รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

6 สิ่งที่วัยรุ่นในอนาคตอาจไม่ได้เห็น

จากผลการสำรวจเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาได้มีการยก 6 สิ่งที่อาจจะหายสาบสูญไปในอนาคตขึ้นมาให้เราได้รู้กัน แต่จะเป็นอะไร อะไรบ้างนั้นไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ

1. เบียร์ ฟังดูเหมือนจะเป็นข่าวดีที่คนรุ่นใหม่จะเลิกแฮงค์เอาท์เมาแหลกกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันเสียที แต่ความจริงเบียร์ที่มีระดับแอลกอฮอล์ 5-6% เท่านั้นที่จะสูญพันธุ์ เนื่องจากวัยรุ่นสมัยนี้ดูแลภาพพจน์ตัวเองกันมากขึ้น ไม่นิยมเมาปลิ้นสิ้นสภาพให้สาวๆ เห็น วัยรุ่นในอนาคตเลยจะหันไปนิยมเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์เพียง 4% ที่เรียกว่า Light Beer แทน หลักฐานก็คือทุกวันนี้เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ 5-6% กำลังเรทติ้งตกลงไปทุกทีแล้ว

2. โทรศัพท์บ้าน ทันที่ที่โทรศัพท์มือถือก้าวเข้าสู่วงการดาวค้างฟ้าที่ชื่อโทรศัพท์บ้านก็เริ่มหนาว มาถึงวันนี้ราคามือถือถูกลงมากจนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของทุกคน ซ้ำยังขยันมีแอพฯใหม่ๆ มาให้เล่นอีกนับไม่ถ้วน โทรศัพท์บ้านก็เลยเหมือนจะกลายเป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งมากกว่าจะเอาไว้ใช้งานจริง และถ้าสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคตอาจไม่มีใครซื้อโทรศัพท์บ้านเครื่องโตๆ ไปตั้งเกะกะให้ฝุ่นเกาะเล่นอีกแล้วก็ได้

3. อีเมล์ การส่งอีเมล์อาจจะเคยเป็นวิธีสื่อสารที่ป็อบที่สุด แต่ทุกวันนี้เราก็เห็นกันว่าวัยรุ่นนิยมสื่อสารด้วย Facebook, Twitter หรือ Instagram มากกว่า ขนาดแค่พ.ศ.นี้ สถานการณ์ของอีเมลยังตุปัดตุเป๋เซโรงังจนน่าสงสาร แล้วต่อไปถ้ามีโปรแกรมโซเชียลเน็ตเวิร์คอื่นๆ โผล่ขึ้นมาอีกหลายอย่าง แล้วอีเมลจะไปหาที่ยืนอยู่ตรงไหน

4. บุหรี่ ช่วงสองสามปีหลังนี้ จำนวนคนสูบบุหรี่ทั่วโลกลดลงไปมากถึงแม้เราจะยังเห็นคนนั่งสูบบุหรี่ในที่สาธารณะกันอยู่ แต่นักสูบพวกนี้ไม่ได้นั่งสบายๆ อย่างเมื่อก่อนแต่พ่นควันไปก็ต้องทนกับสายตาไม่เป็นมิตรของคนที่ควันบุหรี่ลอยไปแตะจมูกไปด้วย และยิ่งกระแสเคป็อบระบาดไปทั้งสามโลกทำให้หนุ่มๆ หันมารักสวยรักงาม ชอบดูแลผิวพรรณแข่งกับสาวๆ จำนวนคนสูบบุหรี่ก็ยิ่งหดหายลงไปทุกที จนมีการคาดการณ์กันว่าสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าบุหรี่ น่าจะลดลงจนถึงขั้นสาบสูญภายใน 20 ปีนี้ละ

5. คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ อาจไม่ถึงกับหายวับไปจากโลก แต่อีกหน่อยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจะถูกลดขั้นให้เป็นแค่อุปกรณ์สำนักงาน โดยไม่มีใครซื้อไปตั้งเด่นเป็นสง่าในบ้านอีกแล้ว เพราะหุ่นเทอะทะกินเนื้อที่ของมัน สู้ความเพรียวบางสวยเก๋เท่กู๊ดของโน้ตบุ๊คไม่ได้ ยิ่งเรื่องความคล่องตัว พกไปไหนต่อไหนได้สะดวกยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะใครขืนหอบหิ้วคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไปดูหนังฟังเพลงด้วย คงมีกล้ามโตน้องๆ แชมป์ยกน้ำหนัก

6. หนังสือพิมพ์ ทุกวันนี้ iPad, iPhone สมาร์ทโฟน กำลังเข้ามาแทนที่หนังสือพิมพ์ เพราะไม่ได้มีให้อ่านเฉพาะข่าวหนักๆ แต่ยังดูหนังฟังเพลงเข้าเว็บไซต์ แชร์ความเห็นกับเพื่อน และทำกิจกรรมอีกมากมายล้านเจ็ดได้ด้วย ความแรงของสื่อออนไลน์ไม่ใช่แค่ข่าวลือ เพราะตอนนี้แม้แต่ "นิวส์วีก" นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกา ที่เปิดมาตั้ง 80 ปี ก็ยังขาดทุนจนต้องหยุดผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ หันไปขายข่าวทางเว็บไซต์แทน เด็กๆ รุ่นใหม่ชอบหาข่าวในเน็ตมากกว่า แค่คลิกๆ อยากได้ข่าวอะไรก็ขึ้นทันใจไม่ต้องเปิดกระดาษเป็นพันๆ หน้า

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

เกิดเป็นคนถนัดซ้ายงานกร่อยจริงหรือ

วันนี้เรามาเอาใจคนถนัดมือซ้ายกัน เราลองไปศึกษากันดูนะคะ ว่าคนที่เขาถนัดมือซ้ายนั้นเขาเป็นยังไงกันบ้าง และมีสาเหตุไหนนะที่ทำให้พวกเขาถนัดมือซ้าย ไปดูกันดีกว่าคะว่าจะดีจะร้ายยังไง

  • ในยุโรป คนจะมีความรู้สึกแฮปปี้กับมือขวามากกว่า เพราะขวา (Right) อ่านและเขียนเหมือนคำว่า "ความถูกต้อง" ส่วนในภาษาเยอรมันและดัชต์ เขียนเหมือน "Recht" ที่แปลว่าอำนาจตามกฎหมาย แต่ละคำเป็นมงคลกับชีวิตทั้งนั้นเลย
  • ยิ่งในประเทศจีน เชื่อกันว่าด้านซ้ายเป็นด้านที่ไม่ดี เพราะคำว่าซ้ายในภาษาจีนกลาง แปลว่า "ไม่เหมาะสม" "ไม่ถูกต้อง" ถ้าลูกใครถนัดซ้ายพ่อแม่อาจก่ายหน้าผากเก๊กซิมไปหลายวัน

ทำไมถึงถนัดซ้าย

  • ในปี 2007 มีการค้นพบว่ายีนส์ที่ชื่อ LRRTM 1 เป็นตัวเพิ่มโอกาสในการถนัดมือซ้าย
  • คนเราจะถนัดมือไหน มีพัฒนาการที่บอกได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในท้อง ทารกในครรภ์วางมือไหนไว้ใกล้ปาก มือข้างนั้นจะเป็นข้างที่ถนัดตอนโต
  • ทฤษฎีของ Norman Geschwind บอกว่าฮอร์โมนเพศชายจะไปกดทับการเจริญเติบโตของเซลล์สมองซีกซ้าย จนเซลล์นั้นต้องย้ายไปเติบโตที่ซีกขวาแทน เพราะอย่างนี้สมองซีกขวาถึงได้ควบคุมการทำงานของร่างกายด้านซ้าย
  • สถิติชี้ว่าผู้หญิงที่มีลูกในวัยกลางคน มีแนวโน้มจะได้ลูกที่ถนัดซ้ายมากขึ้น
  • ในเด็ก 8 คนจะมีคนที่ถนัดมือซ้าย 1 คน

ถนัดซ้ายได้หรือเสียเปรียบ

  • ในการเล่นกีฬา คนถนัดซ้ายจะเสียเปรียบเพราะอุปกรณ์ทั้งหมดทำมาสำหรับคนถนัดขวา และกติกาของกีฬาหลายอย่างเช่น กอล์ฟ ฮอคกี้ก็ห้ามถือไม้ด้วยมือซ้าย นักกีฬาถนัดซ้ายเลยต้องฝึกหนักกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว ยกเว้นแต่กีฬามวยที่คนถนัดซ้ายจะได้เปรียบ เพราะคู่ต่อสู้ซึ่งเจอแต่นักมวยถนัดขวา จะเดาทางไม่ค่อยถูก
  • เช่นเดียวกับกีฬาโปโลน้ำที่คนถนัดซ้ายจะมีโอกาสชนะมากกว่า เพราะผู้เล่นส่วนใหญ่ถนัดการบุกทางปีกขวา พอต้องสู้กับนักกีฬาที่ยิงประตูด้วยมือซ้าย เลยต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปตามระเบียบ
  • งานวิจัยของ Johns Hopkins University พบว่า ผู้ชายถนัดซ้ายจะมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าคนถนัดขวาถึง 25% เพราะคนถนัดซ้ายจะมีความคิดสร้างสรรค์สูง จึงมักทำงานในระดับผู้บริหาร หรือเป็นนักคิดนักเขียนชื่อดัง
  • เคยมีงานวิจัยชี้ว่าในการโต้วาทีที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ นักการเมืองถนัดขวาจะเสียเปรียบ เพราะการเคลื่อนไหวของมือขวา จะถูกผู้ชมมองในแง่ลบมากกว่า

เรื่องเศร้าชาวมือซ้าย

  • ในศตวรรษที่ 18 ถึง 19 คนถนัดมือซ้ายถูกมองเป็นตัวประหลาดของสังคม พ่อแม่ไม่ค่อยอยากได้ลูกสาวแต่งงานด้วย ส่วนในโรงเรียนถ้าครูเห็นเด็กจับปากกาด้วยมือซ้าย จะลงโทษด้วยการดัดมือ เพื่อบังคับให้เด็กเปลี่ยนมาเขียนมือขวาเป็นความเมตตาที่มาพร้อมวิธีโหดๆ
  • ในอินเดียและประเทศมุสลิมบางประเทศ ถือว่ามือซ้ายมีไว้ใช้ชำระล้างร่างกายหลังเข้าห้องน้ำ จึงไม่ให้หยิบอาหารด้วยมือข้างนี้
  • วันสากลคนถนัดซ้าย
  • ที่ประเทศอังกฤษชาวมือซ้ายได้รวมตัวกันตั้งสมาคมคนถนัดซ้าย (Left-Handers Association) ขึ้น และได้ประกาศให้วันที่ 13 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันสากลคนถนัดซ้าย"
  • ในปี 2010 สมาคมคนถนัดซ้าย ได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา สร้างพื้นที่สำหรับคนถนัดซ้ายในบ้านและสถานที่ทำงาน เพื่อให้ชาวมือซ้ายมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

7 มารยาทห้ามทำในต่างประเทศ

ก่อนที่เราจะไปเที่ยวต่างประเทศ เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศนั้นๆ ก่อนนะคะ เพราะแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันออกไปคะ

1. ห้าม "OK" ที่บราซิล ถ้าเรายกมือทำ O.K. กับชาวบราซิลจะกลายเป็นศัตรูกันในบัดดลค่า เราเข้าใจกันทั่วโลกว่าการ O.K. แปลว่า ตกลง แต่กับที่นี่มันมีความหมายทำนองเดียวกับ Fuck You ในอเมริกาค่ะ เรื่องนี้ไม่มีประวัติว่าเป็นมาอย่างไร แต่สันนิษฐานว่าที่มันไม่สุภาพ เพราะว่าการทำมือ O.K. โดยเอานิ้วโป้งแตะกับนิ้วชี้ จะเกิดเป็นรูกลมๆ ซึ่งชาวบราซิลเปรียบกับ "รูทวาร" ค่ะ ใครไปบราซิลก็อย่าไปยกมือทำ O.K. กับเค้าล่ะ เดี๋ยวจะมีคดีติดตัว

2. ห้ามให้ของขวัญด้วยมือซ้าย บางประเทศเค้าถือว่ามือซ้ายเป็นมือสกปรกเพราะมักใช้จับของไม่ดีหลายอย่าง ง่ายๆ ก็เอาไว้ล้างก้นนั่นเอง เพราะยังมีความเชื่อที่ว่าคนถนัดซ้ายคือ สมุนของซาตาน คนถนัดขวาคือมนุษย์ ส่วนประเทศที่ห้ามให้ของขวัญมือซ้ายก็ ได้แก่ อินเดีย, แอฟริกา, ศรีลังกา และประเทศตะวันออกกลาง มารยาทในการให้ของขวัญต่างประเทศที่ควรรู้ก็อย่าง อย่าใช้กระดาษขาวมาห่อของขวัญแก่คนจีน อย่าให้ดอกไม้สีขาวแก่ชาวบังคลาเทศค่ะ

3. ห้ามให้ดอกไม้เลขคู่ในรัสเซีย ถ้าเราเผลอให้ไปรับรองว่าโดนตอกกลับหลายดอกแน่ เพราะมันหมายความว่าคุณกำลังแช่งให้เค้าตายเร็วนั่นเอง ดังนั้นเวลาจะให้ดอกไม้กับคนรัสเซียควรให้เป็นจำนวนเลขคี่ดีกว่า นอกจากเรื่องดอกไม้แล้วรัสเซียยังมีเรื่องแปลกๆ อย่าง การห้ามจับมือหรือหอมแก้มทักทายที่ประตูทางเข้าบ้าน เวลาไปเยี่ยมต้องเอาของที่ระลึกให้เจ้าบ้านด้วย เป็นต้น

4. ห้ามพบเพศตรงข้ามต่อหน้าคนอื่น การพบปะกับเพศตรงข้ามถือว่าเป็นเรื่องเคร่งครัดของทุกศาสนา โดยเฉพาะชาวมุสลิมค่ะ เห็นได้ว่ามีการห้ามชายหญิงมีชู้ ต้องรักนวลสงวนตัวที่ซาอุดิอาระเบียมีกฎห้ามผู้หญิงรวมผู้หญิงต่างชาติด้วย ห้ามจับมือถูกเนื้อต้องตัวชายใดที่ไม่ใช่สามีต่อหน้าธารกำนัล เรื่องนี้เคยมีตัวอย่างมาแล้วเมื่อหญิงมะกันจับมือผู้ชายในร้านกาแฟ สุดท้ายถูกจับกุมจนขึ้นโรงขึ้นศาลเลยทีเดียวค่ะ แบบนี้จะให้ไปเจอกันในที่มืดสองต่อสองมันไม่น่ากลัวกว่าหรือคะ

5. มารยาทอาหารในจีน ไทย ฟิลิปปินส์ หลายคนคงเคยได้ยินว่า เหลือข้าวไว้คำสุดท้ายไว้เป็นมารยาท เวลาทานข้าวใช่ไหมคะ และมันก็เป็นเรื่องที่ควรทำในจีน ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทยด้วยค่ะ อย่างที่จีนเนี่ย ถ้าเรากินข้าวจนเกลี้ยง เขาจะคิดว่าให้อาหารเราไม่พอกิน เพราะงั้นจึงควรเหลือไว้สักคำสองคำ แต่พองามให้เจ้าบ้านได้ชื่นใจ และถ้าหากใครที่กินอิ่มแล้วเรอออกมา ที่จีนเค้าถือว่า อาหารเค้าอร่อย แต่เดี๋ยวนี้ที่ไทยต้องกินให้หมดค่ะ ข้าวของมันแพงเกินกว่าจะคิดถึงคำว่ามารยาท

6. ห้ามยกนิ้วโป้ง เป็นเรื่องไม่เหมาะสมในดินแดนตะวันออกกลางที่จะยกนิ้วโป้งให้คู่สนทนา แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องสากลที่หลายคนให้การยอมรับ แต่ที่นี่เค้าเล่ากันว่า สมัยก่อนมีการต่อสู้กันในโคโลเซียม พวกนักสู้ซึ่งส่วนมากเป็นคนผิวดำ จะถูกกรรมการตัดสินแพ้ชนะจากการชูนิ้วโป้งขึ้นลง สัญลักษณ์การชูนิ้วโป้งจึงถูกเผยแพร่ไปทั่วกรุงโรม แต่ความหมายจริงๆ ก็น่าจะประมาณว่าเป็นการตัดสินความเป็นความตายของคนนั่นเองค่ะ

7. ห้ามแบมือต่อหน้าชาวกรีก ในประเทศกรีก การทำท่าทางโดยการแบฝ่ามือต่อหน้าชาวกรีกนั้น ถือว่าเป็นการดูถูกอย่างมากค่ะ เรื่องนี้มีที่มาที่ไปก็คือว่า ในสมัยไบแซนไทน์ เมื่อมีการทำผิดกฎ คนทำผิดก็จะถูกจับขังและนำขึ้นขบวนแห่บนหลังม้าและยังถูกทาสีดำบนใบหน้าเพื่อประจาน ดังนั้นเวลาชาวกรีกเห็นเรายกมือคล้ายจะปฏิเสธแบบนี้ ก็จะนึกว่าเรากำลังดูถูกพวกเขาอยู่ เพราะเราเปรียบพวกเขาเหมือนนักโทษเหมือนกำลังด่าเค้าว่ามีอุนจิติดหน้าประมาณนั้นแหละค่ะ

รู้แล้วก็อย่าไปเผลอทำนะคะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไม่มีมารยาทค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

วันพ่อในต่างประเทศ

ประเทศไทยของเรามีวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติ เป็นวันที่ลูกๆ ทุกคนจะต้องแสดงความรักต่อคุณพ่อซึ่งถือได้ว่าเป็นวันแห่งครอบครัวอีกวันหนึ่งได้เลยค่ะ แล้วเคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่าในต่างประเทศล่ะเค้ามีวันพ่อกันรึเปล่า วันนี้เราเลยนำเสนอเกี่ยวกับวันพ่อในต่างประเทศกันค่ะ

วันพ่อในต่างประเทศมีเรื่องเล่าว่า 'Grace Golden Clayton' ชาวอเมริกันมีความคิดเรื่องวันพ่อแห่งชาติขึ้น เพื่อระลึกถึงคุณพ่อของลูกๆ จำนวน 361 คนที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ใกล้ๆ เมืองโมนูก้า เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1907 ที่เมืองแฟร์มอนต์ เวสต์เวอร์จิเนีย อีกสองปีถัดมาวันพ่อก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

วันพ่อในสหรัฐอเมริกา เขากำหนดให้เป็นอาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายนของทุกปี ลูกๆ ชาวอเมริกันจะส่งการ์ดอวยพรและของขวัญให้กับคุณพ่อ หรือบุคคลที่ตนนับถือเหมือนพ่อตัวเองค่ะ แต่วันพ่อฉบับเก่าแก่เมื่อ 4000 ปีก่อนระบุว่า เด็กชายชื่อ 'Elmesu' ได้แกะสลักข้อความลงในการ์ดดินเหนียวให้พ่อเขาสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนนาน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ 'Elmesu' และพ่อของเขา

สำหรับวันพ่อของประเทศญี่ปุ่น เริ่มมีความสำคัญตั้งแต่หลังสงครามโลกค่ะ ลูกๆ ที่นี่นอกจากจะให้ของขวัญแล้ว เขายังนิยมเขียนจดหมายเล่าความรู้สึกในจิตใจออกมาเป็นตัวอักษรให้คุณพ่อด้วย รวมทั้งการวาดรูป หรือทำอาหารให้คุณพ่อทาน แล้วร้านดอกไม้ก็ได้สร้างวัฒนธรรมการให้ดอกกุหลาบในวันพ่อ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้วงงๆ ว่าวันวาเลนไทน์ก็ไม่ใช่เขาให้ดอกไม้กันทำไม ก็รู้เอาไว้เลยค่ะว่าอาจเป็นวันพ่อก็ได้

ที่ประเทศอังกฤษ เขานิยมให้ช็อกโกแลต นอกจากนี้ก็ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กๆ ทำเองกับมือ แต่ที่เมืองผู้ดีเนี่ย เขาจะเป็นวันพ่อในเชิงการค้ามากกว่าประเทศอื่นๆ บริษัทห้างร้านต่างผลิตสินค้าล่อตาล่อใจลูกๆ ให้เข้ามาซื้อของให้พ่อ บางคนอาจมองว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้วันพ่อคึกคักและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกให้แข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ

ในแอฟริกาใต้ลูกๆ นิยมให้ของกินกับคุณพ่อค่ะ ทั้งทำเองและออกไปทานกันนอกบ้านเช่น ไปปิกนิค ตกปลา หรือการกินข้าวร่วมกันทั้งครอบครัว บรรยากาศแบบนี้สิเหมาะกับครอบครัวที่สุด ช่วยให้เกิดการแสดงบทบาทของคนเป็นพ่อด้วย

ในประเทศไอร์แลนด์ลูกๆ ของที่นี่เค้าทำตัวน่ารักกันจริงๆ ค่ะ โดยจะทำอาหารฝีมือตัวเองแล้วไปเสิร์ฟถึงเตียงนอนคุณพ่อ และยังทำความดีในวันพ่อด้วยการบริจาคสิ่งของหรือเงินให้กับมูลนิธิต่างๆ และลงชื่อพ่อตัวเองเป็นผู้บริจาคด้วย

ไม่ว่าแต่ละประเทศเขาจะมีการให้ของขวัญหรือปฏิบัติตัวในวันพ่อยังไง มันไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าเราทำตัวเป็นลูกที่น่ารักกับพ่อตัวเองหรือเปล่านะคะ สิ่งของที่ให้ไม่เท่ากับความรักที่มอบให้กันทุกวันหรอกจริงไหมคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ตำนานตะเกียบญี่ปุ่น

พูดถึงตะเกียบหลายคนคงนึกถึงวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของประเทศแถบเอเชีย ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ประเทศที่ใช้มันในการทานอาหาร ที่นึกออกก็มีจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และบ้านเราก็ยังหยิบยืมตะเกียบมาใช้ตามชนิดของอาหารด้วย วันนี้เราจะมาพูดถึงตะเกียบญี่ปุ่นกันค่ะ ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร มีอะไรน่าสนใจมากกว่าใช้คีบอาหารบ้าง

ที่จริงแล้วญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมมาจากแผ่นดินใหญ่อย่างประเทศจีน โดยตะเกียบเริ่มมีตั้งแต่สมัยยาโยอิ ผู้ใช้ตะเกียบก็คือ องค์จักรพรรดิ ส่วนพวกชาวบ้านใช้มือในการรับประทานอาหารเท่านั้น เรียกว่ายุคแรกที่ตะเกียบเข้ามาจักรพรรดิมีสิทธิ์ใช้แต่เพียงผู้เดียวค่ะ ต่อมาในสมัยอาสุกะ เมื่อเจ้าชายโชโทคุ ไทชิ ไปเป็นทูตที่ประเทศจีน ท่านได้นำวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบของข้าราชการจีนกลับมาด้วย ซึ่งทำให้การใช้ตะเกียบเริ่มแผ่ขยายไปถึงชนชั้นล่าง

ในสมัยนารา คนทั่วไปเริ่มทำตะเกียบใช้เองและเริ่มใช้จนเป็นเรื่องปกติในยุคคามะคุระ อีกทั้งญี่ปุ่นได้เรียนรู้และเริ่มออกแบบรูปร่างของตะเกียบให้เข้ากับอาหารของตนด้วย ในสมัยเอโดะมีการเคลือบเงา สร้างความหลากหลายให้กับตะเกียบมากขึ้น และต่อมาในปีโชวะที่ 10 เกิดการใช้ตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง หรือเรียกว่า วาริบาชิ ที่เราเห็นตามร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ

ในปีโชวะที่ 30 อุตสาหกรรมการผลิตตะเกียบได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง มีการพัฒนาทั้งลวดลาย ขนาด และสีสัน การทำตะเกียบในขั้นตอนแรกๆ มาจากจังหวัดฟุคุอิ และส่งต่อไปทั่วญี่ปุ่น ที่เกียวโตก็นำตะเกียบจากจังหวัดฟุคุอิมาสร้างลวดลายจนเกียวโตมีชื่อเสียงในเรื่องลวดลายอันสวยงามของตะเกียบไปโดยปริยายค่ะ

ในเรื่องความเชื่อในเรื่องของตะเกียบในญี่ปุ่นนั้น ในยุคแรก เวลาที่ผู้คนต้องการประกอบพิธีกรรมบูชา ขอบคุณเทพเจ้าในโอกาสต่างๆ อาหารที่ใช้ถวายนั้นไม่สามารถแตะต้องถูกมือของมนุษย์ได้ ผู้คนจึงใช้ตะเกียบคีบอาหารแทนการใช้มือ สังเกตที่ตะเกียบญี่ปุ่นนั้นจะมีปลายตัดเฉียงอยู่หนึ่งด้านและด้านเท่ากันอีกด้าน เค้าเชื่อกันว่าปลายที่เฉียงเป็นของเทพเจ้า อีกข้างหนึ่งเป็นของคนทั่วไป

และในงานศพ คนญี่ปุ่นเค้าใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ไผ่ คีบเถ้ากระดูกไปเก็บไว้ในโกศ เพราะเชื่อว่าตะเกียบจะเป็นตัวแทนของสะพาน ที่ช่วยเชื่อมต่อให้วิญญาณที่จากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าได้อย่างสบาย เพราะเหตุนี้คำว่าตะเกียบในภาษาญี่ปุ่น จึงออกเสียงว่า ฮาชิ ซึ่งแปลได้ทั้งตะเกียบและสะพานค่ะ ต่างกันตรงที่ตัวคันจิและการออกเสียงต่างกันแค่เสียงต่ำและสูงเท่านั้นเอง

มาพูดถึงประเภทของตะเกียบกันบ้าง ในญี่ปุ่นมีด้วยกัน 3 ชนิดค่ะ ได้แก่ ตะเกียบสำหรับเทศกาล เรียกว่า อิวาอิบาชิ ตะเกียบใช้แล้วทิ้ง เรียกว่า วาริบาชิ และสุดท้าย ตะเกียบทำอาหาร เรียกว่า เรียวริบาริ ในเมื่อตะเกียบเอาไว้ใช้บนโต๊ะอาหารแล้ว มันก็ต้องมีมารยาทพื้นฐานในการใช้ตะเกียบของคนญี่ปุ่นค่ะ รู้เอาไว้จะได้ไม่ซุ่มซ่ามให้อายเค้า

ข้อห้ามในการใช้ตะเกียบก็อย่างเช่น ห้ามปักตะเกียบไว้บนข้าวเพราะถ้าปักถือว่าเป็นข้าวของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ห้ามเขี่ยหาอาหารเพื่อเลือกทานแต่ของชอบ อย่าแกว่งตะเกียบไปมาแบบลังเลในการเลือกอาหาร อย่าเคาะหรือขูดตะเกียบกับภาชนะให้เกิดเสียง ห้ามคีบถ้วยอาหารด้วยตะเกียบให้เคลื่อนย้าย ห้ามส่งอาหารต่อกันด้วยตะเกียบ นี่แค่คร่าวๆ ที่ควรรู้ยังมีอีกหลายข้อสำหรับมารยาทในการใช้ตะเกียบค่ะ

ปัจจุบันตะเกียบญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงไปจากทำจากไม้ไผ่ ก็มีการทำด้วยสแตนเลส พลาสติก มากมายหลายสีสัน หลากดีไซน์ มีขายตั้งแต่ราคาถูกมากไปจนถึงแพงเวอร์ แล้วยังมีเคสและที่วางสำหรับเก็บตะเกียบแบบน่ารักๆ วางจำหน่ายเต็มไปหมด

ส่วนเด็กๆ ที่ใช้ตะเกียบยังไม่คล่อง ญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ใส่ใจทุกรายละเอียดก็มีสินค้าตะเกียบที่ออกแบบมาช่วยฝึกการใช้ตะเกียบไปในตัวอีกด้วย ประเทศนี้เค้าน่ารักดีจริงๆ ค่ะ ใส่ใจทุกขั้นตอน แม้กระทั่งเรื่องการกินของเด็กๆ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ก่อนจะมาเป็นลายสัก Tattoo

การสักทุกคนคงจะรู้จักกันดี การสักนั้นถือเป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่งซึ่งจะถ่ายทอดออกมาบนร่างกายของมนุษย์ การสักนั้นมีหลายรูปแบบ มีทั้งสักยันต์ สักรูปกราฟฟิกเพื่อความสวยงาม หรือรูปแบบต่างๆ ตามที่เจ้าของเรือนร่างต้องการ แต่มีใครรู้บ้างคะว่าศิลปะในรูปแบบนี้มีมายาวนานหลายพันปีแล้ว ตั้งแต่สมัยกรีกโรมันจนบัดนี้การสักได้แพร่กระจายไปทั่วโลก

รอยสักหรือแทททู ในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า ตีหรือเคาะซึ่งที่มาของชื่อก็มาจากขั้นตอนการสักนั่นเอง อาจด้วยเครื่องสัก หรือเข็มที่มีด้ายร้อยเคลือบแทงผ่านบริเวณที่ต้องการสักลงไปบนผิวหนัง ปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ในการสักได้เปลี่ยนไปเป็นการใช้วัสดุติดกับเครื่องไฟฟ้าและสักสีลงไปใต้ผิวหนัง

รู้ไหมคะว่า รอยสักที่วัยรุ่นหันไปนิยมกันเนี่ยมีจุดประสงค์ยังไง ในทางสังคมเชื่อว่าเป็นเรื่องของความอยากเด่นอยากดังของคนสัก ส่วนในทางไสยศาสตร์เชื่อว่าการสักช่วยป้องกันอันตรายและยังช่วยให้ชีวิตมีอะไรดีๆ เข้ามา ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับลวดลายที่จะสักด้วย

ในประเทศไทย การสักหรือสักเลกนั้นเป็นการทำเครื่องหมายที่ข้อมือ เพื่อแสดงการขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หลวงที่มีสังกัดกรมกอง แต่ถูกยกเลิกไปในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ส่วนที่หน้าผากหรือการสักท้องแขนใช้กับผู้ต้องโทษจำคุก แต่ยกเลิกใน พ.ศ.2475 รวมทั้งการสักยันต์เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ

ที่กรีก การสักเป็นการทำสัญลักษณ์เฉพาะใบหน้าของทาสและอาชญากร ต่อมาเริ่มแพร่หลายในทวีปยุโรป ค.ศ. 787 การสักบนใบหน้าถือเป็นการลบหลู่ต่อพระผู้เป็นเจ้า

วัฒนธรรมการสักมีอยู่ทุกมุมทั่วโลก อย่างประเทศที่เห็นกันได้ชัดว่ามีการสักมาอย่างยาวนานก็คือ ญี่ปุ่น ในตอนแรกเป็นของพวกยากูซ่า ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ยากูซ่าจะสักรอยสักไว้ที่ตัว ที่มาของรอยสักของยากูซ่ามาจากพวกบาคุโตะ ที่สักวงแหวนสีดำรอบๆ แขน เพื่อแสดงถึงอาชญากรรมแต่ละครั้งที่ได้ทำลงไป ต่อมากลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง

อีกทั้งรอยสักยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า คุณเต็มใจที่จะเข้าร่วมในสังคม กฎเกณฑ์ และแบบแผน แต่ในปัจจุบันนั้นแสดงให้เห็นถึงสังกัดที่อยู่

นอกจากจะสร้างความงามบนเรือนร่างแล้ว ใครที่ไปสักก็ต้องระวังอันตรายจากอุปกรณ์การสักกันด้วยค่ะ ซึ่งอันตรายจากการสักจะทำให้เป็น วัณโรค ติดเชื้อไวรัส หรือได้รับสีที่ใช้ในการสักที่เป็นอันตรายอย่างสารปรอท โคบอลท์ หรือแร่เหล็ก และเวลาอยากจะลบรอยสักขึ้นมาก็ต้องยุ่งยากไปผ่าตัด หรือใช้กรดไนตริกกำจัดอีก เรียกว่าอันตรายเหมือนกันค่ะ เพราะงั้นก่อนจะสักหรือจะทำอะไรเกี่ยวกับร่างกายก็ตัดสินใจและคิดให้ดีๆ

การสักถือเป็นความชอบส่วนบุคคลค่ะ ถ้ามักมองพวกที่สักว่าเป็นคนไม่ดีหรือเป็นตัวอันตราย อย่าไปเข้าใกล้ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกเท่านั้น เรื่องของจิตใจเราต้องไปศึกษาดูว่าพวกเขาเป็นคนยังไง เพราะงั้นอย่าตัดสินคนจากภายนอกนะคะ คนดีๆ ชอบทำตัวแรงๆ มีถมไป

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

โอริกามิ พับกระดาษสไตล์ปลาดิบ

รู้กันไหมคะว่าเด็กๆ ของประเทศญี่ปุ่นเค้าใช้อะไรในการฝึกสมองและเสริมสร้างให้เด็กมีสมาธิ เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ คำตอบก็คือ การพับกระดาษนั่นเองค่ะ เพียงแค่ใช้กระดาษ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างและเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ได้อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นผู้ใหญ่ก็สามารถทำได้

พับ ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โอะริซุรุ การพับกระดาษรูปที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ก็คือ นกกระเรียน คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า นกกระเรียนถือเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี หน้าที่การงานราบรื่นไม่มีอุปสรรค สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว คนญี่ปุ่นมักนิยมวาดลายนกกระเรียนลงบนชุดกิโมโนและยูคาตะของสตรี

เคยเห็นกันบ้างไหมคะ ที่มีคนร้อยนกกระเรียนพับเป็นจำนวนมากบนเส้นด้ายแล้วมัดรวมกันแขวนห้อยจากเพดาน สิ่งนี้เรียกว่า นกกระเรียนพันตัว เมื่อจะอธิษฐานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ขอพรให้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยโดยเร็วมีแต่ความสุขและโชคดี หรือภาวนาให้เกิดสันติภาพ

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับการพับนกกระดาษที่อยู่ในใจของคนญี่ปุ่นทุกคนก็คือ เรื่องราวของ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งเธอได้ตกเป็นเหยื่อจากการโดนผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ เธอชื่อซาดะโกะ เธอเป็นเด็กที่ขยัน ร่าเริง และยังเป็นนักวิ่งของโรงเรียน อาศัยอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่าในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ยิงระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งบ้านของเธอก็อยู่ไม่ห่างไกลจากที่เกิดสงครามมากนัก แต่เธอและครอบครัวก็สามารถหลบหนีจากระเบิดปรมาณูได้อย่างปลอดภัย หลังจากสงครามได้สงบและยุติลงเธอก็ใช้ชีวิตเหมือนธรรมดา เหมือนเด็กประถมทั่วไป

จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 11 ปี ในขณะที่เธอกำลังซ้อมวิ่งแข่งซึ่งเป็นกีฬาที่เธอรักมากที่สุดนั้น เธอก็มักจะมีอาการวิงเวียนศีรษะและอาเจียน แต่เธอก็เก็บความลับนี้ไม่บอกผู้ใด จนกระทั่งจู่ๆ เธอก็มาหมดสติลง และเธอได้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล และตรวจออกมาว่า เธอล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผลสืบเนื่องมาจากการที่เธอได้รับสารกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ ความฝันที่อยากเป็นนั่งวิ่งแข่งประจำจังหวัดก็สลายลง

แพทย์ได้แจ้งกับทางครอบครัวของเธอให้ทราบว่า เธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น ชิซูโกะเพื่อนสนิทของซาดะโกะได้มาเยี่ยมพร้อมกับเล่าตำนานของนกกระเรียนพับว่า ถ้าพับนกกระเรียนครบ 1,000 ตัวเมื่อไหร่ ถ้าหวังสิ่งใดจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา เธอก็หวังว่า การพับนกกระเรียนครั้งนี้จะทำให้เธอหายป่วยได้โดยเร็ว ในขณะที่เธอพับนกกระเรียนนั้นเธอได้เขียนคำว่า สันติภาพ ลงไปในกระดาษ เธอได้รวบรวมแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อสู้กับความเจ็บปวดของร่างกาย เธอบรรจงพับออกมาได้อย่างสวยงามเปี่ยมไปด้วยความหวังและมุ่งมั่น รวมทั้งเด็กมัธยมที่จังหวัด นาโงย่า ก็ได้ส่งนกกระเรียนที่พับอย่างสวยงามมา เพื่อเป็นการเยี่ยมไข้และให้กำลังใจ อีกทั้งคนไข้ที่พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน ต่างก็เริ่มพับนกกระเรียนด้วยเช่นกัน ด้วยความเชื่อที่ว่าหากสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว ก็จะสามารถหายจากอาการเจ็บป่วยได้ แต่ว่าถึงแม้จะพับได้เกิน 1,000 ตัว แต่ซาดะโกะก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 25 ตุลาคม ด้วยวัยเพียง 12 ปี

หลังจากที่ซาดะโกะเสียชีวิตแล้ว ก็ได้มีการบริจาคเงินเพื่อสร้างอนุสรณ์รำลึกถึงซาดะโกะ ซึ่งลักษณะของรูปปั้นนั้นเป็นหินแกรนิต เป็นรูปซาดะโกะชูนกกระเรียนพับไว้เหนือหัวด้วยมือทั้งสองมือ อยู่บนแท่นสูงใหญ่ โดยอนุสรณ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า บ้านเกิดของซาดะโกะ สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1958 โดยอนุสรณ์แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า "Genbaku no ko no zoo" สร้างเพื่อให้คนตระหนักถึงการเกิดสงคราม

ฟังเรื่องนี้แล้วก็เศร้านะคะ "สงครามไม่เคยทำให้ใครมีความสุข" เลยจริงๆ ทั่วทุกมุมโลกล้วนแต่มีปัญหากัน เราคนธรรมดาไม่อยากมีเรื่องกับใครก็ได้แต่ภาวนาขอให้โลกนี้จงมีแต่ความสงบค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on