รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

วันแห่งความรัก ที่เก่าที่สุดในโลก

วาเลนไทน์อาจจะเป็นวันแห่งความรักที่ฮิตที่สุด แต่ถ้าพูดถึงวันแห่งความรักที่เกิดมาก่อนใครเพื่อน จนเรียกได้ว่าเก่าลายครามที่สุดในโลก ต้องยกให้ "วันทานาบาตะ" เป็นตัวจริงเสียงจริง

วันทานาบาตะ(ของญี่ปุ่น) นี้ ในประเทศจีนคือวันขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติ และเมื่อเอาไปเทียบกับบันทึกตำนานอักษรเก่าแก่ของจีนแล้ว ก็ได้คำตอบว่ามันเป็นวันแห่งความรักที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นโน่นเลย นับเวลาแล้วคนจีนรู้จัก "ทานาบาตะ" มามากกว่า 2,000 ปี ก่อนที่ฝรั่งจะมีวันวาเลนไทน์ถึง 300 ปีด้วยซ้ำไป

ตำนานวันขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 เป็นเรื่องราวความรักที่พลัดพรากของหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า ว่ากันว่าเมื่อหลายพันปีก่อนมีเด็กหนุ่มเลี้ยงวัวที่ยากจนคนหนึ่งต้องอาศัยบ้านพี่ชายกับพี่สะใภ้อยู่ ชีวิตของหนุ่มเลี้ยงวัวนี่จัดว่าตามสไตล์นิยายน้ำเน่าของแท้ เพราะมีแต่ความลำบากอดมื้อกินมื้อทุกวัน เนื่องจากพี่สะใภ้เป็นคนใจร้ายและเกลียดขี้หน้าน้องผัวเป็นที่สุด

วันหนึ่งพี่สะใภ้วางแผนจะกำจัดน้องผัว จึงให้วัวมา 9 ตัวแล้วสั่งว่าให้ออกจากบ้านไปเลี้ยงวัวจนกว่าจะมีวัวครบ 10 ตัวจึงกลับมาได้ เจอวิชามารเข้าเต็มๆ อย่างนี้เด็กเลี้ยงวัวก็ได้แต่อึ้งจึงไปยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่ริมแม่น้ำ ทันใดนั้นเองก็มีชายแก่ผมขาวคนหนึ่งเข้ามาถามไถ่ พอรู้เรื่องชายแก่ก็บอกว่าบนเขามีวัวแก่ป่วยหนักอยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเด็กหนุ่มไปรักษามันให้หายก็จะมีวัวครบ 10 ตัวตามที่พี่สะใภ้ต้องการ แล้วเขาก็จะกลับบ้านได้ เด็กเลี้ยงวัวได้ฟังแล้วก็รีบขึ้นเขาไปหาวัวตัวนั้น โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงเจ้าวัวแก่ก็คือเทวดาองค์หนึ่งที่ทำผิดกฎสวรรค์จนถูกไล่ลงมาเป็นวัว แต่ตอนที่ตกลงมามันเกิดขาหักก็เลยนอนซมไปไหนไม่ได้ และชายแก่ที่เขาพบก็คือเจ้าวัวตัวนี้แปลงกายออกไปหาความช่วยเหลือนั่นเอง

หลังจากเด็กหนุ่มพาวัวกลับบ้านแล้วก็รักและดูแลวัวตัวนี้อย่างดี วันหนึ่งเขาเดินผ่านลำธารและได้เห็นเหล่าเทพธิดาทอผ้าลงมาเล่นน้ำกัน จะเป็นบุพเพสันนิวาสหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ทำให้เจ้าหนุ่มเกิดหลงรักนางฟ้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ วัวแก่จึงแนะว่า "พรุ่งนี้เป็นวันที่ 7 เดือน 7 ธิดาของเทพเจ้าแห่งสวรรค์ทั้ง 7 องค์จะลงมาสรงน้ำในโลกมนุษย์อีก ท่านจงขโมยเสื้อผ้าของสาวทอผ้าไว้ เธอก็จะกลับไปสวรรค์ไม่ได้และจะยอมแต่งงานกับท่าน" หนุ่มเลี้ยงวัวรีบทำตามคำแนะนำ และได้สาวทอผ้ามาเป็นภรรยาสมใจ (ตอนนี้คล้ายๆ พระสุธนกับนางมโนราห์ของไทยเราเลยแฮะ) หลังจากแต่งงานกัน ทั้งสองก็มีลูกชายหญิงอย่างละคนและอยู่กันอย่างมีความสุข แต่เพราะการที่นางฟ้าลงไปแต่งงานกับมนุษย์เป็นเรื่องที่ผิดกฎสวรรค์ เมื่อ เง็กเซียนฮ่องเต้ ทรงทราบเรื่องเข้า ก็ส่ง เจ้าแม่หวังหมู่ (ชายาของเง็กเซียนฮ่องเต้) ลงมาจับตัวสาวทอผ้ากลับไป ทิ้งให้หนุ่มเลี้ยงวัวนอนหัวใจสลายอยู่บนโลกมนุษย์เพียงลำพัง เจ้าวัวแก่สงสารนายน้อยของมันมากจึงบอกเขาว่า หลังจากที่มันตายให้เขาเอาหนังของมันมาตัดเป็นรองเท้า รองเท้านี้จะช่วยให้เขาเหาะขึ้นไปหาสาวทอผ้าบนสวรรค์ได้ เมื่อเจ้าวัวตายลง เด็กหนุ่มก็ทำตามที่มันบอก และในที่สุดคู่รักที่พลัดพรากทั้งสองก็ได้พบกันอีกครั้ง

แต่อุปสรรคความรักยังคงตามมาขวางกั้นอยู่ดี เพราะขณะที่ทั้งสองกำลังเดินมาหากันนั้นเอง เจ้าแม่หวังหมู่ (ชายาของเง็กเซียนฮ่องเต้) ก็ชักปิ่นปักผมออกมาขีดลงไปบนท้องฟ้า กลายเป็นทางช้างเผือกขึ้นขวางหน้ากั้นทั้งคู่ไว้คนละฝั่ง ชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้าได้แต่ยืนร้องไห้มองหากันอยู่คนละฟากฟ้า จนนกสี่เชวี่ย (นกมงคลประเภทหนึ่งของจีน) เกิดสงสารจึงได้บินมาต่อกันจนกลายเป็นสะพานทอดระหว่างทางช้างเผือกให้ทั้งคู่เดินเข้ามาพบกันได้ เจ้าแม่หวังหมู่ จึงได้อนุญาตให้ทั้งสองมาพบกันได้ทุกๆ วันที่ 7 เดือน 7 ของแต่ละปี และชาวโลกก็ยึดเอาวันนี้เป็น "วันแห่งความรัก" เรื่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว วันที่ 7 เดือน 7 เป็นวันที่สาวๆ ชาวจีนให้ความสำคัญมากที่สุด พอถึงวันนี้สาวๆ จะเอาผลไม้มาบวงสรวงเทวดาฟ้าดิน ขอให้ตนมีสติปัญญา มีฝีมือเย็บปักถักร้อยอันวิจิตร และให้ได้พบรักมีชีวิตสมรสที่สมบูรณ์พูนสุข

ชาวญี่ปุ่นเรียกวันที่ 7 เดือน 7 ว่า "วันทานาบาตะ" และจะฉลองโดยการเขียนกลอนไปติดไว้บนต้นไผ่ หรือไม่ก็ตัดกระดาษอธิษฐานเป็นรูปกิโมโน สำหรับเจ้าหญิงทอผ้ากับด้ายห้าสีสำหรับชายเลี้ยงวัวเอาไปแขวนบนต้นไผ่ด้วย

Tip : ในทางดาราศาสตร์ดาวชายเลี้ยงวัวคือดาวอัลแทร์ในกลุ่มดาวนกอินทรี ส่วนดาวของหญิงทอผ้าก็คือ ดาววีกาในกลุ่มดาวพิณ

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ปริศนาภาพวาดโมนา ลิซ่า Mona Lisa

กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์
โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่ ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลง
บนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?

ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574)
จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด

จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโม
นา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้

นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)

แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ

สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก

อันที่จริงแล้ว ลักษณะรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า ที่มีการตีความไปต่างๆนานานั้น สามารถ พบเห็นได้ในภาพเขียนอื่นๆของ ดาวินซี่ เองเช่น รอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนและการุณย์ ของเซนต์แอนน์ หรือพระแม่มารี หรือแม้กระทั่งรูปปั้นในยุคโบราณของกรีก ในศตรวรรษที่ 19 มีผู้เห็นว่าภายใต้รอยยิ้มยากที่จะหยั่งลึกของ โมนา ลิซ่า นี้กลับแฝงไว้ด้วย ปริศนาอมตะ แห่งอิสตรี ส่วนนักจิตวิเคราะห์อย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund freud) ก็ตีความหมายว่า "ลีโอนาร์โดหลงไหลรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า" เพราะมันคือสิ่งที่หลับไหล ภายในจิตใจ และความทรงจำในอดีตของเขาที่ผ่านมานานแล้ว รอยยิ้มนี้ถอดแบบพิมพ์ มาจากคาเตรีนาผู้ที่เป็นมารดา สำหรับนักสุนทรียศาสตร์อย่าง วอลเทอร์ เพเทอร์ (Walter Pater) พรรณนาไว้ว่า "เธอมีอายุแกกว่าหินผาที่ห้อมล้อมเธอ ประดุจหนึ่งปีศาจดูดเลือด เธอได้ตายมาแล้วหลายคราและหยั่งรู้ความลึกลับแห่งหลุมศพ"

พอมาถึงต้นศตรวรรษที่ 20 ผู้คนรุ่นใหม่ๆ เกือบที่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และทัศนคติต่อโมนา ลิซ่า เสียแล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ในเวลา เช้าตรู่ข่าวการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ปรากฎต่อมวลชน ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอ และจับกลุมผู้โจรกรรมได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ปรากฎว่าคนที่โจร- กรรมโมนา ลิซ่าไป ก็คือคนที่ทำความสะอาดในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง สถานที่ค้นพบ โมนา ลิซ่า นั้นก็คือเมือง ฟลอเรนซ์บ้านเกิดของเธอนั่นเอง ในปัจจุบันนี้โมนาลิซ่าได้รับการ ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศและกันกระสุน ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถลักพาตัวเธอได้อีกต่อไป มีสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ตั้งแต่การหายลึกลับของ โมนา ลิซ่าเป็นระยะเวลายาวนานในคราวนั้น มีผู้ที่ไปดูโมนา ลิซ่าบางคนบอกว่า รอยยิ้มของเธอนั้นเปลี่ยนไป โดยที่ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจไม่ใช่ โมนา ลิซ่า ตัวจริง

เมื่อปี ค.ศ. 1974 โมนาลิซ่าถูกนำไปแสดงที่กรุง มอสโก และโตเกียว โดยเฉพาะที่ โตเกียวมีผู้คนมาเข้าแถวชมเพื่อยลโฉมเธอถึง 2 ล้านคนในช่วงเวลาแค่ 3 เดือน

ขอขอบคุณ ที่มา : http://www.thai.net/vibooncom ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานเทพประจำวันทั้ง 7

เทพแต่ละองค์ก็มีนิสัยและชาติกำเนิดต่างกัน ทำให้คนที่เกิดในวันต่างๆ มีนิสัยไม่เหมือนกันด้วย ลองดูสิว่านิสัยของคุณคล้ายๆ กับเทพประจำวันเกิดหรือเปล่า

พระอาทิตย์ ?พระอาทิตย์' เป็นลูกของ ?นางอทิติ' แต่จัดว่าเป็นเด็กอาภัพ เนื่องจากเกิดมาก็มีแสงร้อนแรงจนชาวบ้านไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้พ่อแม่ตีตัวออกห่างกันหมด ?พระอาทิตย์' ก็เลยกลายเป็นเด็กที่ร้อนแต่ตัว แต่จิตใจกลับแห้งแล้งขาดความอบอุ่น ซ้ำยังต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ไม่มีใครอยากให้อยู่ด้วย จนกระทั่งโตเป็น ?หนุ่มพระอาทิตย์' ก็ได้พบรักและแต่งงานกับ ?พระนางสัญญา' ธิดาของ ?พระวิศวกรรม' แต่ด้วยความที่พระผัวทรงฮีทจัด เมียก็เลยทนร้อนไม่ไหวต้องหนีไป เจอแบบนี้ ?พระอาทิตย์' จึงกลายเป็นเทพมีปัญหา พ่อแม่ก็ไม่เอา เมียก็ยังมาทิ้ง แทบอยากจะบ้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย พ่อตา หรือ ?พระวิศวกรรม' เห็นแล้วก็สงสารลูกเขย ก็เลยตัดสินใจเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ยอมทนร้อนเข้าไปคลุกวงในขูดผิวกายของลูกเขย เพื่อดึงความร้อนออกมาซะบ้าง จากนั้นก็เอาเศษผิวเหล่านั้นไปประดิษฐ์เป็นอาวุธ

พระจันทร์ กำเนิดของ ?พระจันทร์' มีด้วยกัน 3 เวอร์ชั่น ตำราแรกบอกว่า ?พระจันทร์' เป็นลูกของ ?พระอัตริมุนี' กับ ?นางอนสูยา' แต่อีกตำนานหนึ่งบอกว่า ?พระอิศวร' เป็นผู้สร้างขึ้นมาจากผงนางฟ้า 15 นาง และตำนานสุดท้ายเล่าว่าเทพองค์นี้กำเนิดขึ้นมาจากการ กวนน้ำทิพย์ของเทพและอสูร แต่ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร สิ่งที่จริงแท้แน่นอนก็คือ ?พระจันทร์' เป็นเทพที่มีรูปร่างสง่างามมาก สาวๆ เทพสวรรค์แทบทุกองค์ใฝ่ฝันอยากจะเป็นกิ๊กของเทพองค์นี้กันทั้งนั้น และ ?พระจันทร์' ก็เป็นคนใจอ่อน ไม่อยากให้สาวๆ เสียน้ำใจ เลยกวาดนางฟ้ามาเป็นกิ๊กซะเกือบหมดสวรรค์ไปเลย

พระอังคาร ?พระอังคาร' เป็นบุตรของ ?พระนารายณ์' กับ ?พระธรณี' มีอารมณ์รุนแรง นิสัยดุร้ายเจ้าอารมณ์จนใครๆ กลัวไปตามๆ กัน ยิ่งบริวารแล้วแต่ละคนอยากลาออกวันละหลายๆ รอบ แต่ ?พระอังคาร' รบทัพจับศึกเก่งมาก ด้วยความเก่ง ?พระอิศวร' จึงทรงมอบหมายให้ไปเฝ้าเขาพระเมรุด้านทิศอาคเนย์เอาไว้ (หรือจะทรงอยากให้ไปไกลๆ จะได้ไม่อาละวาดกัดไล่กินหัวชาวบ้านก็ไม่รู้)

พระพุธ ?พระพุธ' เป็นบุตรของ ?พระจันทร์' กับ ?พระนางโรหิณี' เรื่องเศร้าในชีวิตของเทพองค์นี้อยู่ที่ทรงไปปิ๊งรักกับยายกะล่อนชื่อว่า ?พระนางอิลา' ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นผู้ชายแต่ทะเล้นชอบแปลงเป็นผู้หญิงมาหลอกให้ ?พระพุธ' พลลอยลักเพศไปด้วย (แบบไม่เจตนา) ต่อมา ?พระนางอิลา' ก็ถูก ?พระอิศวร' ลงโทษสาปให้เป็นชายกับหญิง (แท้) สลับกันไปเรื่อยๆ เลยเป็นโชคดีของ ?พระพุธ' ที่ยังมีวันที่เมียได้เป็นผู้หญิงจริงๆ กับเค้าบ้าง ไม่งั้นคงสยึมกึ๋ยกันทั้งสวรรค์

พระพฤหัส เทพองค์นี้เป็นเทพเจ้าปัญหา เป็นอาจารย์ของพวกเทวดาทุกองค์ จุดเด่นคือเวลาจะไปไหนต้องถือกระดานจดชวเลขติดมือไปด้วย เพื่อเอาไว้เลคเชอร์ลุกศิษย์ได้ตลอด ?พระพฤหัสบดี' เป็นบุตรของ ?พระอังคิรสมนี' กับ ?พระนางสมปฤดี' ซึ่งเป็นตระกูลฤาษีโดยแท้ พระองค์มีพระมเหสี 2 พระองค์นามว่า ?พระนางดารา' และ ?พระนางมนตา'....เรียกว่าฉลาดด้วยเจ้าชู้ด้วย เมียเดียวไม่พอ พี่ต้องขอสอง!

พระศุกร์ เทพองค์นี้เป็นคนดี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรักเพราะเป็นคนรักสงบ ไม่ชอบเอาเรื่องเอาราวใคร ทำให้มีเพื่อนมาก ใครๆ ก็จ้องจะเอาเปรียบ เอ๊ย! จ้องจะมาเอ็นดู ?พระศุกร์' กันทั้งนั้น ด้วยความดีทำให้ได้รับหน้าที่ดูแลเขาพระสุเมรุทางทิศอุดร คนละทิศกับ ?พระอังคาร'

พระเสาร์ ?พระเสาร์' เป็นโอรสของ ?พระอาทิตย์' และ ?พระนางสัญญา' นิสัยใจร้อน ไม่ชอบอ่อนข้อให้ใครตามประสาลูกคนมีอิทธิพล มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบบยุ่งกับชาวบ้านแต่ชอบทำงานที่ได้หน้า ถ้าปิดทองหลังพระ เทพองค์นี้ของบายลูกเดียว จะเรียกว่าทรงฉลาดแกมโกงนิดๆ ก็ได้มั้งเนี่ย

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ประกวดนางงาม เริ่มจากไหน

เชื่อไหมว่าสาวๆ กลุ่มแรกที่เข้าสู่เวทีประกวดนางงาม ไม่ใช่สาวโสดที่งามอย่างมีคุณค่าอย่างทุกวันนี้หรอก แต่เธอๆ ทั้งหลายเป็นสาวโสดที่ไม่สดกันทั้งนั้น เพราะพวกเธอคือ "นางงามโคมเขียว"

เวทีโคมเขียว การประกวดเพื่อคัดสรรสุดยอดคนสวยของสำนักโคมเขียว เกิดขึ้นเมื่อประมาณพันปีก่อน ในช่วงปีซีหนิงของราชวงศ์ซ้องเหนือ(ค.ศ. 1068-1077) นับๆ แล้วเกิดก่อนการประกวดนางงามของฝรั่งถึง 800 กว่าปีเลยทีเดียว แต่ในสมัยนั้นคนจีนยังถือกันว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ คนที่จะทำได้ต้องเป็นสาวสวยที่ต้องเก่งรอบตัว ทั้งการขับร้อง ร่ายรำ แต่งกลอน เดินหมาก จัดว่าเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาของสมัยนั้น แถมบางนางยังเลือกได้อีกด้วยว่าจะขายแต่ศิลปะ ช่วยร้องเพลงดีดพิณกล่อมระหว่างที่แขกกินเหล้า ไม่จำเป็นต้องขายตัว นางคณิกาชั้นสูงในสมัยนั้นจึงไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกดูถูกอย่างปัจจุบัน แต่เป็นสาวสังคมชื่อดังที่ใครๆ ก็ยกย่อง การประกวดนางามของสำนักโคมเขียวมีพวกบัณฑิตหนุ่มๆ มาเข้าคิวสมัครเป็นกรรมการกันตรึมจนแทบจะตีกันตาย ส่วนวิธีประกวดนั้นสาวงามแต่ละคนก็ต้องโชว์ความสามารถกันเต็มพิกัด ทั้งดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนพู่กันจีน วาดภาพ ร้องเพลง ฟ้อนรำ จากนั้นกรรมการหนุ่มก็จะรจนากลอนชื่นชมความงามของผู้เข้าประกวดที่ตัวเองหมายตา สาวคนไหนได้รับกลอนชมมากที่สุดก็จะได้ครองตำแหน่งเป็นนางงามประจำปีนั้นไป

การประกวดนางสาวไทย จากเวทีราชวงศ์ซ้อง มองย้อนมาที่เวทีแบบไทยแลนด์แดนยิ้มของเราบ้าง การประกวดนางงามของเราเริ่มขึ้นครั้งแรกในวันที่ 10 ธ.ค. 2477 ในงานฉลองรัฐธรรมนูญภายในพระราชอุทยานสราญรมย์ สมัยนั้นบ้านเรายังชื่อว่า "ประเทศสยาม" อยู่การประกวดในตอนนั้นจึงต้องมีชื่อว่าการประกวด "นางสาวสยาม" หัวใจของการประกวดก็เพื่อดึงให้ประชาชนออกจากบ้านมาเที่ยวงานฉลองรัฐธรรมนูญ เพื่อจะได้เผยแพร่ประชาธิปไตยและคนที่เข้าประกวดก็ทำกันสนุกๆ ไม่ได้หวังจะใช้เวทีเป็นบันไดเข้าวงการบันเทิงอย่างสมัยนี้

มาสมัย ?จอมพล ป.พิบูลสงคราม' เป็นนายกรัฐมนตรี สาวไทยเราได้รับบทบาทให้เป็น "ดอกไม้ของชาติ" ท่านผู้นำก็เลยอยากจะส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงให้ดูสวยเด่นเป็นสง่ายิ่งขึ้น ด้วยการสั่งรื้อชุดที่ใช้ในการประกวดนางสาวสยามใหม่ให้สวยกว่าเดิม จากที่เคยแต่งชุดไทยใส่สไบยาวกรอมเท้า ก็เลยต้องใส่เสื้อกระโปรงเย็บติดกัน เสื้อเปิดหลัง กางเกง กระโปรงยาวถึงเข่า จากนั้นชุดประกวดก็เริ่มหดสั้นลงทุกปีๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2493 สาวงามทุกคนก็ต้องเดินโชว์โฉมในชุดว่ายน้ำเป็นครั้งแรก เล่นเอาฮือฮาทำอาเสี่ยผวากันทั้งประเทศมาถึงปี 2482 สยามประเทศได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" คำว่านางงามสยามจึงหายไป กลายเป็นการประกวด "นางสาวไทย" ตั้งแต่นั้นมา และเมื่องามฉลองรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกไป การประกวดนางงามก็หายไปพักหนึ่งด้วย จนกระทั่งสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ยื่นมือเข้ามาจัดการ ในตอนแรกสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ตั้งชื่อนางงามของตัวว่า "นางงามวชิราวุธ" ก่อน แต่เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเริ่มเติบโต ประกอบกับรัฐบาลอยากใช้ตำแหน่งนางงามมาเป็นสื่อเผยแพร่ชื่อเสียงให้ประเทศ "นางงามวชิราวุธ" จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นางสาวไทย" และได้เริ่มส่งผู้ได้ตำแหน่งไปประกวดนางงามจักรวาลด้วย เพื่อให้ประเทศไทยได้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากขึ้น จุดประสงค์หลักของการประกวดนางสาวไทยในยุคหลังจากนั้นมาจึงเน้นไปที่การหาตัวแทนคนไทยไปประกวดในเวทีโลก รูปแบบการประกวดก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ผู้เข้าประกวดต้องมีความสามารถหลากหลายขึ้น โดยเฉพาะความสามารถทางภาษา เพื่อเอาไปแข่งในเวทีสากล บางปีถึงขนาดว่านางงามที่ได้ตำแหน่งเป็นเด็กไทยที่ไปโตเมืองนอกจนพูดไทยไม่ชัด แต่กรรมการก็เทคะแนนให้เพราะเธอพูดภาษาฝรั่งได้คล่องเป็นไฟ

แม้แต่วิธีให้คะแนนก็พัฒนาไปสู่ความอินเตอร์ขึ้นเรื่อยๆ จากแรกเริ่มที่ให้คะแนนกันง่ายๆ ด้วยการชูป้ายก็เปลี่ยนมาใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลคะแนน และมีการวัดไอคิว และอีคิวของผู้เข้าประกวดด้วย เพื่อหาตัวแทนที่พร้อมจะเป็นหน้าเป็นตาของประเทศจริงๆ

ขอขอบคุณ ที่มา : WOMAN PLUS ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ชุดประจำชาติเกาหลีและญี่ปุ่น

ทุกวันนี้ละครเกาหลีกับญี่ปุ่นเข้ามาแจ้งเกิดเบิกบานในบ้านเราอย่างออกหน้าออกตา ทำให้คนดูอย่างเราพลอยได้ศึกษาวัฒนธรรมของ 2 ชาตินี้ไปด้วย และบ่อยครั้งที่เราจะเห็นตัวละครแต่งชุดประจำชาติน่ารักๆ ในชีวิตประจำวัน จนอดทึ่งไม่ได้ที่เขาพยายามรักษาวัฒนธรรมดีๆ ของชาติตัวเองเอาไว้
ชุดประจำชาติเกาหลี พูดถึงชุดประจำชาติเกาหลีแล้วอดนึกถึงแม่นางแดจังกึมกับสาวๆ ชาววังไม่ได้ ชุดแบบนี้เรียกรวมๆ ทั้งของผู้หญิงและผู้ชายว่า "ชุดฮันบก" สำหรับชุดของผู้หญิงจะตัดเย็บให้หลวมเข้าไว้ เพื่อปกปิดความโค้งเว้าของรูปร่าง แบ่งเป็น 2 ชิ้น ท่อนบนเป็นเสื้อที่เรียกว่า "ชอกอรี" กับกระโปรงสุ่มบานๆ เรียกว่า "ชีมา" ส่วนชุดผู้ชายจะใส่เสื้อที่เรียกว่า "ชอกอรี" เหมือนกัน แต่ท่อนล่างจะเป็นกางเกงขายาว เรียกว่า "พาจิ"ชุดฮันบกนี้ถือได้ว่าเป็นชุดที่รวมเอกลักษณ์ความเป็นเกาหลีเอาไว้ คือสื่อถึงความเรียบร้อยและความอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน แหม! คอนเซ็ปต์เดียวกับชุดไทยเราเป๊ะเลย

ถึงชาวเกาหลีจะใส่ฮันบกทุกวัน แต่เนื้อผ้าที่เอามาตัดเย็บจะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ เวลาหน้าร้อน ก็จะใส่ชุดผ้าป่านลงแป้งแข็งซึ่งระบายลมได้ดี พอถึงหน้าหนาวซึ่งที่นี่หนาวสยองมากๆ ก็ต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดที่ทำจากผ้าฝ้ายและใส่กางเกงขายาวไว้ข้างในอีกตัวเพื่อเก็บรักษาไออุ่นของร่างกายเอาไว้ ไม่งั้นมีสิทธิ์แข็งตายเอาง่ายๆ
ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าสีของชุดฮันบกต้องเป็นสีอะไร แต่ส่วนใหญ่ชาวเกาหลีจะใส่ชุดฮันบกสีขาวในวันธรรมดา แต่ถ้าจะไปงานก็จะใส่ชุดที่เป็นผ้าสีเพื่อให้ดูหรู สีที่เลือกใช้กันมักจะเป็นสีแดง เหลือง น้ำเงินและสีดำ

ชาวเกาหลีใส่ชุดฮันบกกันมาเป็นพันปี จนเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นชุดแบบตะวันตกเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนนี่เอง ในช่วงที่ถูกวัฒนธรรมตะวันตกแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก ทุกวันนี้ชาวเกาหลีจะใส่ฮันบกในวันสำคัญๆ อย่างวันหมั้น วันแต่งงาน วันซอลลัล (วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ) หรือวันชูซก (วันขอบคุณพระเจ้า) เท่านั้น

ชุดประจำชาติญี่ปุ่น พูดถึงเกาหลีแล้ว จะข้ามชาติคู่รักคู่แค้นอย่างญี่ปุ่นไปได้ยังไง แต่เดิมในสมัยนารา (ค.ศ. 710-794) ชาวญี่ปุ่นนิยมแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกัน หรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย จนมาถึงสมัยเอฮัน (ค.ศ. 794-1192) จึงได้เริ่มมีชุดประจำชาติที่เรียกว่า "กิโมโน" ในระยะแรกกิโมโนเป็นเพียงชุดที่ตัดตรงๆ ผ่าหน้า เพื่อให้สวมใส่ง่าย เวลาจะใส่ก็แค่หยิบมาคลุม และใส่ได้ในทุกโอกาส เพียงเปลี่ยนเนื้อผ้าไปตามความร้อนหรือหนาวของอากาศเท่านั้น เมื่อกิโมโนเป็นที่นิยมแล้วกูรูแฟชั่นญี่ปุ่นในยุคนั้นก็พยายามออกแบบให้กิโมโนมีสีสันสวยน่าใส่และให้เหมาะกับชนชั้นทางสังคมด้วย ถือได้ว่ายุคนี้เป็นสมัยที่กิโมโนมีการพัฒนาในเรื่องสีมากที่สุด มาถึงยุคต่อมา ในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1338-1573) ชาวญี่ปุ่นทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันจัดจ้าน ยิ่งเป็นนักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำ จนบางครั้งพวกแม่ทัพถึงขนาดแข่งกันว่าชุดใครจะสีสันแสบทรวงกว่ากันก็มี มิน่า! สงสัยอยู่แล้วเชียวว่า ทำไมหนุ่มๆ ชาตินี้ถึงได้ช่างแต่งตัวกันเหลือเกิน ที่แท้ก็รักสวยรักงามกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นี่เอง

ต่อมาในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1600-1868) เป็นสมัยที่โชกุนโตกูกาวาปกครองญี่ปุ่นโดยวิธีซีอีโอ คือ กระจายอำนาจให้ขุนนางไปปกครองตามแคว้นต่างๆ กันเอาเอง ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแบ่งแยกกันชัดเจนด้วยเครื่องแบบประจำสำนัก สมัยนั้นถือว่ากิโมโนของซามูไรเป็นหน้าเป็นตาของสำนักมากๆ เสื้อผ้าในยุคนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ กิโมโน กับคามิชิโม หรือชุดที่ตัดด้วยผ้าลินินเอาไว้ใส่คลุมชุดกิโมโน และกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปรงแยก ศิลปะการตัดเย็บกิโมโนพัฒนาถึงขีดสุดจนกลายมาเป็นศิลปะของชาติในยุคนี้เอง กิโมโนอยู่คู่กับชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นมาจนถึงสมัยเมจิ (ค.ศ. 1868-1912) ช่วงนั้นญี่ปุ่นได้รับการแทรกแซงทางวัฒนธรรมอย่างรุนแรงจากตะวันตก ชุดกิโมโนจึงเริ่มหายไปจากท้องถนน ปัจจุบันนี้ชาวญี่ปุ่นก็เหมือนกับชาวเกาหลีและคนไทยเรา คือจะใส่กิโมโนเฉพาะในวันสำคัญๆ เท่านั้น

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ติ่มซำ อาหารแห่งหัวใจ

ใครๆ ก็ชอบติ่มซำกันทั้งนั้น ยิ่งได้จิบน้ำชาร้อนๆ คู่ไปด้วยแล้ว แหม...ยิ่งอร่อยจนลืมเวลากันไปเลย แต่คุณๆ อาจไม่รู้ว่านอกจากจะช่วยบำรุงกระเพาะแล้วติ่มซำยังช่วยเยียวยาหัวใจของคนทานให้อบอุ่นอีกด้วยเพราะมันได้ชื่อว่าเป็น "อาหารแห่งหัวใจ"

ที่มีชื่ออย่างนี้เพราะคำว่า "ติ่มซำ" มาจากภาษากวางตุ้ง แปลว่า "Touch Heart" (สัมผัสที่หัวใจ) เพราะในการทำติ่มซำต้องค่อยๆ ปั้นไปทีละก้อนๆ และในแต่ละก้อนก็ต้องใส่ทั้งความคิดสร้างสรรค์ ความเอาใจใส่ และการประดิดประดอยให้สวยงามลงไปด้วย ถึงจะได้อาหารก้อนเล็กๆ แต่อร่อยลิ้นนี้ออกมา เรียกได้ว่าหัวใจสำคัญของการทำติ่มซำให้อร่อยก็คือ การใส่ใจในทุกๆ คำนั่นเอง

  • ถ้าจะเปรียบเป็นคนก็ต้องบอกว่าติ่มซำนั้นเหมือนกับเป็น "แม่นางซินเดอเรลล่า" คือมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่เพราะความเฮงก็เลยได้ขึ้นไปเชิดหน้าชูตาเคียงข้างเจ้าชายอยู่ในวัง!!...แรกเริ่มเดิมทีติ่มซำเป็นอาหารที่ถูกคิดขึ้นมาโดยฝีมือคนงานและกรรมกรก่อสร้าง ระดับล่างเท่านั้นเอง กรรมกรพวกนี้มารับจ้างสร้างตึกในสมัยที่เกาะฮ่องกงเพิ่งถูกบุกเบิกให้เป็นเมือง ด้วยความที่ไม่มีอะไรจะกิน และไม่มีครัวให้ประกอบอาหาร พวกกรรมกรก็เลยเอาก้อนแป้งมาปั้นเป็นคำเล็กๆ แล้วเอาไปนึ่งในแข่งไม้ไผ่ เพื่อให้กินง่าย ทำง่าย สะดวกต่อสภาพชีวิตในตอนนั้น ต่อมาก็เริ่มมีการใส่ไส้ต่างๆ ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ จนติ่มซำกลายเป็นอาหารที่แพร่หลายและถูกอกถูกใจของชนชั้นสูง เจ้าอาหารคนงานก็เลยได้ขยับฐานะขึ้นไปอยู่ในร้านอาหารหรู และมีการดัดแปลงโมดิฟายรูปโฉมด้วยส่วนประกอบราคาแพงอย่างกุ้ง หมู ปู ปลา จนออกมาเป็นติ่มซำแสนอร่อยที่เราได้ลิ้มลองกันในทุกวันนี้...เห็นไหมว่าชีวิตเธอ "นางซิน" ซะไม่มี!!
  • แต่มีอีกประวัติหนึ่งเล่าถึงติ่มซำว่า กำเนิดที่แท้จริงของมันมาจากชาวจีนนกวางตุ้งในมณฑลกวางตุ้งของจีนต่างหาก ชาวกวางตุ้งมีวัฒนธรรมการกินติ่มซำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษกันแล้ว โดยเขาถือว่ามันเป็นขนมอย่างหนึ่ง (คำว่าติ่มซำในภาษากวางตุ้งแปลว่าขนม) ที่คนจีนจะกินช้าๆ เพื่อใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ไม่ได้กินเอาอิ่มอย่างบ้านเรา เป็นวัฒนธรรมว่า ตอนเช้าๆ ชาวกวางตุ้งที่มีอันจะกินจะหิ้วกรงนกออกมาที่ร้านน้ำชาเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนๆ ระหว่างที่รอเพื่อนก็จะสั่งติ่มซำมากินรองท้องกันไป จากนั้นจึงจะตามด้วยอาหารเช้าจานหลักจริงๆ เช่น ผัดหมี่ ราดหน้า หูฉลามกันอีกที การที่ติ่มซำถือกำเนิดที่เมืองกวางตุ้งเริ่มมาจากในสมัยโบราณ เมื่อครั้งกวางตุ้งยังเป็นเส้นทางสายไหมที่พ่อค้าต้องลำเลียงผ้าไหมและสินค้าอื่นผ่านทางไปขาย ตอนนั้นตลอดเส้นทางก็จะมีพ่อค้าท้องถิ่นตั้งเพิงน้ำชาขายอาหารให้คนเดินทาง ส่วนชาวนาแถวนั้นเมื่อทำงานเสร็จก็จะแวะพักผ่อนและดื่มน้ำชายามบ่ายตามร้านน้ำชาเหล่านี้ด้วย พ่อครัวของร้านน้ำชาจึงต้องคิดค้นอาหารกินเล่นให้ลูกค้ากินกับน้ำชา เป็นที่มาของติ่มซำของกินเล่นที่ดังไกลดังนานไปทั่วโลกนั่นเอง
  • เห็นคำเล็กๆ อย่างนี้ เชื่อไหมว่าพ่อครัวอาหารจีนทุกคนยอมรับว่าติ่มซำเป็นอาหารจีนที่ทำยากที่สุดแล้ว จัดว่าเป็นเมนูปราบเซียนของพ่อครัวเลยก็ว่าได้ ใครที่เป็นพ่อครัวติ่มซำจะทำแต่ติ่มซำอย่างเดียวเท่านั้น จะไม่ไปปะปนกับพ่อครัวอาหารจีนอย่างอื่นเลย และกว่าจะมาเป็นพ่อครัวติ่มซำได้ ต้องใช้เวลาฝึกอย่างน้อย 3 ปี เพราะแค่ฝึกตบแป้งฮะเก๋าให้บางเฉียบได้มาตรฐานก็ต้องใช้เวลาฝึกถึง 2 ปีเข้าไปแล้ว!! พ่อครัวติ่มซำเล่าว่าฮะเก๋าถือเป็นติ่มซำที่ทำยากที่สุด เนื่องจากเนื้อแป้งจะต้องเนียนและบางเท่ากันทั้งแผ่น ส่วนรอยจีบกว่าจะจีบได้สวยก็ต้องใช้เวลาฝึกนานเช่นกัน นอกจากนี้ถ้าทำซาลาเปา ก็ต้องทำให้ทุกลูกมีน้ำหนักเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นแป้งหรือไส้จะต้องชั่งน้ำหนักพอดีเป๊ะ และปั้นให้ไส้อยู่ตรงกลางถึงจะเรียกว่าเป็นพ่อครัวติ่มซำที่มีฝีมือ ใครทำไม่ได้อย่างนี้ก็จะอับอายขายหน้า และไม่กล้าเรียกตัวเองเป็นพ่อครัวติ่มซำเด็ดขาด


หลักการกินติ่มซำที่ถูกต้องจะต้องค่อยๆ เลือก ค่อยๆ กิน จิบกับน้ำชาร้อนๆ และระหว่างนั้นจะต้องพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไป ปัจจุบันนอกจากจะกินติ่มซำกับเพื่อนฝูงแล้ว เป็นประเพณีว่าคนจีนจะกินติ่มซำเวลาเจรจาธุรกิจ เลี้ยงลูกค้า รวมทั้งถ้าจะนัดดูตัวลูกสาวลูกชายบ้านไหนก็จะเลี้ยงติ่มซำเช่นกัน

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ความเป็นมาของจานโปรด

แหม! แค่เห็นของโปรดน้ำลายก็จะไหลให้ได้แล้ว แต่เอ๊ะ...ก่อนจะเขมือบเข้าปาก คุณรู้หรือยังว่าต้นตระกูลมันกำเนิดเกิดมาจากไหน

พิซซ่า เจ้าแป้งแผ่นกลมๆ ใส่ชีดยืดๆ นี้ มาจากประเทศอิตาลี เมืองที่เป็นต้นกำเนิดของพิซซ่าคือ เมืองเนเปิลส์ แต่ว่ากันว่าบรรพบุรุษพิซซ่าที่แท้จริงก็คือ "ขนมเปี๊ยะ" ขนมคู่บุญของคนจีนนั่นเอง โดยสมัยที่นนักเดินทางชื่อกระฉ่อน มาร์โคโปโล แวะเวียนผ่านไปทางเมืองจีนนั้นเกิดถูกใจขนมเปี๊ยะแผ่นบางๆ ของจีนเข้า พอกลับไปถึงบ้านเกิดที่อิตาลี เลยเอาไอเดียไปประยุกต์จนได้มาเป็นพิซซ่าหน้าต่างๆ อย่างที่เห็นนี่ล่ะ ในยุคแรกนั้นพิซซ่าเป็นอาหารของคนที่ทำเร็ว กินเร็วเท่านั้น ไม่แพงล้ำค้ำลูกกระเดือกอย่างสมัยนี้หรอก

เทมปุระ คนรักเทมปุระอาจจะคิดว่า ของชอบของคุณเป็นอาหารมาจากญี่ปุ่น แต่ที่จริงแล้วต้นตระกูลของเทมปุระนั้นมาจากประเทศโปรตุเกสต่างหาก แต่ชาวญี่ปุ่นไปรับวัฒนธรรมนี้มาในสมัยเอโดะ หรือราวๆ ปลายศตวรรษที่ 16 เทมปุระของเดิมของโปรตุเกสเป็นปลาชุบแป้งทอดที่ชาวโปรตุเกสกินในพิธีถือศีลวันศุกร์ เรียกว่า Friday Fish Fry แต่พอมาถึงญี่ปุ่น พี่ยุ่นก็เลยกินมันทุกวันเสียเลยอยากอร่อยดีนัก ส่วนคำว่าเทมปุระนั้น ญี่ปุ่นเรียกทับศัพท์คำภาษาโปรตุเกส Tempora ที่แปลว่าการถือศีลอด

สุกี้ยากี้ จานนี้สิเด็ด เพราะเป็นของโปรดของสาวๆ แทบจะทุกคน แน่นอนว่าสุกี้ต้องมีบรรพบุรุษอยู่ที่ญี่ปุ่น ในสมัยก่อนนั้นชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ทานเนื้อกัน เพราะขัดกับหลักการศาสนาพุทธ (นิกายชินโต) จะมีก็แต่ทหารในยามสงครามเท่านั้น ที่ต้องกินเนื้อเพื่อให้มีเรี่ยวแรงไว้เชือดศัตรูทีนี้ทหารจะไปหาเครื่องครัวและหม้อกระทะมาจากไหนล่ะ ไปออกศึกนะไม่ได้ไปปิกนิก ทหารยุ่นคนหนึ่งก็เลยไปเอาจานไถมาใช้เป็นหม้อพอตั้งไฟเสร็จมีเนื้อมีผักอะไรก็โกยใส่ๆ ลงไปต้มเพื่อกินประทังชีวิตไว้ก่อน นี่ล่ะ...สุกี้หม้อแรกของโลก! ทุกวันนี้ร่องรอยของความเป็นอาหารยามยากของสุกี้ก็ยังอยู่ เพราะคำว่า "สุกี้" นั้นแปลลเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ว่า "จานไถ" ส่วน "ยากี้" ก็แปลว่า "การอังไฟ"

เต้าหู้ อาหารจานนี้จัดว่าเป็นอาหารยุคบุกเบิก เป็นอาหารสุดยอดแห่งความเก๋ากึ้กชนิดหนึ่งในโลก ที่มาของมันนั้นแสนจะรันทดเพราะได้ชื่อว่าเป็น "เนื้อของรองเจ้าเมือง" เลยทีเดียว เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยโบราณชาวจีนยากจนกันมาก ขนาดคนระดับรองเจ้าเมืองยังไม่มีปัญญาซื้อเนื้อสัตว์มากิน ต้องมาซื้อเต้าหู้ไปหม่ำประทังชีวิตทุกวัน ชาวบ้านเห็นเข้าบ่อยๆ ก็เลยเรียกเต้าหู้ว่า "อาหารเนื้อท่านรองเจ้าเมือง" เฮ้อ...ฟังแล้วน่าสลดซะจริงๆ เชียว

ฮอทด็อก ไส้กรอกหรือฮอทด็อกมีมานานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว แต่ที่จัดว่าพอจะมีชาติตระกูลให้สืบค้นหาสายพันธุ์ได้บ้างก็คือ ไส้กรอกเยอรมัน แต่สมัยนั้นยังเรียกไส้กรอกพวกนี้ว่า "ดัชชุนด์" ณ วันหนึ่งที่อากาศหนาวโหดตอนต้นศตวรรษที่ 20 พ่อค้าไอติมคนหนึ่งเกิดหัวใสเอาไส้กรอกดัชชุนด์มาอุ่นให้ร้อน แล้วให้เด็กออกไปเดินเร่ขายแทนไอติมบังเอิญว่ามีนักเขียนการ์ตูนมาเห็นเข้า และได้ยินเด็กร้องตะโกนว่า "ไส้กรอกดัชชุนด์ร้อนๆ มาแล้วจ้า..." เลยเอาไปวาดภาพล้อเลียนเป็นรูปหมาพันธุ์ดัชชุนด์ซุกอยู่ในขนมปังร้อนๆ ควันลอยฉุย แต่ดันมาเกิดปัญหาไม่รู้จะอธิบายภาพยังไง เขาก็เลยใช้คำว่า "หมาร้อน" หรือ "ฮอทด็อก" (Hot Dog) คำว่าฮอทด็อกจึงถูกตัดสายสะดือออกมาดูโลกนับตั้งแต่บัดนั้น

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on