสียงซ้ำๆ เช่น ปาปา มามา เป็นต้น พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูในสังคมต่างๆ จะตอบสอนงต่อเสียงเหล่านี้ ไปตามความเข้าใจของวัฒนธรรมหรือภาษาของตน โดยเข้าใจว่าเด็กออกเสียงฟังดูคล้ายๆ
แม้พัฒนาการทางภาษาโดยเฉพาะภาษาพูดในช่วงวัยนี้ จะมีความเป็นสากล คือ ไม่แตกต่างกันมากนักในทุกสังคมทั่วโลก และเด็กยังพูดสื่อสารไม่ได้ การเลี้ยงดูดอย่างใกล้ชิดและมีการพูดคุยส่งเสริมให้มีพัฒนาการทางภาษาอย่าง เหมาะสมตั้งแต่แรกหลังเกิด ยังคงมีความสำคัญต่อการรับรู้และค่อยๆ เกิดความเข้าใจในภาษาที่ตนได้ยินเป็นประจำ รวมทั้งได้มีโอกาสเรียนรู้ขึ้นตอนการสื่อสารโต้ตอบ ทั้งในด้านภาษาท่าทางและภาษาพูด การเรียนรู้เหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากพัฒนาการทางภาษาในแต่ละสังคมหรือ วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เด็กต้องค่อยๆ เรียนรู้เสียงและการสื่อสารที่เป็นลักษณะเฉพาะทางสังคมนั้นๆ นอกจากนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าเด็กสามารถได้ยิน ฟังและทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้มาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มพูดที่มีความหมายคำแรก
พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูควรพูดคุยกับเด็กอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะขณะที่ให้การดูแลเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน เด็กทารกมักมีความสนใจเสียงที่ค่อนข้างแหลม ซึ่งใกล้เคียงกับเสียงผู้หญิงหรือผู้ที่เป็นแม่มากกว่าเสียงทุ้ม ดังจะสังเกตได้ว่า คนโดยทั่วไปมักคุยกับเด็กทารกด้วยโทนเสียงที่ค่อนข้างแหลม และพูดคุยในลักษณะภาษาเหมือนเด็กใช้เพื่อดึงความสนใจจากเด็ก นอกจากคำพูดที่เป็นเสียงสูงมากกว่าปกติแล้วการทำเสียงสูงๆ ต่ำๆ ตลอดจนมีน้ำเสียงที่มีลักษณะแตกต่างกันไปบ้างตามสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ความหมายของการสื่อสารที่บอกถึงอารมณ์ความรู้สึกแตก ต่างกันไปของผู้พูด มีคำแนะนำว่าการใช้ภาษาเด็กพูดคุยกับเด็กควรจะค่อยๆ ลดลงภายหลังช่วงอายุ 6 เดือน การสื่อสารด้วยคำพูดอย่างชนิดที่ใช้กับเด็กโตหรือผู้ใหญ่เพิ่มมากขึ้นจะ ค่อยๆ ช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาในระยะต่อไปได้อย่างดี
โดย นิชรา เรืองดารกานนท์
Written by on
Written by on
การเลือกเสื้อผ้าให้กับทารกแรกเกิด
ดิฉันไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับลูกเท่าไร เพราะผู้ใหญ่บอกว่ายังไม่ให้เตรียม จนกว่าลูกจะเกิดและกลับบ้านแล้ว เพราะทางญาติสามีดิฉัน ถือ ตอนนี้ลูกกลับบ้านมาแล้ว ดิฉันคงต้องไปเลือกซื้อเสื้อผ้า ควรเลือกชนิดไหนดี ดิฉันควรเลือกเสื้อผ้าสำหรับลูกสักกี่ชุดจึงจะพอ เสื้อสำหรับทารกถ้าเป็นเสื้อที่ผ่าหน้า และใช้เชือกผูกไว้ด้านข้าง เป็นเสื้อผ้าที่ใส่ง่าย เสื้อที่ผ้าฝ้ายจะดีกว่าใยสังเคราะห์ อาจใช้เป็นเสื้อแขนยาวในช่วงทารกแรกเกิด เพื่อให้ลูกอบอุ่น เสื้อหลวม ๆ ทั้งตัวและแขนเสื้อ สวมใส่ได้ง่ายและสบายตัว ถ้าเป็นเสื้อสวมหัว ควรจะคอกว้างพอที่จะสวมหัวได้ง่าย ถ้าคอแคบควรมีผ่าตรงไหล่ และมีกระดุมติดด้านบน
เมื่อสวมหัวแล้วค่อยจับแขนลูกเบา ๆ สอดเข้าไปทางแขนเสื้อทีละข้าง ส่วนสีของเสื้อผ้านั้น ฝรั่งมีค่านิยมใช้สีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชาย สีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง เรื่องนี้ไม่มีผลต่อเด็กหรอกค่ะ แล้วแต่คุณพ่อ คุณแม่จะชอบ ลูกน้อยคุณต้องการเสื้อผ้า ที่เขาใส่แล้วสบายตัวเวลาสวมเสื้อผ้าให้ลูกอย่างดึงแขน หรือขาแรง ๆ อาจทำให้เคล็ดยอกได้ ควรซื้อเสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าอยู่สัก 1-2 เบอร์ จะได้ใส่สบาย และใช้ได้นาน
เสื้อผ้าที่ใส่ก็มีเสื้อผ้ายืด พร้อมกางเกงสวมที่ใส่ตลอดเวลาสัก 4-6 ชุด เสื้อบาง ๆ ผ้ามัสลินผูกหลังสัก 4 ตัว เสื้อผ้าที่ใช้สวมหัว
แล้วยาวลงไปติดกระดุมที่หว่างขา ที่เรียกว่า ?ชุดหมี? จะรัดตัวมากกว่าเสื้อผ้า 2 ท่อน ซึ่งเหมาะกับบ้านเราซึ่งมีอาการร้อนตลอดปีมากกว่า ถุงมือถุงเท้าก็ไม่ค่อยจำเป็นเพราะอากาศร้อนอบ ถ้าเกรงว่าเด็กจะข่วนหน้าก็ตัดเล็บให้สั้นไว้
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารรักลูก ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Written by on