รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

โศกนาฏกรรม 6 แฟชั่นสวยสยอง

เรื่องแฟชั่นนี้มีมานานนมแล้วค่ะ สมัยก่อนเค้าก็หาอะไรมาเพิ่มเสริมแต่งให้ตัวเองสวยๆ ดูดี ยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นเลยหาอะไรมาเสริมแต่งร่างกายให้หรูเริ่ด ดูเป็นผู้ดี พูดง่ายๆ ก็คือ แฟชั่นสมัยก่อนมักฮิตกันในหมู่พวกผู้ดีนี่แหละค้า คนธรรมดาสามัญอย่าหวังจะอาจเอื้อมเทียบตัวเสมอ ไปดูกันเลยดีกว่าว่าแฟชั่นแปลกจนถึงตายได้เนี่ยมันมีอะไรบ้าง

1. คริโนไลน์ (Crinoline) หลายคนคงเคยเห็นกระโปรงบานเป็นสุ่มไก่ เค้าเรียกว่า "คริโนไลน์" เป็นกระโปรงที่สวมบนสุ่มเพื่อให้กระโปรงบานออก ฮอตในชนชั้นสูงศตวรรษที่ 19 นู่นค่า ที่น่ากลัวก็คือ พอลมพัดแรงๆ มีหลายรายตกจากที่สูง บางคนหายใจไม่ออก เพราะโครงเหล็กของชุดรัดแน่นจนกระดูกหัก! อีกอย่างชุดสุ่มไก่นี่มันก็ติดไฟง่ายมากๆ ถ้าเกิดไปติดอยู่ที่ไฟไหม้ล่ะก็ อย่าหวังว่าจะหนีออกมาได้เล้ย กว้างซะขนาดนั้น!

2. คอร์เซ็ท (The Corset) เป็นเสื้อรัดลำตัวสตรี, เสื้อยกทรงรัดรูปของสตรี และชุดชั้นในผู้หญิงที่สวมเพื่อให้สะโพกและหน้าอกเข้ารูป การใส่คอร์เซ็ทต้องรัดให้แน่นมากๆ แน่นจนทำให้กระดูกผิดรูปหรือที่เราเรียกว่าเอวคอด ซี่โครงจะเจ็บปวด ชา อวัยวะเครื่องในจะถูกเคลื่อนย้ายลงต่ำมาถึงก้น ทั้งเป็นสาเหตุให้การไหลของเลือดภายในผิดปกติ ในปี 1903 มีผู้หญิงที่ตายทันทีเพราะเสื้อรัดลำตัวสตรีที่เป็นเหล็กกระแทกหัวใจของเธอ โอ้มายก็อด!

3. มัดเท้า (Foot Binding) เป็นการพันเท้าผู้หญิงให้เป็นรูปดอกบัว ประเพณีปฏิบัติของผู้หญิงจีน ตามวลีว่า "ผู้หญิงที่เท้าเล็ก ยิ่งเซ็กซี่" มีงี้ด้วย! การพันเท้าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 5-6 ขวบ โดยคนเป็นแม่จะใช้วิธี หักนิ้วน้อยๆ สี่นิ้ว แล้วงอย้อนกลับไปทางด้านหลัง แล้วก็เอาผ้ามาพันเอาไว้ โดยจะพันแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนได้เท้าที่เล็กตามต้องการ เท้าที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาจะส่งกลิ่นเหม็นจนเป็นแผลเน่า และเลวร้ายที่สุดคือไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก

4. ฟองตางเก (The Fontange) การเกล้าผมให้สูงไว้กลางศีรษะ มัดโบเล็กๆ หลายอันด้านหน้า จากนั้นประกบด้วยลูกไม้จีบและมัดมวยผมเป็นแผง 3-4 ชั้น วนไล่ขึ้นไปเป็นยอด ด้านหลังกับด้านข้างทิ้งปอยหยิกห้อยและผูกโบว์ยาวซึ่งยิ่งผมสูงยิ่งดีแสดงถึงฐานะ ทรงผมนี้มันติดไฟง่าย ยิ่งงานราตรีที่มีโคมไฟระยิบระย้ายิ่งติดไฟง่ายไปใหญ่ แถมเวลาไฟติดบนหัวล่ะก็ตัดยากสุดๆ เพราะหัวเต็มไปด้วยวัสดุติดไฟง่ายทั้งนั้น

5. ลีด เมคอัพ (Lead Makeup) เป็นการทำให้หน้าขาวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของตะกั่วคนดังที่ใช้แป้งขาวทา ก็มีสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ แน่นอนว่ามันมีส่วนประกอบของตะกั่ว เป็นอันตรายต่อร่างกายทำให้เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน มึนงง แขนขาชา ตาบอด และหายใจไม่ออกบางครั้งอาจเสียชีวิตได้ และถ้าร่างกายสะสมตะกั่วมากๆ อาจเป็นมะเร็งได้

6. เดอะ สตีฟ ไฮ คอลล่า (The Stiff High Collar) เป็นคอเสื้อแข็งๆ ใส่เพื่อให้ปกเสื้อสูงขึ้น คอเสื้อจะเป็นสีขาว เวลาใส่ก็เอาชุดเชิ้ตมาใส่ทับอีกที ที่เยอรมัน, เดนมาร์ก และดัชท์ เรียกเจ้าคอลล่านี้ว่า "พ่อมือสังหาร" (Father Killer) มันทำให้คนสวมหายใจลำบาก อึดอัดและมักเสียชีวิตในขณะที่ใส่ชุดนี้เวลานอนและพอมันรัดคอคนสวมมักตาย เพราะขาดอากาศหายใจอย่างไม่รู้ตัว และทำให้เกิดฝีในสมอง เวลากินข้าวก็ผ่านลำคอยาก

แฟชั่นอะไรของเค้าคะเนี่ย น่าสะพรึงมากๆ รู้ค่ะว่าอยากสวยอยากหล่อกันแต่ก็ช่วยคิดถึงผลที่ตามมาด้วยแล้วกันนะคะ สวยอย่างมีสติค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

งามอย่างอินเดีย ต้องใส่ส่าหรี

เมื่อพูดถึงเครื่องแต่งกายของแต่ละชาติแล้วหลายคนก็นึกกันไปถึงเสื้อผ้า แพทเทิร์นเด่นๆ ของแต่ละประเทศ และแน่นอนว่าต้องมีอินเดียเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่กำลังนึกถึง เพราะการแต่งกายอันโดดเด่นและเค้าก็ใส่กันอยู่ทุกวัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เค้าเป็นประเทศน่าเที่ยวให้ชาวต่างบ้านต่างเมืองแวะมาแชะภาพกัน

พูดถึงอินเดียแล้ว เจ้ว่าเค้าเป็นประเทศหนึ่งที่รักษาวัฒนธรรมของตัวเองได้อย่างดีทีเดียวค่ะ อย่างหนึ่งที่เราเห็นก็คือ การแต่งกายของทั้งชายหญิงที่บ้านเราตามเทรนด์อะไรกันแต่บ้านเค้าเซย์โนใส่แบบเดิมตลอด ถึงจะเห็นวัยรุ่นอินเดียเค้าใส่ยีนส์กันบ้างตามประสา แต่ก็เป็นส่วนน้อยเพราะผู้ใหญ่เค้าเหนียวแน่นกับการใส่ชุดประจำชาติกันจริงๆ

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักผ้าอินเดียกันก่อนดีกว่าค่ะ ผ้าอินเดียแบบดั้งเดิม พิมพ์โดยใช้สีสด ซึ่งมีความเชื่อว่า สิ่งทอสีสดและหลากหลายสีเป็นเอกลักษณ์ของชาวอินเดีย และนิยมผ้าทอจากกี่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวันและโอกาสพิเศษล้วนแต่ทอด้วยมือ

การทอผ้าด้วยมือของอินเดียจะมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งจะใช้ผ้าคลุมไหล่ของท้องถิ่นเพื่อแสดงถึงความแตกต่างของเอกลักษณ์ในสังคมของตน ในวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ จะมีวิธีการแต่งตัวและสีสันของเสื้อผ้าแตกต่างกัน โดยเฉพาะความยาวและวิธีการแต่งส่าหรี ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของผู้หญิงอินเดีย

ผืนแรก คือ ผ้าคาดี เป็นผ้าฝ้ายดิบ เนื้อหยาบ เป็นศิลปหัตถกรรมอันเก่าแก่ ต่อมาคือ ผ้าปาโตลา เป็นผ้ามัดหมี่ของรัฐกุจารัฐ ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของกรรมวิธีในการทอผ้ามัดหมี่ ผ้าส่าหรี ปาโตลาได้รับการสงวนไว้ใช้ในชุดแต่งงานของเจ้าสาว มีลักษณะเป็นสีสด เช่น สีแดง สีเขียว และสีคราม

ผ้าเทเลีย รูมัล เป็นผ้ามัดหมี่ใช้นุ่งพันท่อนล่างของร่างกายและบางครั้งใช้ โพกศีรษะด้วย ต่อมาคือ ผ้าจัมดานี เป็นผ้าทอยกดอกที่มีรูปภาพและลวดลายที่งดงามที่สุดที่นิยมจะเป็นลายดอกไม้และใบไม้ และผ้าส่าหรี เป็นผ้าที่สวยงามและมีราคาแพงจะทอยกดิ้นทองหรือเงิน ผ้าดอกจากเมือง พาราณสีในอินเดียทางเหนือ เป็นตัวอย่างสำคัญของการทอผ้าของอินเดีย ผ้าส่าหรี่จะนุ่งเฉพาะผู้หญิง ความยาวของผ้าประมาณ 6 หลา มีสีสันและลวดลายต่างๆ การวางลายของ ผ้าส่าหรีมีกรองลายที่แน่นอน โดยรอบผืนผ้าทั้งสี่ด้าน มีการทำลายที่แตกต่างจากลายตรงกลางผืนผ้า ด้านที่เป็นชายผ้ามีการขยายลายให้เห็นชัดว่าเป็นชายผ้าจริงๆ แล้ว เครื่องแต่งกายแบบส่าหรีนี้มีประวัติความเป็นมาย้อนหลังไปได้ถึง 4000 กว่าปีมาแล้ว อีกอย่างก็คือ คนที่ใส่ส่าหรีส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว หรือหญิงวัยกลางคนรุ่นป้าๆ หน่อย เพราะใส่แล้วดูมีภูมิฐานอัพเกรดหน้าตาให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นได้ทันตาเห็น และผ้าส่าหรีนี่ก็ไม่มีขายแบบสำเร็จรูปนะคะ หลังจากได้สาหรี่มาแล้วก็ต้องหาช่างตัดผ้าให้เค้าตัดแต่ละชิ้นส่วนดังนี้

Blouse เป็นเสื้อตัวสั้นที่ใส่แบบรัดรูปอยู่ด้านในซึ่งสั้นเพียงแค่ใต้ราวนมเพราะมันจะต้องเห็นพุงกันถ้วนหน้าถ้าไม่ให้เห็นพุงไม่ใช่ส่าหรีของแท้นะคะ! และจะต้องตัดแบบพอดีตัวมากๆ เอาคอแบบไหน แขนแบบไหน แขนกุด มีแขน หรือเป็นสายเดี่ยว จะเอาติดกระดุมกลัดด้านหน้าหรือด้านหลัง ซึ่งส่าหรีนี้ส่วนมากด้านหน้าจะไม่ออกแบบหวือหวามากแต่จะเป็นด้านหลังมากกว่าที่จะมีอะไรพิเศษ

Petticoat คือ กระโปรงที่ใส่ด้านในส่าหรี เป็นผ้าแบบธรรมดาๆ ต้องเป็นสีเดียวกับด้านนอกส่าหรี มีทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบตัดเอง

เครื่องประดับ เครื่องประดับนี้จะต้องเข้ากันกับสีของส่าหรี เช่นถ้าส่าหรีสีเขียวเครื่องประดับก็จะต้องหามาประมาณโทนเขียว หรือเป็นมุกสีขาวไปเลยถ้าหาไม่ได้หรือบางคนก็ขี้เกียจก็เอาทองมาห้อยคอกันไป แต่ถ้าในงานแต่งงาน แต่ละคนจะต้องใส่กันมาแบบอลังการงานสร้าง เพื่อเป็นหน้าตาของตัวเองและครอบครัว

รู้สึกว่ามันจะยุ่งยากตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกซื้อผ้ามาตัดแล้วนะคะ ไหนจะต้องเลือกเครื่องประดับให้เข้ากับสีชุด ไหนจะเสียเงินค่าตัดชุดอีกเจ้ว่ามันก็พอๆ กับที่เราซื้อยีนส์ขาเดฟ เสื้อเชิ้ตใส่นั่นแหละค่ะ แต่ก็อดชื่นชมประเทศเค้าที่รักษาวัฒนธรรมนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจริงๆ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

โอนิกิริ ข้าวปั้นสุดคาวาอี้

จั่วหัวซะน่ารักแบบนี้ ต้องมาพูดเรื่องคิขุคิขุกันอย่างแน่นอน สาวๆ คงจะรู้จักข้าวกล่องญี่ปุ่นที่น่าตาน่ารับประทานแถมคาวาอี้แบบไม่กล้าลงมือกินใช่ไหมคะ วันนี้เจ้เลยนำเสนอเรื่องราวของ "เจ้าโอนิกิริ" ข้าวปั้นสไตล์พี่ยุ่น ก็เค้าปั้นๆ แล้วบรรจุไว้เบนโตะนี่แหละ

เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิม เกาะติดวิถีชีวิตของชาวซามูไรไปแล้วล่ะคะ สำหรับการทำเบนโตะเพื่อผูกสัมพันธ์ระหว่าง พ่อแม่-ลูก ภรรยา-สามี แล้วไหนจะเพื่อนๆ ที่โรงเรียนลูกๆ ที่เอาเบนโตะหน้าการ์ตูนเรื่องโปรดฝีมือคุณแม่มาอวดกันอีก แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงข้าวปั้นสามเหลี่ยม หรือโอนิกิริที่บรรจุอยู่ในกล่องข้าวญี่ปุ่น

โอนิกิริ หรือที่รู้จักกันอีกอย่างหนึ่งคือ โอมุซุบิ (ลูกบอลข้าว) ที่ทำมาจากข้าวญี่ปุ่นปั้นเป็นลูกกลมๆ ปัจจุบันมีทั้งรูปวงรี วงกลมและก็สามเหลี่ยม จะปั้นเป็นรูปหัวใจก็ไม่มีใครว่าค่ะ และขั้นตอนสุดท้ายก็ต้องมีการห่อสาหร่ายด้วย ถึงจะอร่อยตามสูตร โดยทั่วไปแล้วไส้ของโอนิกิริจะเป็นบ๊วยเค็ม ปลาแซลมอน, ปลาคัทซึโอะ, สาหร่ายทะเล ไข่ปลา และมีส่วนผสมที่มีรสเค็มหรือเปรี้ยวอื่นๆ

ความแตกต่างของข้าวปั้นกับซูชิ ก็คือข้าวปั้นทำมาจากข้าวธรรมดา แต่ซูชิจะมีการผสมน้ำส้มสายชู เกลือและน้ำตาลลงไปในข้าวด้วย ระวังอย่าสับสนนะคะ ในบันทึกของมุราซากิ ชิคิบุ ระบุไว้ว่าในศตวรรษที่ 11 ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อก่อนโอนิกิริ มีชื่อว่า ทนจิคิ (Tonjiki) นิยมทานกันเป็นอาหารมื้อกลางวันหรือไม่ก็เอาไปปิกนิก

ต่อมาในศตวรรษที่ 17 พวกซามูไรมักเอาข้าวปั้นไปเป็นเสบียงในสนามรบแต่ความจริงเรื่องราวของโอนิกิริมันมีมานานก่อนที่มุราซากิเค้าจะจดบันทึกซะอีก แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่โอนิกิริเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นเค้า เวลาจะทานโอนิกิริเมื่อก่อนต้องใช้ช้อนตัดแบ่งกัน แต่พอมาถึงสมัยนาระก็มีการตัดเป็นคำเล็กๆ เพื่อความสะดวกในการรับประทาน

ตั้งแต่สมัยคามาคุระ จนถึงต้นเอโดะ โอนิกิริเป็นอาหารที่เรียกว่า "Quick Meal" เพราะมีวิธีการทำที่ง่ายและสะดวก พวกพ่อครัวแม่ครัว จึงแค่หยิบข้าวมาปั้นให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า โดยไม่ต้องใส่ใจเรื่องการบริการมากนัก ตอนนั้นโอนิกิริเป็นข้าวปั้นธรรมดาที่มีรสเกลือและสาหร่ายจึงไม่แพร่หลายกว้างขวาง

กลางยุคเอโดะจึงมีการทำฟาร์มสาหร่ายเพื่อรองรับปริมาณความต้องการของโอนิกิริที่จะทำขายในวงกว้างขึ้น มีความเชื่อว่าโอนิกิริไม่สามารถผลิตได้ด้วยเครื่องจักร เพราะถือว่าเป็นเรื่องยากเกินไปในตอนนั้น แต่พอช่วงปี 1980 ก็มีเครื่องมือที่ทำให้โอนิกิริเป็นรูปสามเหลี่ยมถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่มีเจ้าเครื่องนี้ โอนิกิริก็จะถูกเสิร์ฟพร้อมกับสาหร่ายเลย

แต่พอทิ้งไว้สักพักสาหร่ายก็จะเริ่มชื้นและเหนียว ติดหนึบกับตัวข้าว จึงมีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์โดยแยกสาหร่ายออกจากข้าวพอจะทานค่อยห่อสาหร่ายเข้ากับข้าวปั้น ณ บัดนาว คนญี่ปุ่นเค้านิยมทำข้าวปั้นเป็นข้าวห่อกันจากที่บ้าน หรือถ้าอยากจะสะดวกสบายหน่อย ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปที่ขายโอนิกิริค่ะ

ญี่ปุ่นนี่เค้าก็ช่างคิดช่างทำกันจริงๆ เลยนะคะ ถ้าไทยมีข้าวปั้นบ้างเจ้ว่าคงต้องเป็นข้าวเหนียวปั้นจิ้มแจ่วแน่นอน แซ่บกว่าเป็นไหนๆ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

5 คนขี้คุกเปลี่ยนโลก

ใครบอกว่า นักโทษติดคุกจะใช้ชีวิตไร้สาระเรื่อยเปื่อยในคุกกันคะ คนเราทุกวันนี้บางคนใช้ชีวิตไม่คุ้มยิ่งกว่าคนที่อยู่ในคุกเสียอีก หรือไม่จริง? เอาล่ะ วันนี้เจ้มีเรื่องเล่าของ 5 หนุ่มที่ชีวิตผ่านการติดคุกแต่พวกเขากลับได้คิดค้นอะไรให้กับโลกและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอีกด้วย

อันดับ 5 David Marshall Williams ต้องบอกว่าเป็นคนไม่เอาถ่านจริงๆ ค่ะ สำหรับพ่อเดวิดคนนี้ ทั้งๆ ที่ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่ก็เป็นคนดีมีชาติตระกูล แต่เขากลับเป็นเด็กเกเร สิ่งเดียวที่เขาทำได้และชำนาญเป็นที่สุดก็คือ การประกอบปืนนั่นเอง ระหว่างติดคุก 30 ปี ข้อหาต้มเหล้าเถื่อน เขาได้รับสิทธิพิเศษในการประกอบและออกแบบปืน และด้วยการคิดค้นปืนของเขานี่เองที่เป็นประโยชน์ต่อวงการอาวุธปืนมาถึงปัจจุบัน

อันดับ 4 William Addis ถ้าบอกว่าแปรงสีฟันที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีแหล่งกำเนิดมาจากคุกที่แสนสกปรกเต็มไปด้วยคราบเลือดและกลิ่นเหงื่อของพวกนักโทษ คงจะไม่เชื่อกันใช่ไหมค่ะแต่มันเป็นไปแล้วล่ะค่ะ เมื่อ William Addis นักโทษข้อหาใช้ความรุนแรง ได้เอากระดูกมาเจาะเป็นรูเล็กๆ แล้วก็ขอขนแปรงจากผู้คุมมายัดลงไปในรูแล้วติดกาว แล้วตัดขนแปรงให้เข้ารูป แค่นี้ก็ได้แปรงสีฟันอันแรกของโลกแล้ว พอออกจากคุกเขาก็ประดิษฐ์ให้มันมีรูปลักษณ์ที่ดีกว่าเดิม จนวางขายมาถึงทุกวันนี้ ว้าว ตาคนนี้เจ๋งดีจริงๆ ค่ะ

อันดับ 3 Jesse Hawley คนต่อมาเขาเป็นคนต้นคิดในการสร้างคลองอีรีห์ค่ะ คลองที่ทำให้อเมริกาเจริญมาถึงทุกวันนี้ สำคัญมากเพราะมันเป็นศูนย์กลางทางการค้าขายในอเมริกาเหนือ กลับมาที่ Jesse กันดีกว่า เขาถูกจำคุกในปี 1807 เนื่องจากเขามีปัญหาการขนส่งจนเป็นหนี้ต้องติดคุก 20 เดือน ในระหว่างที่อยู่ในคุกเขาได้เขียนเรียงความชื่อ "Hercules" มีใจความว่าน่าจะขุดคลองอีรีห์จากแม่น้ำฮัดสันเพื่อแก้ปัญหาขนส่ง จนทำให้ผู้มีความคิดจะขุดคลองให้มันเป็นจริง และเรียงความของเขาได้รับการพิสูจน์ว่ามีอิทธิพลในการพัฒนาคลองอย่างแท้จริงด้วย หมอนี่ทำงานระดับชาติเลยนะคะเนี่ย

อันดับ 2 Franklin Robert Stroud หนุ่มเลือดร้อนคนนี้ถูกจำคุก 12 ปี ในข้อหาฆาตกรรมแฟนสาวของตัวเอง ชีวิตในคุกก็เหมือนนักโทษทั่วไปเพียงแต่เขาเกิดตกหลุมรัก 'นก' จนถึงขนาดเลี้ยงไว้ในห้องขัง ทั้งที่เรือนจำไม่ให้เลี้ยง แต่เพราะแหกกฎนี่เองทำให้เขาเป็นปู้เชี่ยวชาญเรื่องนกไปโดยปริยาย เขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนกมากมายซึ่งมีส่วนช่วยในวงการสัตวแพทย์ นอกจากนี้ชีวิตของเขายังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "Birdman of Alcatraz" ซึ่งกลายเป็นหนังสร้างแรงบันดาลใจผู้กำกับแนวคนคุกจนถึงปัจจุบัน

อันดับ 1 Miguel de Cervantes Saavedra ชีวิตของหนุ่มขี้คุกคนนี้รันทดยิ่งกว่าในละครอีกค่ะ เพราะเขาเป็นทหาร บาดเจ็บจนมือซ้ายพิการ แถมยังถูกโจรสลัดจับจนโดนขังเป็นเวลา 5 ปี และต้องมาติดคุกในเรื่องหนี้สินอีก ขณะที่ติดคุก เขาได้แต่งนิยายเรื่อง "Don Quixote" เป็นนิยายที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เป็นนิยายเสียดสีล้อเลียนนิยายอัศวิน แม้นิยายเรื่องนี้จะมีอายุ 400 ปีแล้วก็ตาม หากแต่หนังสือนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นนิยายดีที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา และยังได้ชื่อว่าเป็นไบเบิ้ลแห่งมนุษยชาติ ต้องขอปรบมือดังๆ ให้หนุ่มขี้คุกสู้ชีวิตคนนี้จริงๆ ค่ะ

คนเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร ถ้าหากตั้งใจจะลงมือทำอะไรสักอย่างไม่มีอะไรเกินกำลังและมันสมองของเราหรอกค่ะ ถ้าใจรักซะอย่าง ผลที่ออกมามันต้องดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นคนที่กำลังท้อใจ สู้ๆ นะคะทุกคน เจ้เป็นกำลังใจให้เสมอ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

พระแม่สรัสวดีเทวีแห่งสรรพความรู้

ในบรรดาเทพในตำนานต่างๆ ก็มักจะมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน วันนี้เราจะขอบอกเล่าเรื่องราวของพระแม่สรัสวดีที่เป็นเทวีแห่งสรรพความรู้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆ ได้มีกำลังใจในการศึกษาหาความรู้กันนะคะ

พระแม่สรัสวดี คือชายาแห่งพระพรหมผู้สร้างโลก พระองค์นั้นประทับอยู่ในวิมาน ณ สวรรค์ชั้นพรหมหรือพรหมโลก เป็นมหาเทวีหนึ่งในสามเทวีสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในประเทศอินเดียยังมีแม่น้ำสายที่สำคัญมากที่ชื่อสรัสวดีอีกด้วยค่ะ

พระสรัสวดี หรือหลายๆ คนจะเรียกว่าพระสุรัสวดี ในมหากาพย์มหาภารตะนั้นมีการกล่าวถึงว่าพระกฤษณะคือผู้สร้างพระสุรัสวดีและคัมภีร์พระเวทขึ้นมาพร้อมกันจากจิตใจของพระองค์ พระแม่สุรัสวดีจึงถือว่าเป็นเทพแห่งพระเวททั้งปวง เปรียบเสมือนครู อาจารย์ พระองค์คือเทวีแห่งสรรพความรู้ วิชาการอันล้ำลึก วิทยาการอันก้าวหน้า พระองค์คือสัญลักษณ์แห่งงานศิลปะทุกแขนง ทั้งการวาดเขียน การดนตรี อักษรศาสตร์ การแต่งตำรา การเขียนหนังสือ พระองค์คือเทวีแห่งปรีชาญาณอันชัดเจนแจ่มแจ้ง การเล่าเรียน ศึกษาหาความรู้ การวิจัย การวิเคราะห์ การพูดจา การเจรจาต่อรอง ตลอดจนเป็นผู้ให้กำเนิดอักขระของอินเดียคืออักษรเทวนาครีด้วยค่ะ

พระองค์ยังเป็นผู้ให้กำเนิดบทสวดมนต์บทแรกของจักรวาล ชาวฮินดูยังนับถือพระสรัสวดีเป็นเทวีแห่งเวทมนต์ คาถา และการประกอบพิธีกรรม ฉะนั้นหากมีการประกอบพิธีบูชาเทพหรือเทศกาลใดๆ แล้ว ถ้าอัญเชิญพระพิฆเนศเป็นเทพองค์แรกก็จะทำให้พิธีนั้นๆ เกิดสิริมงคลขึ้น และการอัญเชิญพระแม่สรัสวดีร่วมด้วย ก็ย่อมบันดาลให้การสวดมนต์และการประกอบพิธีกรรมทุกขั้นตอนดำเนินไปอย่างศักดิ์สิทธิ์ มีพลังเข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูงสุด พระสรัสวดีทรงโปรดการแสดงดนตรี การบรรเลงบทเพลง การร้องเพลงถวาย การอ่านบทกวีถวาย ฯลฯ ผู้บูชานิยมเปิดเพลงหรือบรรเลงดนตรีที่มีท่วงทำนองประณีตงดงามถวายแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทใดท่านก็โปรดทั้งสิ้น เช่น พิณ จะเข้ ขิม กลอง ฯลฯ

การบูชาพระสรัสวดีนั้นก็เหมาะสมแก่นักเรียน นักศึกษา มีการประดิษฐานเทวรูปในสถานศึกษา เช่น ที่วัดเทพมณเฑียรก็ประดิษฐานเทวรูปพระแม่สรัสวดีไว้หน้าทางเข้าโรงเรียนภารตวิทยาลัย ผู้ที่จะเดินเข้าโรงเรียนและวัดเทพมณเฑียรก็จะสักการะเทวรูปพระแม่สรัสวดีก่อนเสมอ นอกจากนี้พระแม่สรัสวดียังเหมาะสมแก่การบูชาสำหรับผู้มีอาชีพเป็นครู นักวิจัย นักวิชาการ นักโบราณคดี ผู้ที่อยู่ในแวดวงแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ

หากใครมีโอกาสได้กราบไหว้รูปจำลองพระแม่สรัสวดี ก็ลองขอพรให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษาดูนะคะ จะได้มีกำลังใจให้สู้ศึกษาหาความรู้ต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราต้องตั้งใจเรียนและหมั่นเพียรหาความรู้กันอยู่เสมอนะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

คัมไป สังสรรค์สไตล์แดนปลาดิบ

คนญี่ปุ่นนี่เค้ามีวัฒนธรรมหลากหลายจริงๆ ทั้งภาษาอะโนะเนะน่ารักๆ วิถีการดำเนินชีวิต มารยาท ไหนจะอาหารแนวซูชิที่ดังไปทั่วโลกเจอกันทุกประเทศ จนวันนี้เจ้เลยอดใจไม่ได้ต้องจัดอีกสักดอก ให้สาวๆ ได้หยั่งรากลึกถึงแก่นของคนญี่ปุ่นไปเลย

งานเลี้ยงสังสรรค์ของคนญี่ปุ่นโดยปกติแล้วมักจะไม่จัดงานที่บ้าน เนื่องจากบ้านของคนญี่ปุ่นมีขนาดค่อนข้างเล็ก (เพราะพื้นที่ประเทศน้อย บ้านก็เลยเล็กตามไปด้วยค่ะ) และเค้าก็ถือว่าการที่คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าต้องการจัดงานสังสรรค์ที่บ้านจริงๆ ก็ควรจะรู้ไว้ก่อนว่า เมื่อจะบริการเครื่องดื่มให้แก่แขกแล้ว อาจจะต้องเชื้อเชิญถึงสามครั้งสามหนก่อนที่แขกจะดื่ม เพราะโดยมารยาทแล้วคนญี่ปุ่นจะเป็นคนเกรงใจผู้อื่น แต่ถ้าแขกยังคงปฏิเสธอยู่นั่นก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการจริงๆ

โดยปกติแล้ว คนญี่ปุ่นมักจะไม่บริการขนมขบเคี้ยวต่างๆ แก่แขกที่มาถึงก่อน แต่มักจะรอให้แขกมาพร้อมกันหมดเสียก่อนแล้วจึงค่อยเสิร์ฟ อีกอย่างคืออย่าลืมว่าทุกมื้อของคนญี่ปุ่นจะต้องมีข้าวเสมอ งานเลี้ยงสังสรรค์นอกบ้าน ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 'โมมิไค'

ส่วนใหญ่แล้วมักจะจัดที่ร้านอาหาร ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม หรือสถานที่สาธารณะอื่นๆ ก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ผู้ร่วมงานแต่ละคนมักจะเดินต้อนรับผู้อื่นไปทั่วๆ ด้วยการทักทายและโค้งคำนับ งานเลี้ยงตามธรรมเนียมญี่ปุ่นดั้งเดิมเรียกว่า 'เอนไค' ทุกคนจะนั่งคุกเข่าหรือไม่ก็นั่งขัดสมาธิหน้าโต๊ะเตี้ยๆ แล้วจะมีคนกล่าวเริ่มงาน บางครั้งอาจจะมีการแนะนำตัวกันด้วยในช่วงนี้ ปกติก็แค่บอกชื่อและบริษัทที่ทำงานอยู่และแสดงการขอบคุณที่ได้รับเชิญมา ถ้าไม่มีใครถามอะไรอย่างอื่น ที่สำคัญไม่ควรดื่มหรือรับประทานก่อนที่เจ้าภาพจะเชื้อเชิญและทางที่ดีควรจะรอให้ผู้อื่นเริ่มก่อนนะคะ

เมื่อมีเบียร์วางอยู่หน้าคุณ คุณควรที่จะรินเบียร์ให้แก่ผู้อื่นที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับคุณก่อน ยิ่งคุณบริการผู้อื่นมากแค่ไหน คุณก็จะได้รับการชื่นชมมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีการชักชวนให้ทุกคนดื่มอวยพรร่วมกัน คุณควรที่จะยกแก้วเบียร์ขึ้นและกล่าวคำว่า "คัมไป" แปลเป็นไทยว่า "ไชโย" ชนแก้วกับผู้อื่นแล้วดื่มให้มากที่สุดที่ทำได้ หมดได้ยิ่งดี

แต่ถ้าคุณไม่ใช่นักดื่มแล้วล่ะก็ ไม่เป็นไรค่ะ เพียงแค่ยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปากจากนั้นก็วางแก้วลง หาแก้วใบใหม่แล้วรินน้ำอัดลมหรือน้ำส้มตามแต่คุณจะชอบ แต่ถ้าคุณเป็นนักดื่ม คุณก็สามารถที่จะดื่มไปและรินเบียร์หรือเหล้าบริการแก่ผู้อื่นไปด้วย

ในระหว่างงานเลี้ยง คุณควรหาโอกาสรินเบียร์ให้แก่ผู้หลักผู้ใหญ่หรือเพื่อนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ไกลออกไป โดยการเดินด้วยเข่าไปรอบๆ โต๊ะซึ่งเขาก็จะรินเบียร์ให้แก่คุณด้วยเช่นกัน เพื่อดื่มฉลองด้วยกัน การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่ผู้อื่น ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีกัน ส่วนคุณจะดื่มมากหรือน้อยก็ได้แล้วแต่คุณ อย่างหนึ่งของงานเลี้ยงแบบนี้คือ คุณสามารถเมาได้และสิ่งที่คุณพูดหรือทำจะไม่ถือเป็นจริงเป็นจังนัก ทำให้บางครั้งคนที่เข้าร่วมงานมีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่อคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าอย่างตรงไปตรงมาต่อกันได้ โดยปกติแล้วคนญี่ปุ่นมักจะดื่มสาเก หรือโชจู ร่วมกับเหล้าหรือเบียร์ด้วยซึ่งคุณอาจจะไม่ทำตามก็ได้ เพียงแต่เขาจะมองว่าคุณแปลกก็เท่านั้น

เมื่องานเลี้ยงจะเลิก ทุกคนจะยืนขึ้นแล้วปรบมือพร้อมๆ กัน การปรบมือมี 2 แบบคือ อิปปอนจิเมะ และซันบอนจิเมะ อิปปอนจิเมะคือ การปรบมือเป็นชุดๆ โดยการปรบมือ 3 ครั้งตืดต่อกัน 3 ชุด บวกอีก 1 ครั้ง รวมทั้งหมดเป็น 10 ครั้ง ส่วนซันมอนจิเมะคือ การปรบมือแบบอิปปอนจิเมะ 3 ครั้งติดต่อกัน

หลังจากเลิกจากงานเลี้ยงแรกแล้วอาจจะมีการชักชวนกันไปดื่มต่อ ภาษาญี่ปุ่นเรียกงานเลี้ยงที่สองนี้ว่า 'นิจิไก' ค่ะ ซึ่งจะเป็นแบบสบายๆ ไม่ต้องระวังมากนักเหมือนงานเลี้ยงตอนแรกเพราะส่วนใหญ่จะมีเฉพาะคนกันเอง

ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมาก จึงเกิดมีการเลี้ยงสังสรรค์ออนไลน์ด้วยซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่น ทำให้คุณไม่ต้องระวังกับมารยาทต่างๆ ที่จำเป็นเมื่อร่วมงานเลี้ยงตามปกติ คุณเพียงแค่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีกล้อง แล้วก็ออนไลน์กับกลุ่มก็เท่านั้น ก็ปาร์ตี้กันแบบเห็นหน้าค่าตากันได้แล้ว

คนญี่ปุ่นนี่เค้ามารยาทดีจริงๆ เลยค่ะ ทำอะไรก็คิดถึงคนอื่นก่อน นี่ถ้าคนไทยได้นิสัยแบบนี้สักเสี้ยวนึง บ้านเมืองเราก็คงจะไปไกลกว่านี้แล้วล่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ซีอุส มหาเทพจอมเจ้าชู้

ขึ้นชื่อว่าผู้ชายเจ้าชู้ ผู้หญิงหลายคนคงเซย์โนขอบายไม่สนใจ แต่ก็มีอีกหลายคนเลยค่ะ ที่ชอบผู้ชายประเภทนี้ก็เค้าว่า ผู้ชายเจ้าชู้น่ะมีเสน่ห์ท้าทายดี แหมๆ แต่พอลองคบกันก็ต้องเลิกเพราะทนไม่ไหว ใช่ไหมล่ะคะ? ไม่ใช่ว่านิสัยเจ้าชู้หน้าม่อไปเรื่อยจะมีแค่ปุถุชนคนธรรมดา เทพเบื้องบนเค้าก็มีเหมือนเราๆ ด้วยล่ะค่ะ!

เทพซุส ซีอุสหรือจูปิเตอร์ เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัสและเทพแห่งท้องฟ้า และฟ้าร้องของตำนานเทพปกรณัมกรีก สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือสายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก นามของซีอุสแปลว่าความสว่างของท้องฟ้า

ซุสเป็นราชาของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์บนโลก มีอาวุธเป็น Thunderbolt เรียกแบบไทยๆ ว่า อัศนีบาต เทพซุสมีพี่น้องซึ่งเป็นเทพปกครองโลกร่วมกัน 5 องค์ ได้แก่ เทพโพไซดอน เทพีดีมิเทอร์ เทพีเฮร่า เทพฮาเดส และเทพีเฮสเทีย

นามในตำนานอีทรูสแคนคือ เทพไทเนีย พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของโครนัสและรีอา ซึ่งเป็นเทพไททัน ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซุสแท้จริงแล้วคือเทพีไดโอนี นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด ยังกล่าวไว้ว่าเทพซุสเป็นพระบิดาของเทพีอโพรไดต์ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซุสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนามแกนีมีดด้วยเช่นกัน!! หลายพันปีมาแล้ว ชนชาวกรีกและโรมัน เชื่อกันว่าเทพเจ้าทั้งหลายนั้นทรงประทับอยู่บนยอดขุนเขา โอลิมปุส ในประเทศกรีซ โดยมีเทพผู้เป็นประมุขนามว่า ซุส รูปเคารพของซุสมักมีสายฟ้า หรืออสุนีบาตเป็นศาสตราวุธ เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพแห่งสายฝนและฟ้าผ่า กวีเอกคนหนึ่งของกรีกเขียนไว้ว่า ซุสเป็นบุตรองค์ที่สามของเทพโครนุส แต่ตามตำนานของมหากวีโฮเมอร์ ระบุว่าซุสแป็นบุตรองค์โต ส่วนบุตรองค์รองลงมาได้แก่ โพไซดอน เทพแห่งมหาสมุทร และเฮเดส เทพแห่งยมโลก โดยซุสนั้นปกครองสวรรค์ทั้งปวงด้วย ที่ประทับที่สำคัญซึ่งชาวกรีกสร้างถวายซุสนั้นยังมีซากเหลืออยู่ให้เห็นคือวิหารโอลิมเปียใกล้ๆ เขาโอลิมปุสที่เมืองอิลิสเป็นที่ซึ่งใช้แข่งกีฬาโอลิมปิกโบราณทุกๆ 4 ปี

แต่เขาตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพ และทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่ายเพื่อป้องกันการแก่งแย่งและกระด้างกระเดื่อง จึงจัดสรรอำนาจยอมยกให้เทพภราดร มีเอกสิทธิ์ในการปกครองอาณาเขตดังนี้ เนปจูน หรือโพไซดอนได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง พลูโตหรือฮาเดส เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะธัส และแดนบาดาลทั้งหมดอันรัศมีของแสงอาทิตย์ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย ส่วนตัวซุสเองปกครองทั้งสวรรค์และพิภพ แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแลทั่วไปในเขตแดนของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง

หากพูดถึงบทบาทของเทพซุสแล้วต้องยอมรับว่า มีบทบาทขัดแย้งในองค์เองมากที่สุดในบรรดาเทพด้วยกันเนื่องจากทรงเป็นมหาเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุด และมีผู้เคารพนับถือโดยทั่วไปเป็ฯที่ยำเกรงของสามโลก ทรงไว้ซึ่งฤทธิ์อำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน แต่กลับทรงมีอุปนิสัยเหมือนบุรุษหนุ่มธรรมดาๆ บางคนนั่นคือ ความเกรงใจที่มอบให้แก่มหาเทวีฮีร่า พระชายาอย่างมาก หากพูดกันตามประสา ก็คือ "กลัวเมีย" นั่นเองค่ะ

ด้วยเหตุนี้การที่มหาเทพซุสมีอะไรแย้งๆ กันในองค์เอง อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณที่สร้างเหล่าทวยเทพขึ้นนับถือ มีความเป็นนักปรัชญาอยู่เต็มตัว เขาจึงสร้างทวยเทพของเขาให้ละม้ายแม้นกับมนุษย์ปุถุชน มีทั้งข้อดีและจุดบกพร่อง

คุณงามความดีอันสำคัญของมหาเทพซุสเป็นอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผู้ที่เคารพนับถือไท้เธอ เป็นนักปราชญ์มากกว่านักสงครามก็คือ ซุสทรงรักสัจจะและความเป็นธรรมอย่างที่สุด ทรงเกลียดชังคนโกงและคนโกหกอย่างที่สุด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพื่อถวายแด่พระองค์ นักกีฬาจึงต้องแข่งกันอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด

ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่า ซุสเป็นมหาเทพที่เจ้าชู้ที่สุดองค์หนึ่งในวงศ์โอลิมเยน เรื่องราวความรักของซุสมีมากหลายเรื่องเป็นตำนานเล่าสืบทอดกันมากมาย ซุสออกจะถนัดในการล่อลวงสตรีสาวสวยยิ่งกว่าเหล่าเทพองค์ใดๆ เท่าที่เคยมีมา อย่างการปลอมเป็นวัวสีขาวสง่างามไปหลอกโฉมงามนางยูโรปาไปเชยชมที่เกาะครีต

นอกจากนี้ยังแปลงเป็นหงส์ไปก้อร่อก้อติกสาวงามนาม ลีดา จนนางตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นไข่ ครั้นไข่แตกออกแทนที่จะเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งหงส์โผล่ออกมาอย่างตำนานทั่วไป กลับกลายเป็นฝาแฝดชายคู่หนึ่ง คือ คัสเตอร์ กับ โพลิดียูซิส สิ่งที่ทำให้ทารกคู่นี้เป็นพยานความสัมพันธ์ระหว่างเทพกับมนุษย์คือ คนหนึ่งมีกายเป็นอมตะดั่งเทพแต่อีกคนหนึ่งตายได้ อย่างมนุษย์สามัญธรรมดา

นอกจาก ฝาแฝดชายคู่นี้แล้ว ลีดายังมีแฝดหญิงอีกคู่หนึ่ง ซึ่งเลื่องชื่อที่สุดในตำนานกรีกโบราณหนึ่งนั้นนามว่า เฮเลน เดอะบิวติฟูล ต้นเหตุของมหาสงครามกรุงทรอย อีกหนึ่งคือ ไคลเตมเนสตร้า ซึ่งต่อมาได้เป็นมเหสีของ อกาเมมนอนแห่งไมซีนี่ (สัมพันธ์สวาทของนางลีดากับพญาหงส์ปลอมที่มหาเทพซุสจำแลงมานั้น เป็นไปอย่างซ่อนเร้น เพราะลีดาเป็นมเหสีทินดาริอุส แห่งสปาร์ต้าเมื่อลีดาให้กำเนิดเฮเลนและไคลเตมเนสตร้า ทินดาริอุสก็นึกว่าเป็นธิดาของพระองค์)

ยังมีเรื่องพิศวาสระหว่างซุสกับนวลอนงค์อื่นๆ อีกมาก อย่างสัมพันธ์รักกับนางไอโอ ที่เป็นยายของวีรบุรุษ เฮอร์คิวลิส รักกับไดโอนีและมีธิดา นามว่าอโฟรไดท์ พิสมัยกับไมอาและมีโอรสนามว่า เฮอร์มิส ฯลฯ

โอ๊ย ถ้าเทพซุสเป็นมนาย์นี่ผู้หญิงอย่างเราคงทนกันไม่ได้ แฟนกิ๊กเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหวแบบนี้ ไม่เอาเป็นพ่อของลูกหรอก เชอะ!

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on