รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

มหัศจรรย์แห่งสีเหลืองที่คนโบราณเชื่อถือ

สีเหลืองคงเป็นสีสวยในใจของหลายๆ คน แต่นอกจากความสวยงามแล้ว สีเหลืองยังมีคุณค่าทางจิตใจกับผู้คนในหลายประเทศอีกด้วย

ในสมัยโบราณ คนอินเดียเชื่อว่าภูตผีปีศาจชอบสีเหลือง ใครที่นุ่งห่มด้วยสีนี้ปีศาจจะคุ้มครอง 6 วันก่อนจะถึงวันแต่งงาน ว่าที่เจ้าสาวอินเดียจึงต้องห่มส่าหรีสีเหลืองกันทุกคน เพื่อไม่ให้ปีศาจที่อิจฉาความสุขของพวกเธอมาลักตัวไป

ผิดกับที่มาเลเซีย สีเหลืองไม่ใช่สีโปรดของปีศาจแต่เป็นสีโปรดของเทพเจ้า ชาวประมงจึงทาสีเรือด้วยสีเหลือง เพื่อว่าเวลาออกทะเลเทพเจ้าจะได้ช่วยคุ้มครองให้เรือฝ่าคลื่นลมกลับเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย และคนที่อยู่บนเรือก็จะไม่ถูกโรคระบาดซึ่งมักจะเกิดบนเรือประมงเล่นงานเอา

แพทย์อินเดียโบราณยังเชื่อด้วยว่าผลไม้ที่มีสีเหลืองมีสรรพคุณเป็นยาล้างสารพิษ ทำให้ระบบภายในร่างกายสะอาด ใช้เป็นยาแก้โรคเครียด ทำให้เลือดลมเดินเป็นปกติ ลดอาการเบาหวานและโรคไขข้ออักเสบ อีกทั้งถ้าใครป่วยเป็นโรคไต ถ้าได้มองสิ่งของที่เป็นสีเหลืองบ่อยๆ อาการจะดีขึ้น

และในประเทศฝรั่งเศสสมัยก่อนสีเหลืองเป็นสีที่แสดงถึงการทรยศหักหลัง ฉะนั้นเวลาจับคนนอกรีตหรือคนที่ทรยศต่อศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้ พวกเคร่งศาสนาจะให้คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีเหลืองก่อนจะเอาไปเผาทั้งเป็น ใครที่ถูกตัดสินข้อหาทรยศขายชาติ ที่ประตูบ้านก็จะถูกทาด้วยสีเหลืองเพื่อประจานให้เพื่อนบ้านเห็นทั่วๆ กัน ส่วนในห้องขังของนักโทษก็จะทาด้วยสีเหลืองเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นคนทรยศต่อสังคม

วงการแพทย์สมัยโบราณก็เชื่อเหมือนแพทย์อินเดียว่า คนที่ป่วยด้วยโรคไต ดีซ่าน จิตเภท และเบาหวาน หากได้เห็นสีเหลืองจิตใจและสุขภาพของคนไข้จะดีขึ้น

ในประเทศจีน ตัวงิ้วบางตัวจะทาหน้าเป็นสีเหลืองเพื่อให้คนดูรู้ว่าตัวละครตัวนี้เป็นคนเคร่งศาสนา แต่จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์ชิง ตัวละครหน้าเหลืองก็ถูกยกเลิกไป เพราะสีเหลืองถูกยกให้เป็นสีของราชวงศ์ มีแต่องค์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเท่านั้นถึงจะใส่เสื้อผ้าสีนี้ได้

*สีเหลืองในมุมมองของนักจิตวิทยา

  • นักจิตวิทยาวิเคราะห์กันว่าสีเหลืองเป็นสีที่กระตุ้นเร้าให้คนใช้ปัญญาและอยากจะเรียนรู้ เท่ากับเป็นสีแห่งความฉลาด ความรอบรู้ มุ่งมั่นตั้งใจ
  • ในอีกแง่หนึ่ง นักจิตวิทยาได้พบว่าคนที่เหงาหรือเปล่าเปลี่ยวเดียวดายไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ ถ้าได้เห็นสีเหลืองบ่อยๆ จิตใจจะค่อยๆ สงบ เปิดกว้าง และเข้าใจคนรอบข้างได้ดีขึ้น เพราะสีเหลืองมีอิทธิพลให้คนที่ได้เห็นรู้สึกสดใส มีความหวังขึ้น เป็นการบำบัดด้วยสีที่ดีวิธีหนึ่ง
  • คนที่ชอบสีเหลืองมักชอบอยู่คนเดียว พึ่งพาตัวเองได้ดี แต่เป็นคนอ่อนไหวง่ายต่อคำวิจารณ์ ถูกใครนินทาว่าร้ายก็จะเก็บมาเสียใจ
  • อย่าแต่งตัวด้วยชุดสีเหลืองเมื่อต้องไปเจรจาต่อรอง เพราะสีเหลืองจะทำให้อีกฝ่ายคิดว่าคุณเป็นคนเหลาะแหละ ไม่เหมาะจะร่วมงานด้วย อีกทั้งสีเหลืองจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามกับคุณ (ที่นั่งมองคุณอยู่) จิตใจปลอดโปร่ง คิดวางแผนหลอกล่อให้คุณตกหลุมพรางได้ดีเป็นพิเศษ


*ซิทริน หินสีเหลือง

  • ซิทรินเป็นหินสีเหลืองชนิดหนึ่งที่นิยมเอามาเจียรนัยทำเป็นเครื่องประดับ เชื่อกันว่ามันมีพลังในการบำบัดอารมณ์ ช่วยยกระดับจิตใจ ขับไล่ความคิดในแง่ลบ ถ้าคนใส่กำลังคิดอะไรร้ายๆ ซิทรินจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้มีเหตุมีผลขึ้น สอดคล้องกับหลักทางจิตวิทยาที่ว่าอิทธิพลของสีเหลืองทำให้จิตใจสงบชื่นบานขึ้น
  • ว่ากันว่าถ้าคุณมักจะฝันร้าย ให้วางหินสีเหลืองซิทรินไว้ใต้หมอนก่อนนอน จะช่วยให้หลับสบาย เพราะพลังจากสีเหลืองช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย เมื่อความเครียดลดลง ฝันร้ายๆ ก็ลดลงไปด้วย

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

เรื่องของสีตามประเพณีไทย

คนไทยเรานิยมตั้งชื่อสีโดยเปรียบเทียบกับธรรมชาติ เช่น สีเขียวอมเหลืองก็เรียกว่าสีตองอ่อน เพราะเอาไปเปรียบเทียบกับใบตองที่ยังไม่แก่จัด เรียกสีแดงอมชมพูว่าสีทับทิม ก็เพราะเอาไปเปรียบกับเมล็ดของผลทับทิม ที่ไมถึงกับแดงเสียทีเดียว แต่ก็ไม่เชิงเป็นสีชมพู นี่ล่ะความช่างสังเกตของคนไทย

และก็เพราะชอบเปรียบเปรยตามธรรมชาตินี่เอง สีที่คนไทยโบราณเรียกกันบางสี เด็กๆรุ่นใหม่เลยไม่เข้าใจว่าควรจะหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างเช่น สีจำปาอ่อน จำปาแก่ สองสีนี้ไม่ได้มาจากดอกจำปา แต่มาจากการเอาหัวขมิ้นและดอกคำมาตำรวมกันจนได้ออกมาเป็นสีสำหรับย้อมผ้า ส่วนสีหมากสุกก็มาจากวิธีเดียวกันแต่ผสมด่างและน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยได้ออกมาเป็นสีเหลืองค่อนไปทางน้ำตาล คล้ายๆผลหมากเวลาสุกเต็มที่

ถึงแม้ว่าคนไทยเราจะฉลาดย้อมสีผ้าได้ทุกสีแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ใส่ทุกสีไปด้วย เพราะบางสีถูกสงวนไว้ให้คนชั้นสูงใส่เท่านั้น อย่างเช่น สีแดงถือว่าเป็นสีสำหรับเจ้านายประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิ์นุ่งห่มด้วยสีนี้ ใครทำเบาะๆ ก็ถูกคนอื่นค่อนว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเห็นเข้าก็จะมีโทษ ยิ่งถ้าใส่เข้าไปในวังยิ่งไม่ได้เป็นอันขาด กฎหมายบทหนึ่งระบุว่า "อนึ่ง ผู้ใดทัดดอกไม้และนุ่งผ้าแดง ผ้าชมพูไพระกำ...แลเข้าไปในสนวนประตู ทับเรือก็ดี ฝ่ายผ้าเสื้อไซ้ให้ฉีกทิ้งเสีย" แปลว่าในวังนั้นเขาห้ามมคนที่ไม่ใช่เจ้านายนุ่งผ้าแดง ผ้าสีชมพู หรือผ้าที่สีออกไปทางแดง ไม่อย่างนั้นจะถูกจับฉีกเสื้อผ้ากันตรงนั้นเลย

สีประจำวันตามความเชื่อแบบไทย
คนไทยเราตั้งชื่อสีตามสีจากธรรมชาติก็จริง แต่สำหรับสีประจำวันของแต่ละวันนั้น เราเอามาจากสีกายของเทวดาตามที่เขียนไว้ในตำนาน

วันอาทิตย์สีแดง ตำนานเล่าว่าครั้งนั้นพระอิศวรเอาราชสีห์ 6 ตัวมาป่น แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระอาทิตย์ มีกายแดงฉาน สีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและแรงปรารถนา ในด้านสุขภาพ สีแดงยังช่วยในการไหลเวียนโลหิต ทำให้สุขภาพแข็งแรง

วันจันทร์สีเหลือง ตำนานว่าพระอิศวรร่ายพระเวทให้นางฟ้า 15 นาง กลายเป็นผงละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าสีเหลืองอ่อน ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระจันทร์ มีกายสีเหลืองนวล สีเหลืองมีความหมายถึงความเจิดจ้า สว่างไสว และความเชื่อใจ เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่และชีวิตที่ดีขึ้น

วันอังคารสีชมพู ตำนานเล่าว่า พระอิศวรร่ายพระเวทให้กระบือ 8 ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดงหลัว ของในห่อผ้านั้นก็บังเกิดเป็นพระอังคาร มีสีกายเป็นสีแก้วเพทายหรือสีชมพู อานุภาพของสีชมพูจะทำให้แรงปรารถนาของสีแดงอ่อนโยนลง กลายเป็นสีอันอ่อนละมุน สีชมพูช่วยในการตัดสินใจได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรัก เพราะสีชมพูหมายถึงความรักที่คงทนและไร้เงื่อนไข ในเรื่องสุขภาพสีชมพูสร้างความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและใจ

วันพุธสีเขียว ตามตำนานบอกว่าพระอิศวรร่ายพระเวทให้พญาคชสาร 17 ตัว กลายเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีเขียวใบไม้ ประพรมด้วยน้ำอมฤตจนบังเกิดเป็นพระพุธ มีสีกายเป็นสีแก้วมรกต สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความมีชีวิตชีวา ทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต เชื่อกันว่าสีเขียวมีคุณลักษณะอันเป็นประโยชน์หลายประการ เช่น ช่วยให้ตาผ่อนคลาย เพิ่มพูนความฉลาดและกล้าหาญ ช่วยป้องกันโรคร้าย สีเขียวจะมีพลังสูงสุดเมื่ออยู่คู่กับคนที่เกิดวันพุธ

วันพฤหัสบดีสีส้ม ตามตำนานบอกว่าพระอิศวรร่ายพระเวทให้พระฤาษี 19ตน กลายเป็นผง แล้วเอาผ้าสีแสดห่อผงนั้น ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระพฤหัสบดี มีสีกายเหมือนสีผ้าที่ห่อ สีส้มเป็นสีที่แสดงถึงความหวัง ช่วยให้คนที่นุ่งห่มด้วยสีนี้กล้าเผยความรู้สึกที่เก็บกดเอาไว้ออกมา

วันศุกร์สีฟ้าหรือสีคราม ตำนานเล่าว่าพระอิศวรร่ายพระเวทให้โค 21 ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีฟ้า ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระศุกร์มีกายสีฟ้า สีฟ้าแสดงถึงสันติภาพ ความสงบและความฝัน สำหรับคนที่ทำธุรกิจ สีฟ้าช่วยยุติการทะเลาะเบาะแว้ง และช่วยให้มีความกล้าในการตัดสินใจทำสิ่งที่ยากลำบาก

วันเสาร์สีม่วง ตำนานกล่าวว่า พระอิศวรร่ายพระเวทให้เสือ 10 ตัวกลายเป็นผงแล้วห่อด้วยผ้าสีม่วงประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระเสาร์ สีม่วงเป็นสีแห่งความลึกลับ ความรุ่งโรจน์ เป็นประโยชน์สำหรับคนที่เคร่งเครียดและบ้างานเพราะจะช่วยให้คนที่สวมใส่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมีจิตใจผ่อนคลายขึ้น

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ทรงผมย้อนยุคผู้หญิงจีนโบราณ

ทรงผมของผู้หญิงจีนโบราณเป็นอะไรที่คนรุ่นใหม่อย่างเราต้องมองกันด้วยความทึ่ง เพราะไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนประดิดประดอยทรงผมอลังการงานสร้างแบบนี้ออกมาเดินถนนกันได้ แต่พวกเธอทำได้จริงๆ และทำติดต่อกันมาเป็นร้อยๆปีแล้วด้วย

ในยุคที่เพิ่งก่อตั้งชาติจีนใหม่ๆ ทรงผมของชาวจีนยังไม่พิสดารล้านเจ็ดอะไร ผู้ชายจะใช้ผ้าโพกผมหรือไม่ก็สวมหมวกทรงกลมๆ ทับบนผมที่มัดไว้อย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ร่วงลงมาเกะกะเวลาล่าสัตว์เท่านั้นเอง ส่วนผู้หญิงจะมัดเป็นมวยง่ายๆ แล้วใช้ปิ่นที่ทำจากกระดูกตรึงผมไว้ จนกระทั่งชาติจีนรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น ผู้คนกินดีอยู่ดีมีบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง ผู้หญิงจึงได้เริ่มใส่ใจเรื่องความสวยความงามกันมากขึ้น อย่างเช่นในสมัยของฉินซีฮ่องเต้ สตรีในราชสำนักต่างก็เกล้าผมประชันกันเต็มที่ โดยเอาไอเดียมาจากภาพวาดเทพธิดา ทุกนางเลยทำผลเกล้ามวยสูง ประดับประดาตระการตาเป็นนางฟ้า เทวดากันทั้งวัง ยิ่งมาถึงสมัยถังซึ่งเป็นยุคแห่งความเจริญสูงสุด ทรงผมของผู้หญิงก็ยิ่งมีลูกเล่นและมีการครีเอททรงใหม่ๆ ออกมาอีกนับร้อยทรงจนสามารถรวบรวมเป็นตำราได้เล่มหนึ่งเต็มๆ ชื่อว่า " บันทึกประเภทของมวยผม"

ทรงผมมาตรฐาน 6 แบบ ที่สตรีชาวจีน สมัยโบราณนิยมทำกัน

1.ทรงเกล้ามวยสูง เอามาจากความเชื่อของชาวจีนว่าเหล่านางฟ้าในตำหนักเทพบนสวรรค์จะเกล้าผมสูงเพื่อเพิ่มความสง่างามให้ดูแตกต่างจากมนุษย์โลก สาวชาววังชั้นพระมเหสี นางสนม และสตรีชั้นสูงเลยทำเลียนแบบบ้าง โดยดัดแปลงไปตามความชอบของแต่ละคน ที่ฮิตๆ กันมีอยู่ไม่กี่แบบเช่น ทำยอดผมตั้งสูงขึ้นไปตรงๆบ้าง ก็ลาดเอียงแยกออกไปสองข้าง หรือบางแบบก็ทำผมให้เป็นเกลียวห้อยลงมา แล้วตกแต่งด้วยเครื่องประดับประเภทไข่มุก ปิ่นหยก ปิ่นทองคำ โดยแข่งกันเรื่องความสูง ยิ่งเกล้ามวยได้สูงจะถือว่ายิ่งสวย แต่ทรงนี้สาวๆชาวบ้านไม่นิยมทำเพราะทำยาก กว่าจะเสร็จต้องใช้ผมปลอมช่วยเป็นสิบๆ ปอย ซ้ำยังเดินเหินข้างนอกลำบาก ต้องประคับประคองทรงผมกันตอดเวลา

2. ผมแบบขด ทรงผมนี้ถูกครีเอทขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่น เจ้าของความคิดเป็นสาวชาววังของแคว้นเว่ยคนหนึ่งที่ไปเห็น งูเขียวกำลังขดตัวอยู่ในวัง เลยเก็บไอเดียมาทำเป็นทรงผม ตั้งชื่อว่า " ว่ามวยผมวิญญาณงู" ตามลักษณะของทรงผมที่ขดไปขดมาเหมือนงูขดตัวพันยอดไม้ หลังจากนั้นก็มีคนประยุกต์ไปอีกหลายแบบ เพราะเป็นทรงที่ทำง่าย จะขดม้วนอยู่กลางศีรษะก็ดูดี จะขดยื่นออกมาด้านหน้าหรือด้านข้างก็กิ๊บเก๋ทั้งนั้น สาวๆสมัยนั้นจึงนิยมกันมาก

3.ทรงก้นหอย จากภาพวาด รูปปั้นแกะสลัก และหนังสือนิยาย ทำให้รู้ว่าผมทรงก้นหอยอินเทรนด์มากในสมัยราชวงศ์ถัง เวลาจะเกล้าผมทรงนี้ต้องค่อยๆ ขดผมขึ้นไปเป็นชั้นๆ หรือใช้ลวดเหล็กช่วยม้วนผม ให้เป็นทรง จากนั้นก็ถักให้เป็นลักษณะของก้นหอยอีกทีหนึ่ง

4.ทรงผมแบบมวยย้อน ผมทรงนี้คือสุดยอดทรงผมที่อิตกันระเบิดระเบ้อในสมัยเว่ยจิ้นและสมัยสุ่ยถัง แต่กว่าจะทำให้สวยได้ต้องอาศัยฝีมือและเวลาพอดู เพราะต้องรวบผมไว้ข้างหลัง มัดด้วยลวด แล้วถึงจะแบ่งผมออกเป็นมวยเล็กๆตามใจชอบ ถ้าแบ่งให้เหมือนนกกระพือปีกก็เรียกว่า ทรง" มวยผมห่านฟ้า" ถ้าทำให้เหมือนใบมีดก็เรียกว่า "ทรงมีดคว่ำ" หรือถ้าทำเป็นหลายแฉกคล้ายกลีบดอกไม้ก็จะเรียกว่า "ทรงร้อยดอกไม้" เป็นต้น

5.ทรงกระดูกสันหลัง ผมทรงกระดูกสันหลังจัดว่าเรียบง่ายที่สุดในบรรดาผมทุกทรงที่เล่ามา เพราะเป็นเพียงการเกล้ามวยสูงต่ำลดหลั่นกัน 2-3 มวย เอียงไปด้านหน้าหรือด้านหลังนิดหน่อย จากนั้นก็รัดด้วยขนแพะหรือลวด แล้วใช้ปิ่นปักผมยึดไว้ไม่ให้มวยร่วงลงมา เป็นอันเสร็จพิธี

6.มวยผมแบบแกละ ผมทรงนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากสมัยฉิน แล้วสาวๆก็ทำกันเรื่อยมาทุกยุคสมัย แต่เปลี่ยนชื่อไปตามลูกเล่นที่เพิ่มขึ้นมา เช่น "มวยผมง่ามคู่" "มวยผมรูบาก" คนที่นิยมทำทรงนี้มากที่สุดได้แก่สาวใช้ในราชสำนัก เพราะทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่ดูดีเหมาะกับสาววัยรุ่น พอสาวใช้ออกมาซื้อของนอกวังสาวชาวบ้านเห็นเข้าก็ทำตามบ้าง จนกลายเป็นทรงฮิตติดลมของวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัยไปในที่สุด

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

มักกะลีผล นางงามต้นไม้

มักกะลีผลหรือต้นนารีผล เป็นต้นไม้ในวรรณคดีที่เซียนของขลังหลายคนพยายามตามหา เพราะเชื่อกันว่าถ้าได้ครอบครองแล้วจะมีโชคลาภ มักกะลีผลมาจากไหน และให้โชคได้จริงหรือเปล่า เรื่องอย่างนี้ต้องเฉลย!!!

หน้าตานารีผล ต้นมักกะลีผลเป็นต้นไม้วิเศษที่อยู่ในป่าหิมพานต์ เมื่อบานแล้วจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นสาวสวย และมีชีวิตเหมือนคนทุกอย่าง ว่ากันว่านางมักกะลีผลนั้นงามนัก ผิวพรรณละเอียดอ่อนดั่งเม็ดมะปราง ตาดำสีทอง ตาขาวสีฟ้า ผมสีทอง จมูกเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ที่ขวัญมีขั้วเหมือนมังคุด รูปร่างอรชรดุจสาวรุ่นอายุ 16 ปี ไม่มีไหปลาร้า นิ้วมือยาวเสมอกัน มีกลิ่นกายหอมกรุ่นชื่นใจ เต็มไปด้วยกามคุณทั้ง 5 ( รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ) ร่างกายเบาเพราะไม่มีกระดูก

วงจรชีวิตนารีผล
ต้นมักกะลีผลอยู่บนภูเขาที่ชื่อ "ตัณหาวัฒนะ" ในป่าหิมพานต์ เป็นต้นไม้สูงใหญ่ ลำต้นสีน้ำตาลทองใบสีทองมีรัศมี แต่ละปีจะออกดอกเพียงแค่ครั้งเดียว ลักษณะดอกคล้ายดอกกล้วยไม้ มีพวงละ 5 ดอก และทุกดอกจะมีหญิงสาวอยู่ 1 คน แต่ละนางลืมตาตลอดเวลาแต่พูดไม่ได้ มักกะลีผลจะบานตอน 6 โมงเช้า เวลาที่บานจะส่งกลิ่นหอมฟุ้ง แต่พอถึงเวลาหกโมงเย็นก็จะหุบ ความหอมของดอกนารีผลจะฟุ้งกระจายไปไกลจนวิทยาธรและฤษีชีไพร ที่ฝึกสมาธิอยู่ในป่าได้กลิ่น และจะมานั่งคอยรอวันที่ดอกบานกันเลยทีเดียว พอถึงวันที่ 7 ซึ่งเป็นวันที่ดอกบานเต็มที่ หญิงสาวในแต่ละดอกก็จะหลุดลงมาจากขั้ว ถึงตอนนี้เหล่าฤาษีวิทยาธรก็จะเข้ามาฉุดแต่ละนางไปเชยชม บางคนถึงกับฆ่ากันตายเพื่อแย่งนารีผลก็มี นารีผลจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 4-5 เดือน(เทียบเท่า เวลา 7 วันบนสวรรค์ ) จากนั้นก็จะเหี่ยวแห้งเหมือนดอกไม้ทั่วๆไป

กำเนิดนารีผล กำเนิดของต้นนารีผลเริ่มมาจากการออกบำเพ็ญเพียรในป่าของ "พระเวสสันดร" โดยมี "พระนางมัทรี" และ "กัณหา- ชาลี" ติดตามมารับใช้ด้วย แต่เพราะ "พระนางมัทรี" เป็นสาวสวย "ท้าวสักกะเทวราช" (พระอินทร์) ก็เกรงว่าพวกวิทยาธร คนธรรพ์ และฤาษีชีไพรในป่าจะมาลวนลามพระนาง จึงได้เนรมิตให้เกิดต้มมักกะลีผลทั้งหมด 16 ต้น ล้อมบริเวณที่พักของพระเวสสันดร อยู่ห่างๆ และให้ต้นมักกะลีผลมีกลิ่นหอมเย้ายวน เพื่อล่อให้ฤาษีชีไพรและวิทยาธรตามกลิ่นไป จะได้ไม่มาทำอันตราย พระนางมัทรี

สำหรับนางมักกะลีผลแต่ละนางก็ไม่ใช่ใครอื่น ทุกดอกคือเทพธิดาที่หมดบุญจากสวรรค์แล้วและต้องลงมาเกิดเพื่อใช้กรรมของตัว ความสวยของนารีผลแต่ละดอกจึงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผลบุญของนางฟ้าแต่ละองค์ด้วย ใครทำบุญมามากก็สวยมาก ใครทำบุญมาน้อยก็สวยสู้นางอื่นไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนางฟ้าลงมาเกิดแล้ว อย่างไรเสียแต่ละนางก็ต้องสายหยดย้อยกันทั้งนั้น เมื่อวิทยาธรหรือฤาษีตนใดมาฉุดนางมักกะลีผลไปเชยชมแล้วก็จะศีลขาด ฤทธิ์อำนาจจะเสื่อม ทำให้เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้อย่างเก่า ต้องกลับไปบำเพ็ญบุญบารมีกันใหม่ถึงจะมีอำนาจเหมือนเดิม ฤาษีบางตนที่ต้องการทดสอบระดับความเข้มแข็งของลูกศิษย์ว่าจะละกิเลสตัณหาได้หรือยัง ก็จะใช้นารีผลนี่ละเป็นเครื่องทดสอบ โดยจะพาศิษย์มาฝึกสมาธิบริเวณต้นนารีผลเพื่อดูว่าจะมีศิษย์คนไหนเป๋ออกนอกลู่นอกทางบ้างหรือเปล่า

จุดจบของนารีผล คนธรรมดาอย่างเราไม่มีทางเข้าไปในป่าหินพานต์ได้ จึงไม่มีใครรู้ว่าหลังจากที่พระเวสสันดร เสด็จกลับคืนพระนครแล้ว มักกะลีผลยังอยู่หรือเปล่า แต่มีตำนานอินเดียเรื่องหนึ่งเล่าว่า พระฤาษีผู้มีตบะแก่กล้าตนหนึ่ง ไปฉุดเอานางนารีผลชื่อ นางนรสี มาเป็นภรรยา แต่ต่อมา นางนรสี กลับไปลักลอบเป็นชู้กับคนธรรพ์ ฤาษีโกรธมากจึงได้สาปนางนรสี รวมทั้งนารีผลทุกต้นให้กลายเป็นหิน ทำให้นารีผลทุกต้นไม่มีโอกาสได้ออกดอกในป่าหิมพานต์อีกเลย จวบจนถึงทุกวันนี้ และเป็นจุดสิ้นสุดของการมีนารีผลในป่าหิมพานต์ตลอดไป

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ทรงผมของเด็กไทยสมัยโบราณ

เด็กไทยสมัยก่อนอาจจะมีอิสระวิ่งเล่นกันได้อย่างเสรี แต่สำหรับทรงผมแล้วพวกหนูๆ เขาไม่มีสิทธิ์เลือก เพราะเด็กไทยสมัยโบราณมีทรงผมภาคบังคับให้ทำแค่ 4 ทรงเท่านั้น ไม่ว่าจะจู้จี้แค่ไหนก็ไม่มีทางแต่งสวยเสริมหล่อกันได้มากกว่านี้

สี่ทรงบังคับ ทรงผมทรงแรกเป็นทรงที่ลูกหลานคนรวยในละครไทยแท้ทุกเรื่องต้องไว้กัน นั่นคือผมจุก คาดว่าที่ลูกคนรวย (ในละคร) ชอบทำเพราะทำแล้วดูสวยน่ารักดี แถมยังมีมวยให้เสียบปิ่นทอง เงิน นาก หรือคล้องพวงมาลัยได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเด็กๆ ลูกคนจนที่ไม่มีเครื่องประดับมีค่า พ่อแม่ก็จะใช้ผ้ามัดไว้ หรือบางบ้านอาจจะถักเป็นเปียก่อนแล้วค่อยยกขึ้นไปขมวดมุ่นบนกระหม่อม ผมจุกจะได้อยู่นานไม่หล่นลงมารุงรัง

ทรงบังคับลำดับที่สองเรียกว่าผมแกละ โดยพ่อแม่จะโกนผมลูกออกเหลือไว้เป็นกระจุกที่เรียกว่าแกละ ส่วนจะเหลือกี่แกละนั้นไม่มีใครห้าม แล้วแต่คนโกนเองว่าจะเมตตาไว้ชีวิตเส้นผมกี่ปอย เด็กบางคนอาจมีสองแกละ สามแกละ หรือสี่แกละด้วยซ้ำไป ถ้าได้พ่อแม่ดีไซน์เก่งๆ

ผมทรงที่สามเรียกว่าผมโก๊ะ คนโกนจะเหลือผมอยู่แค่กระจุกเดียวตรงขวัญ (ส่วนโค้งของศีรษะ) ส่วนบริเวณอื่นจับโกนจนล้านเลี่ยนเตียนโล่งหมด

และทรงสุดท้ายเรียกว่าผมเปีย เป็นทรงที่ต่อเนื่องมาจากผมแกละและผมโก๊ะ พอผมปอยที่เหลือไว้นั้นยาวมากจนรุงรังทิ่มหน้าทิ่มตา พ่อแม่ก็จะจับมาถักเป็นหางเปียให้เรียบร้อย แล้วปล่อยให้แกว่งไกวเล่นลมตามการเคลื่อนไหวของเด็ก จะไม่จับไปขมวดเป็นจุกแบบผมจุก

การตัดสินใจว่าเด็กคนไหนจะทำผมทรงไหน คนโบราณใช้วิธีเสี่ยงทายโดยการหาดินมาปั้นตุ๊กตาเด็กไว้แกละ ผูกจุก ไว้โก๊ะ แล้วให้เด็กเลือกหยิบเอาเองว่าเจ้าตัวชอบทรงไหน แปลว่านั่นคือทรงที่ถูกโฉลกกับเด็กคนนั้น ตุ๊กตาพวกนี้ปั้นแค่หยาบๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาหรือบอกเพศว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่คนที่เหนื่อยหนักที่สุดเห็นจะเป็นคนที่ทำตุ๊กตาแกละ เพราะจะต้องปั้นหลายตัวหน่อย คือทำเป็นตุ๊กตาหนึ่งแกละ สองแกละ สามแกละหรือจะสารพัดแกละก็ว่ากันไป เด็กจะต้องทำผมทรงที่ตัวเองเลือกไปจนกว่าจะถึงวัยโกนจุกเมื่ออายุ 11-12 ปี ถึงจะเปลี่ยนทรงได้

ขวัญกับทรงผม ผมไทยทุกทรงจะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ จะต้องมีปอยผมเหลืออยู่ตรงส่วนที่เป็นขวัญ คนโบราณให้เหตุผลว่าขวัญคือที่สถิตวิญญาณของคน จึงต้องมีผมมาปกคลุมไว้เสมอ ไม่อย่างนั้นขวัญจะไม่มีที่อยู่และอาจหนีไปที่อื่น ทำให้เด็กไม่สบายหรืออาจถึงตายได้ แม้แต่ตอนโกนผมไฟเมื่อเด็กอายุได้ 1 เดือน หรือเด็กเป็นเหาต้องโกนผมทิ้งทั้งศีรษะ ผมตรงขวัญก็ยังเป็นสิ่งที่จะแตะต้องไม่ได้ ต้องเก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

ความเชื่อของไทยข้อนี้ตรงกับชาวอินเดีย คนอินเดียเรียกบริเวณขวัญว่า "พรหมรันทร" เพราะถือว่าเป็นทางที่อาตมันหรือวิญญาณของคนเราจะเข้า-ออก เวลาคนเจ็บใกล้ตาย พวกโยคีจะทุบขม่อมบริเวณขวัญให้แตก เพื่อช่วยให้วิญญาณหลุดพ้นออกไปจากร่างได้สะดวก คนเจ็บจะได้หมดทุกข์

ส่วนในศาสนาพราหมณ์ เทพเจ้าพราหมณ์แทบทุกองค์จะไว้ผมยาวขมวดมุ่นเป็นมายกลางศีรษะ ศิษยานุศิษย์ในศาสนาพราหมณ์ทั้งหลายจึงต้องให้ลูกหลานทำมวยกลางศีรษะบ้าง คล้ายการใส่ยูนิฟอร์มบริษัทให้เทพเห็นว่าเด็กพวกนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นพนักงานในสังกัดของเทพเจ้า เทพจะได้เอ็นดูประทานพรให้และช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย

คนไทย พ.ศ.นี้อาจจะคิดว่ามีแต่เด็กผู้ชายเท่านั้นที่ไว้ผมแกละหรือผมโก๊ะ แต่ที่จริงผมทั้ง 4 ทรงนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับเพศใดโดยเฉพาะ ถ้าเด็กผู้หญิงเลือกหยิบตุ๊กตาแกละหรือโก๊ะ ก็ต้องไว้ผมทรงนั้นไปจนกว่าจะโตเหมือนกัน

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ประเพณีเวียดนามเพื่อเด็กเกิดใหม่

สมัยก่อนที่การแพทย์ยังพึ่งได้บ้างไม่ได้บ้าง เวลามีเด็กเกิดใหม่คนไทยเราจะงัดทั้งประเพณี พิธีกรรมความเชื่อออกมาใช้มือเป็นระวิง เพื่อให้เจ้าหนูคนนั้นอยู่รอดปลอดภัยไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ เวียดนามเพื่อนบ้านของเราเขาก็มีประเพณีน่ารักๆ แบบนี้เหมือนกัน

ก่อนที่เด็กจะคลอด แม่ของเด็กจะบูชานางฟ้า 12 องค์ ซึ่งเป็นผู้ปกปักษ์รักษาผู้หญิงท้องเพื่อขอพรให้ไม่แพ้ท้อง กินอาหารได้มาก และคลอดลูกออกมาแข็งแรงปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ส่วนหมอตำแยก็จะทำพิธีเสี่ยงทายดูว่าเด็กคนนี้จะคลอดออกมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า ถ้าเสี่ยงทายได้ผลร้ายจะได้รีบถวายเครื่องเซ่นแก้เคล็ดกันตั้งแต่เนิ่นๆ

เด็กที่เพิ่งคลอดส่วนหัวมักจะยื่นออกมา พอโตขึ้นหัวถึงจะค่อยๆ ยุบเข้าไป แต่ชาวเวียดนามเชื่อกันว่าเด็กที่หัวแหลมแบบนี้จะสมองทึบ หรือไม่ก็ฉลาดแกมโกง เป็นคนนิสัยไม่มี พอเด็กคลอดออกมาใหม่ๆ พ่อแม่เลยจะอุ้มเด็กขึ้นมาทำท่าเหมือนจะฟาดหัวลงไปกับเสา เป็นการแก้เคล็ดว่าเด็กคนนี้หัวทู่แล้ว 3 วันแรกที่เด็กเพิ่งเกิดชาวเวียดนามจะปิดประตูไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเข้าบ้าน เพราะลมหายใจของคนแปลกหน้าเป็นลางร้ายอาจพาโชคร้ายมาสู่แม่และลูก หลังจากคลอดลูกครบ 1 เดือน เวลาแม่เด็กไปตลาด ถ้ามีคนรู้จักให้ขนมหรือผลไม้ แม่เด็กจะต้องเอาขนมพวกนั้นให้กับหมอตำแยเป็นค่าทำคลอด แล้วปิดท้ายด้วยงานฉลองครบ 1 เดือนของเด็ก เพื่อให้เด็กแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน

ชาวเวียดนามถือว่าบ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่จะโชคร้ายไป 1 เดือน ต้องแก้เคล็ดด้วยการแขวนใบกระบองเพชรไว้ที่ประตูบ้าน แต่โชคร้ายนี้จะหายไปนับตั้งแต่วันที่ผู้เป็นแม่ลุกขึ้นไปตลาดได้เป็นครั้งแรกหลังจากคลอด

ชาวเวียดนามจะไม่ใช้คำว่าไม่สบายกับเด็กอ่อน เพราะถือว่าเป็นการแช่ง ถ้าเด็กไม่สบาย ผู้ใหญ่จะพูดว่า "เด็กไม่เล่น" แทน ยิ่งคำว่าตายนั้นชาวเวียดนามจะไม่พูดในบริเวณที่มีเด็กอยู่ด้วยเลย ถ้าจำเป็นต้องพูดถึงคนตายก็จะใช้คำว่า "คนๆ นั้นไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว" หรือ "คนๆ นั้นจากพ่อแม่ไปแล้ว"

ถ้าหากลูกอ่อนเป็นเด็กเลี้ยงยาก ขี้อ้อน ร้องไห้โยเย
เจ็บออดๆ แอดๆ บ่อยครั้ง แสดงว่ามีผีมารบกวน พ่อแม่จะพาเด็กคนนั้นไปขายให้ช่างตีเหล็ก ช่างจะใส่สร้อยข้อมือหรือสร้อยเหล็กไว้ที่ข้อเท้าของเด็กเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เชื่อกันว่าผีเวียดนามนั้นกลัวช่างตีเหล็กมาก มันจะไม่กล้ามายุ่งหรือทำอันตรายเด็กที่อยู่ในความปกครองของช่างเหล่านี้ เด็กคนนั้นจะได้แข็งแรง เลี้ยงง่าย โตวันโตคืน

ในกรณีเดียวกัน ถ้าไม่พาไปขายให้ช่างพ่อแม่ก็จะเอาลูกไปขายให้หมอผีประจำหมู่บ้าน แล้วหมอผีก็จะให้ของขวัญบางอย่างกับเด็กไว้ป้องกันภูตผีปีศาจ เช่น เครื่องราง หรือเสื้อสีเหลืองปักรูปมังกร หรือเสื้อเขียนยันต์ไล่ผีไว้ข้างหน้า เด็กจะได้พ้นจากการรบกวนของผีร้าย

ชาวเวียดนามมีความเชื่อเหมือนคนไทยว่า ผีจะมาขโมยเด็กที่สวยงามดูดีมีอนาคตไป เราถึงต้องชมเด็กว่า "น่าเกลียดน่าชัง" ส่วนชาวเวียดนามนั้นจะไม่ตั้งชื่อลูกด้วยคำเป็นมงคล แต่จะใช้คำที่ความหมายไม่ดี มีความหมาย มีความหมายประมาณลูกสุนัข ลูกกรอก ผีจะได้ไม่อยากเอาไปเป็นลูก แต่หลังจากเด็กโตประมาณ 2-3 ขวบ พ่อแม่จึงจะตั้งชื่อที่มีความหมายดีๆ กันอีกครั้ง

ในครอบครัวที่มีความรู้ จะตั้งชื่อเด็กด้วยคำที่หมายถึงความสุข หรือเป็นคำคล้องจองแบบในบทกวี ส่วนในครอบครัวที่ยากจนด้อยการศึกษา มักจะตั้งชื่อลูกให้พ้องเสียงกับชื่อของพ่อหรือลูกคนโต

ในบางบ้านหลังจากตั้งชื่อลูกแล้วพ่อจะเปลี่ยนชื่อตามลูก เพื่อที่พ่อลูกจะได้ใช้ชื่อเดียวกัน โดยมากพ่อจะเปลี่ยนชื่อตามชื่อลูกคนแรก ยกเว้นในกรณีพิเศษจริงๆ คนเป็นพ่อถึงจะเปลี่ยนชื่อตามลูกของเมียคนที่สอง หรือเปลี่ยนชื่อตามลูกบุญธรรม แต่บางคนก็อาจจะเปลี่ยนชื่อตามลูกคนที่อยู่ด้วย เพราะลูกคนอื่นๆ แต่งงานย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว

ชาวเวียดนามนิยมตั้งชื่อเด็กผู้หญิงให้มีความหมายเกี่ยวกับตะกร้าจ่ายตลาด
จะได้เป็นเคล็ดไปถึงเวลาที่เด็กโตขึ้นเธอจะได้ไปจ่ายตลาดซื้อของได้ในราคาถูก

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ต้นไม้ที่คนไทยไม่ชอบปลูกในบ้าน

คนไทยเราชอบปลูกต้นไม้เพื่อให้ความร่มรื่น ช่วยให้บ้านเย็นสบาย แต่ก็มีต้นไม้บางชนิดที่คนไทยจะร้องยี้ทันที ถ้ารู้ว่ามีใครเอาเข้าไปปลูกในบ้าน

มะละกอ เซอร์ไพรส์! เซอร์ไพรส์! แฟนคลับส้มตำคงแทบน้ำตานองหน้า แต่นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าส้มตำไม่ใช่อาหารไทยแท้ๆ แต่โกอินเตอร์มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่อย่างนั้นคนไทยคงปลูกมะละกอกันเต็มบ้านเอาไว้ตำเมนูยอดฮิตกินไปแล้ว แต่เมื่อไม่มีส้มตำคนไทยเลยมองไปที่ชื่อของมะละกอแล้วพบว่ามันไม่ค่อยจะเป็นมงคลหูเท่าไร ขืนปลูกไว้ลูกหลานในบ้านคงได้แตกกันเป็นกลุ่มเป็นกอ หาความสงบสุขไม่ได้ ถ้าบ้านไทยหลังไหนอยากปลูกมะละกอก็จะไปปลูกกันริมรั้วให้ห่างตัวเรือนมากที่สุดและปลูกไม่มาก แค่ต้นสองต้นเท่านั้น

เต่าร้าง ไม่ใช่แค่ชื่อของเต่าร้างที่ส่อไปในทางบ่อนทำลาย แต่หมอผีสมัยก่อนยังต้องใช้ใบเต่าร้างเป็นส่วนประกอบสำคัญเวลาจะทำพิธีทางไสยศาสตร์ให้คนรักเกลียดชังกัน ปู่ย่าตายายเลยสั่งสอนกันมาว่าห้ามผัวเมียคู่ไหนปลูกเต่าร้างไว้ในบ้านเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นอาถรรพ์ของมันอาจทำให้ต้องเลิกร้างกันก็ได้

หวาย ต้นหวายมีหนามทั่วทั้งกิ่ง เลยตกที่นั่งต้นไม้ที่คนไทยเหม็นขี้หน้า เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตมีอุปสรรคเต็มไปด้วยขวากหนาม

มะรุม ที่จริงคนไทยเราชอบกินมะรุมแต่ไม่ชอบปลูกไว้ในบ้าน เวลาจะกินต้องไปเก็บเอาตามทุ่งนาหรือซื้อจากแม่ค้าในตลาด เพราะชื่อของมะรุมตีความได้ว่าจะทำให้มีเคราะห์ร้ายมามะรุมมะตุ้มกินโต๊ะคนในบ้านจนหาความสุขไม่ได้เลยทีเดียว

ชบา ที่จริงคนไทยกับดอกชบาไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน แต่เรารับความเชื่อมาจากลิทธิฮินดูที่เชื่อว่าชบาเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ของเจ้าแม่กาลี ซึ่งเป็นภาคดุร้ายของพระอุมา ชาวฮินดูจึงใช้ดอกชบาทัดหูให้นักโทษที่กำลังจะถูกประหาร คนไทยก็รับความเชื่อนี้มา ทำให้พลอยจงเกลียดจนชังดอกชบาไม่ยอมให้ปลูกในบ้านไปด้วยที่สำคัญถ้าหญิงชายคู่ไหนเป็นชู้กัน คนไทยโบราณจะเอาดอกชบาแดงร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอให้แล้วพาแห่ประจานไปทั่วเมือง ดอกชบาเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเล่นชู้ ทำให้ไม่มีใครอยากปลูกไว้ในบ้าน

โศก ได้ยินแค่ชื่อคนฟังก็แทบจะน้ำตาร่วง โศกเข้าไปในบ้านได้อย่างไร เชื่อกันว่าต้นไม้ชนิดนี้บ้านไหนมีไว้ สมาชิกในบ้านจะพบแต่ความโศกเศร้า อาจป่วยกระเสาะกระแสะ รักหักรักคุด ทำการค้าขาดทุน พี่น้องทะเลาะกันเอง เป็นต้น ทั้งๆ ที่ความจริงต้นโศกมีชื่อจริงว่าต้นอโศก หมายถึงไม่มีความโศกเศร้า แต่พอกร่อนเสียงลงไปแล้วเลยกลายเป็นต้นไม้อัปมงคลไป

ระกำ ระกำเป็นต้นไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อเป็นภัยต่อชีวิตเป็นพิษต่อตัวเอง จนไม่มีใครอยากได้ไว้ในครอบครอง นี่ถ้าตั้งชื่ออื่นไว้ตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าป่านนี้เจ้าต้นระกำอาจจะเฮงๆๆ กลายเป็นต้นไม้ยอดนิยมไปแล้วก็ได้

งิ้ว ตามสถานที่ราชการนิยมปลูกต้นงิ้ว เพราะต้นใหญ่ใบดกแถมดอกก็สวย แต่ถ้าเป็นที่พักอาศัยจะไม่ปลูกต้นไม้ชนิดนี้เด็ดขาด เพราะต้นงิ้วเป็นสัญลักษณ์ของการคบชู้สู่ชาย และเป็นต้นไม้ที่มีมากในนรก ปลูกไปก็เหมือนแช่งตัวเองเลยไม่ค่อยมีคนอยากลองของกันเท่าไรนัก

พุดตาน ถึงแม้ดอกพุดตานจะสวย คลาสสิค ดูไฮโซ แต่ธรรมชาติของมันจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จากสีขาวในตอนเช้าไปเป็นสีชมพูอ่อนตอนสาย และยิ่งบ่ายสีก็จะยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ คนโบราณเลยถือว่ามันเหมือนคนสับปลับ กะล่อน เปลี่ยนสีเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ ไม่เหมาะจะมีไว้ในบ้าน ไม่อย่างนั้นคนในบ้านจะสับปลับคบไม่ได้ไปด้วย

ต้นดอกทอง คงไม่ต้องบอกว่าทำไมถึงไม่มีใครอยากได้ต้นดอกทองไว้ในบ้าน เพราะแค่ชื่อก็กินขาดต้นไม้อื่นแล้วว่าต้องอัปมงคลแน่ๆ

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on