Written by on

7 มารยาทห้ามทำในต่างประเทศ

ก่อนที่เราจะไปเที่ยวต่างประเทศ เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศนั้นๆ ก่อนนะคะ เพราะแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันออกไปคะ

1. ห้าม "OK" ที่บราซิล ถ้าเรายกมือทำ O.K. กับชาวบราซิลจะกลายเป็นศัตรูกันในบัดดลค่า เราเข้าใจกันทั่วโลกว่าการ O.K. แปลว่า ตกลง แต่กับที่นี่มันมีความหมายทำนองเดียวกับ Fuck You ในอเมริกาค่ะ เรื่องนี้ไม่มีประวัติว่าเป็นมาอย่างไร แต่สันนิษฐานว่าที่มันไม่สุภาพ เพราะว่าการทำมือ O.K. โดยเอานิ้วโป้งแตะกับนิ้วชี้ จะเกิดเป็นรูกลมๆ ซึ่งชาวบราซิลเปรียบกับ "รูทวาร" ค่ะ ใครไปบราซิลก็อย่าไปยกมือทำ O.K. กับเค้าล่ะ เดี๋ยวจะมีคดีติดตัว

2. ห้ามให้ของขวัญด้วยมือซ้าย บางประเทศเค้าถือว่ามือซ้ายเป็นมือสกปรกเพราะมักใช้จับของไม่ดีหลายอย่าง ง่ายๆ ก็เอาไว้ล้างก้นนั่นเอง เพราะยังมีความเชื่อที่ว่าคนถนัดซ้ายคือ สมุนของซาตาน คนถนัดขวาคือมนุษย์ ส่วนประเทศที่ห้ามให้ของขวัญมือซ้ายก็ ได้แก่ อินเดีย, แอฟริกา, ศรีลังกา และประเทศตะวันออกกลาง มารยาทในการให้ของขวัญต่างประเทศที่ควรรู้ก็อย่าง อย่าใช้กระดาษขาวมาห่อของขวัญแก่คนจีน อย่าให้ดอกไม้สีขาวแก่ชาวบังคลาเทศค่ะ

3. ห้ามให้ดอกไม้เลขคู่ในรัสเซีย ถ้าเราเผลอให้ไปรับรองว่าโดนตอกกลับหลายดอกแน่ เพราะมันหมายความว่าคุณกำลังแช่งให้เค้าตายเร็วนั่นเอง ดังนั้นเวลาจะให้ดอกไม้กับคนรัสเซียควรให้เป็นจำนวนเลขคี่ดีกว่า นอกจากเรื่องดอกไม้แล้วรัสเซียยังมีเรื่องแปลกๆ อย่าง การห้ามจับมือหรือหอมแก้มทักทายที่ประตูทางเข้าบ้าน เวลาไปเยี่ยมต้องเอาของที่ระลึกให้เจ้าบ้านด้วย เป็นต้น

4. ห้ามพบเพศตรงข้ามต่อหน้าคนอื่น การพบปะกับเพศตรงข้ามถือว่าเป็นเรื่องเคร่งครัดของทุกศาสนา โดยเฉพาะชาวมุสลิมค่ะ เห็นได้ว่ามีการห้ามชายหญิงมีชู้ ต้องรักนวลสงวนตัวที่ซาอุดิอาระเบียมีกฎห้ามผู้หญิงรวมผู้หญิงต่างชาติด้วย ห้ามจับมือถูกเนื้อต้องตัวชายใดที่ไม่ใช่สามีต่อหน้าธารกำนัล เรื่องนี้เคยมีตัวอย่างมาแล้วเมื่อหญิงมะกันจับมือผู้ชายในร้านกาแฟ สุดท้ายถูกจับกุมจนขึ้นโรงขึ้นศาลเลยทีเดียวค่ะ แบบนี้จะให้ไปเจอกันในที่มืดสองต่อสองมันไม่น่ากลัวกว่าหรือคะ

5. มารยาทอาหารในจีน ไทย ฟิลิปปินส์ หลายคนคงเคยได้ยินว่า เหลือข้าวไว้คำสุดท้ายไว้เป็นมารยาท เวลาทานข้าวใช่ไหมคะ และมันก็เป็นเรื่องที่ควรทำในจีน ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทยด้วยค่ะ อย่างที่จีนเนี่ย ถ้าเรากินข้าวจนเกลี้ยง เขาจะคิดว่าให้อาหารเราไม่พอกิน เพราะงั้นจึงควรเหลือไว้สักคำสองคำ แต่พองามให้เจ้าบ้านได้ชื่นใจ และถ้าหากใครที่กินอิ่มแล้วเรอออกมา ที่จีนเค้าถือว่า อาหารเค้าอร่อย แต่เดี๋ยวนี้ที่ไทยต้องกินให้หมดค่ะ ข้าวของมันแพงเกินกว่าจะคิดถึงคำว่ามารยาท

6. ห้ามยกนิ้วโป้ง เป็นเรื่องไม่เหมาะสมในดินแดนตะวันออกกลางที่จะยกนิ้วโป้งให้คู่สนทนา แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องสากลที่หลายคนให้การยอมรับ แต่ที่นี่เค้าเล่ากันว่า สมัยก่อนมีการต่อสู้กันในโคโลเซียม พวกนักสู้ซึ่งส่วนมากเป็นคนผิวดำ จะถูกกรรมการตัดสินแพ้ชนะจากการชูนิ้วโป้งขึ้นลง สัญลักษณ์การชูนิ้วโป้งจึงถูกเผยแพร่ไปทั่วกรุงโรม แต่ความหมายจริงๆ ก็น่าจะประมาณว่าเป็นการตัดสินความเป็นความตายของคนนั่นเองค่ะ

7. ห้ามแบมือต่อหน้าชาวกรีก ในประเทศกรีก การทำท่าทางโดยการแบฝ่ามือต่อหน้าชาวกรีกนั้น ถือว่าเป็นการดูถูกอย่างมากค่ะ เรื่องนี้มีที่มาที่ไปก็คือว่า ในสมัยไบแซนไทน์ เมื่อมีการทำผิดกฎ คนทำผิดก็จะถูกจับขังและนำขึ้นขบวนแห่บนหลังม้าและยังถูกทาสีดำบนใบหน้าเพื่อประจาน ดังนั้นเวลาชาวกรีกเห็นเรายกมือคล้ายจะปฏิเสธแบบนี้ ก็จะนึกว่าเรากำลังดูถูกพวกเขาอยู่ เพราะเราเปรียบพวกเขาเหมือนนักโทษเหมือนกำลังด่าเค้าว่ามีอุนจิติดหน้าประมาณนั้นแหละค่ะ

รู้แล้วก็อย่าไปเผลอทำนะคะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไม่มีมารยาทค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ตำนานตะเกียบญี่ปุ่น

พูดถึงตะเกียบหลายคนคงนึกถึงวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของประเทศแถบเอเชีย ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ประเทศที่ใช้มันในการทานอาหาร ที่นึกออกก็มีจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และบ้านเราก็ยังหยิบยืมตะเกียบมาใช้ตามชนิดของอาหารด้วย วันนี้เราจะมาพูดถึงตะเกียบญี่ปุ่นกันค่ะ ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร มีอะไรน่าสนใจมากกว่าใช้คีบอาหารบ้าง

ที่จริงแล้วญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมมาจากแผ่นดินใหญ่อย่างประเทศจีน โดยตะเกียบเริ่มมีตั้งแต่สมัยยาโยอิ ผู้ใช้ตะเกียบก็คือ องค์จักรพรรดิ ส่วนพวกชาวบ้านใช้มือในการรับประทานอาหารเท่านั้น เรียกว่ายุคแรกที่ตะเกียบเข้ามาจักรพรรดิมีสิทธิ์ใช้แต่เพียงผู้เดียวค่ะ ต่อมาในสมัยอาสุกะ เมื่อเจ้าชายโชโทคุ ไทชิ ไปเป็นทูตที่ประเทศจีน ท่านได้นำวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบของข้าราชการจีนกลับมาด้วย ซึ่งทำให้การใช้ตะเกียบเริ่มแผ่ขยายไปถึงชนชั้นล่าง

ในสมัยนารา คนทั่วไปเริ่มทำตะเกียบใช้เองและเริ่มใช้จนเป็นเรื่องปกติในยุคคามะคุระ อีกทั้งญี่ปุ่นได้เรียนรู้และเริ่มออกแบบรูปร่างของตะเกียบให้เข้ากับอาหารของตนด้วย ในสมัยเอโดะมีการเคลือบเงา สร้างความหลากหลายให้กับตะเกียบมากขึ้น และต่อมาในปีโชวะที่ 10 เกิดการใช้ตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง หรือเรียกว่า วาริบาชิ ที่เราเห็นตามร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ

ในปีโชวะที่ 30 อุตสาหกรรมการผลิตตะเกียบได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง มีการพัฒนาทั้งลวดลาย ขนาด และสีสัน การทำตะเกียบในขั้นตอนแรกๆ มาจากจังหวัดฟุคุอิ และส่งต่อไปทั่วญี่ปุ่น ที่เกียวโตก็นำตะเกียบจากจังหวัดฟุคุอิมาสร้างลวดลายจนเกียวโตมีชื่อเสียงในเรื่องลวดลายอันสวยงามของตะเกียบไปโดยปริยายค่ะ

ในเรื่องความเชื่อในเรื่องของตะเกียบในญี่ปุ่นนั้น ในยุคแรก เวลาที่ผู้คนต้องการประกอบพิธีกรรมบูชา ขอบคุณเทพเจ้าในโอกาสต่างๆ อาหารที่ใช้ถวายนั้นไม่สามารถแตะต้องถูกมือของมนุษย์ได้ ผู้คนจึงใช้ตะเกียบคีบอาหารแทนการใช้มือ สังเกตที่ตะเกียบญี่ปุ่นนั้นจะมีปลายตัดเฉียงอยู่หนึ่งด้านและด้านเท่ากันอีกด้าน เค้าเชื่อกันว่าปลายที่เฉียงเป็นของเทพเจ้า อีกข้างหนึ่งเป็นของคนทั่วไป

และในงานศพ คนญี่ปุ่นเค้าใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ไผ่ คีบเถ้ากระดูกไปเก็บไว้ในโกศ เพราะเชื่อว่าตะเกียบจะเป็นตัวแทนของสะพาน ที่ช่วยเชื่อมต่อให้วิญญาณที่จากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าได้อย่างสบาย เพราะเหตุนี้คำว่าตะเกียบในภาษาญี่ปุ่น จึงออกเสียงว่า ฮาชิ ซึ่งแปลได้ทั้งตะเกียบและสะพานค่ะ ต่างกันตรงที่ตัวคันจิและการออกเสียงต่างกันแค่เสียงต่ำและสูงเท่านั้นเอง

มาพูดถึงประเภทของตะเกียบกันบ้าง ในญี่ปุ่นมีด้วยกัน 3 ชนิดค่ะ ได้แก่ ตะเกียบสำหรับเทศกาล เรียกว่า อิวาอิบาชิ ตะเกียบใช้แล้วทิ้ง เรียกว่า วาริบาชิ และสุดท้าย ตะเกียบทำอาหาร เรียกว่า เรียวริบาริ ในเมื่อตะเกียบเอาไว้ใช้บนโต๊ะอาหารแล้ว มันก็ต้องมีมารยาทพื้นฐานในการใช้ตะเกียบของคนญี่ปุ่นค่ะ รู้เอาไว้จะได้ไม่ซุ่มซ่ามให้อายเค้า

ข้อห้ามในการใช้ตะเกียบก็อย่างเช่น ห้ามปักตะเกียบไว้บนข้าวเพราะถ้าปักถือว่าเป็นข้าวของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ห้ามเขี่ยหาอาหารเพื่อเลือกทานแต่ของชอบ อย่าแกว่งตะเกียบไปมาแบบลังเลในการเลือกอาหาร อย่าเคาะหรือขูดตะเกียบกับภาชนะให้เกิดเสียง ห้ามคีบถ้วยอาหารด้วยตะเกียบให้เคลื่อนย้าย ห้ามส่งอาหารต่อกันด้วยตะเกียบ นี่แค่คร่าวๆ ที่ควรรู้ยังมีอีกหลายข้อสำหรับมารยาทในการใช้ตะเกียบค่ะ

ปัจจุบันตะเกียบญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงไปจากทำจากไม้ไผ่ ก็มีการทำด้วยสแตนเลส พลาสติก มากมายหลายสีสัน หลากดีไซน์ มีขายตั้งแต่ราคาถูกมากไปจนถึงแพงเวอร์ แล้วยังมีเคสและที่วางสำหรับเก็บตะเกียบแบบน่ารักๆ วางจำหน่ายเต็มไปหมด

ส่วนเด็กๆ ที่ใช้ตะเกียบยังไม่คล่อง ญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ใส่ใจทุกรายละเอียดก็มีสินค้าตะเกียบที่ออกแบบมาช่วยฝึกการใช้ตะเกียบไปในตัวอีกด้วย ประเทศนี้เค้าน่ารักดีจริงๆ ค่ะ ใส่ใจทุกขั้นตอน แม้กระทั่งเรื่องการกินของเด็กๆ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ความสวยเป็นเหตุสปายี้มาแรงระดับโลก

สงสัยว่าสปาประเภทจุดเทียนหอม บรรยากาศหวานๆ จะไม่เปรี้ยวเข็ดฟันพอ ทรีตเม้นท์ที่ฮิตสุดๆ ในหลายประเทศตอนนี้จึงมักมีอะไรที่อี๋แหวะเป็นส่วนประกอบ แล้วก็ขายดิบขายดีลูกค้าแห่มาใช้บริการเสียด้วย เพราะความยี้นี่ล่ะคือเคล็ดลับความอ่อนเยาว์ที่เด็ดดวงที่สุดในยุคนี้

1. สปาปลิงดูดเลือด เป็นสปาที่ฮิตกันสนั่นเมืองในรัสเซีย แต่จุดกำเนิดที่แท้จริงมาจากวิธีรักษาโรคยุคกรีก โรมัน สมัยนั้นเวลาใครไม่สบายหมอจะวางปลิงบนจุดเจ้าปัญหา เช่นบนฝี หรือผิวหนังที่ช้ำบวม แล้วให้ปลิงดูดเอาเลือดเสียออกมา สปาที่รัสเซียก็เอาแนวคิดนี้มาใช้ โดยแทนที่จะมีพนักงานมานวดตัวให้ลูกค้า ก็เปลี่ยนเป็นเอาปลิงมาวางลงไปบนจุดที่เลือดลมหมุนเวียน แล้วให้ปลิงดูดเอาเลือดเสียออก ประมาณ 15 นาที คุณลูกค้าก็จะกลับออกมาพร้อมกับหน้าใสกิ๊ง เพราะในเลือดไม่มีสารพิษที่ทำให้หน้าตาหมองคล้ำดำกร้านเหลืออยู่แล้ว หรือถ้าใครเป็นสิวแค่หลับตาปี๋ทีเดียว ปลิงก็จะดูดเอาหัวสิว หนอง และอื่นๆ อีกมากมายที่คุณไม่อยากเห็นออกจนหมด สาวๆ เลยปลื้มมากเพราะสวยได้ในพริบตาจริงๆ

2. สปาหอยทาก สปาหอยทากเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สาวๆ รัสเซียฮิตระเบิดระเบ้อไม่แพ้สปาปลิง วิธีทรีตเม้นท์ก็คล้ายๆ กัน คือพนักงานจะเอาหอยทากมากระดึ๊บๆ บนหน้าลูกค้า จากนั้นเจ้าหอยก็จะหลั่งกรดไกลคอลิกออกมา กระตุ้นให้ผิวเราสร้างคอลลาเจนขึ้นพร้อมกับลอกเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วทิ้งไป สปาเสร็จหน้าตาเลยดูละอ่อนกว่าอายุจริงเพียบเลยล่ะค่ะ ยิ่งต่อมานักวิจัยรัสเซียค้นพบว่าสารคัดหลั่งจากหอยทากมีประโยชน์กับผิวมาก ทั้งช่วยลดรอยดำรอยเหี่ยวย่น ลบเลือนแผลเป็น ต่อต้านอนุมูลอิสระ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ ทางสปาจึงเอาสารนี้มาทำเป็นครีมบำรุงผิวใช้นวดหน้านวดตัวให้ลูกค้า จนกลายเป็นครีมฮิตที่สาวรัสเซียเห่อกันทั้งบ้านทั้งเมือง

3. สปาขี้นก ที่เมืองไทยเรามีคำว่าฝรั่งขี้นก แต่ที่นิวยอร์กกลับฮิตสปาขี้นก แถมยังเป็นขี้นกที่มีต้นตำรับมาจากเกอิชาอีกต่างหาก เมื่อหลายร้อยปีก่อนสาวๆ เกอิชามีเคล็ดลับความงามที่ต้องบอกว่าช่างกล้าคิดนะยะหล่อนเพราะนางเอาอุจจาระนกไนติงเกลมาทาหน้า แทนโลชั่นเช็ดเครื่องสำอางเกอิชาเชื่อกันว่า อึนกไนติงเกลสามารถล้างสารตะกั่วจากเครื่องสำอางได้สะอาดหมดจด ส่วนเอนไซม์ในอุจจาระยายนกก็อะเมซิ่งกว่าอึคนมากๆ เพราะมันทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์แถมยังป้องกันสิวได้ ชิซูกะ นิวยอร์ก เดย์สปา (Shizuka New York day Spa) ในนิวยอร์กก็เลยเอาสูตรนี้มาใช้กับลูกค้าในชื่อ "Geisha Facial" (สวยใสแบบเกอิชา) ซึ่งนวดแล้วหน้าก็เด้งสวยใสจริงสมคำร่ำลือ จนสาวๆ นิวยอร์กยอมเป็นฝรั่งขี้นกกันอย่างเต็มใจ๊เต็มใจ

4. สปาปลาตอด สปาแบบนี้อาจไม่อินเทรนด์เท่าไรในบ้านเรา แต่ที่ประเทศจีน ขอบอกว่าน้องปลากำลังทำมาค้าขึ้นมากค่ะคุณขา เดิมทีต้นตำรับสปาปลานี้มาจากญี่ปุ่นซึ่งแค่ให้ปลาตอดที่เท้าเพื่อดูดเอาเชชื้อรากับคราบไคลตามง่ามเท้าออก แค่นั้นก็หรูแล้วแต่พอได้ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้าไปในเมืองจีน ก็เกิดปรากฎการณ์ปลาตอดฟีเวอร์ขนาดหนัก จนตอดแต่เท้าอย่างเดียวไม่สะใจพอ เจ้าของสปาเลยจับลูกค้าลงไปนอนโป๊ในอ่างแล้วให้ปลาตอดทั้งตัวเสียเลย ได้ข่าวว่าเวลาปลาตอดลูกค้าจะเกิดความรู้สึกเหมือนโดนไฟกระแสอ่อนๆ กระตุ้นปลายประสาท ทำให้ผ่อนคลายสบายตัวแทบว่าจะกรนคร่อกอยู่ในอ่างเลยทีเดียว ผลพลอยได้จากการนี้ยังทำให้ผิวพรรณสวยไม่มีเชื้อแบคทีเรียที่จะกลายพันธ์ไปเป็นสิวอีกด้วย สาวๆ เลยชอบกันนักเพราะเนื้อตัวจะได้สวยใส ใส่ชุดได้เซ็กซี่ขยี้ใจสุดๆ

5. สปางูคลายกล้ามเนื้อ ความอะเมซิ่งของสปางูอยู่ที่อิริยาบถการเลื้อยของงูซึ่งทั้งนุ่มนวล ต่อเนื่อง อ่อนโยนกับผิวพรรณ ทะนุถนอมกล้ามเนื้อและข้อต่อ ชนิดที่ต่อให้ฝึกกี่สิบปีมือคนก็ทำไม่ได้ ลูกค้าจิตแข็งทั้งหลายเลยรู้สึกผ่อนคลายสุดๆ นวดเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงกล้ามเนื้อที่เคยปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอกจะหายดี ระบบน้ำเหลืองและระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานเป็นเยี่ยม พลอยทำให้หน้าตาใสปิ๊งทายอายุไม่ถูกกันไปเลย ข้อดีของสปางูมีเยอะมากมายแต่ประเทศที่นิยมใช้บริการที่สุดอยู่ที่อิสราเอล เพราะคนชาตินี้เขาไม่ค่อยจะกลัวงูกัน ไม่เหมือนผู้หญิงประเทศอื่นที่ยังไม่ทันจะนวดด้วยซ้ำ แค่น้องงูแลบลิ้นทักทายทีเดียวก็โกยแน่บกลับบ้านซะแล้ว

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

โอริกามิ พับกระดาษสไตล์ปลาดิบ

รู้กันไหมคะว่าเด็กๆ ของประเทศญี่ปุ่นเค้าใช้อะไรในการฝึกสมองและเสริมสร้างให้เด็กมีสมาธิ เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ คำตอบก็คือ การพับกระดาษนั่นเองค่ะ เพียงแค่ใช้กระดาษ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างและเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ได้อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นผู้ใหญ่ก็สามารถทำได้

พับ ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โอะริซุรุ การพับกระดาษรูปที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ก็คือ นกกระเรียน คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า นกกระเรียนถือเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี หน้าที่การงานราบรื่นไม่มีอุปสรรค สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว คนญี่ปุ่นมักนิยมวาดลายนกกระเรียนลงบนชุดกิโมโนและยูคาตะของสตรี

เคยเห็นกันบ้างไหมคะ ที่มีคนร้อยนกกระเรียนพับเป็นจำนวนมากบนเส้นด้ายแล้วมัดรวมกันแขวนห้อยจากเพดาน สิ่งนี้เรียกว่า นกกระเรียนพันตัว เมื่อจะอธิษฐานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ขอพรให้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยโดยเร็วมีแต่ความสุขและโชคดี หรือภาวนาให้เกิดสันติภาพ

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับการพับนกกระดาษที่อยู่ในใจของคนญี่ปุ่นทุกคนก็คือ เรื่องราวของ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งเธอได้ตกเป็นเหยื่อจากการโดนผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ เธอชื่อซาดะโกะ เธอเป็นเด็กที่ขยัน ร่าเริง และยังเป็นนักวิ่งของโรงเรียน อาศัยอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่าในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ยิงระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งบ้านของเธอก็อยู่ไม่ห่างไกลจากที่เกิดสงครามมากนัก แต่เธอและครอบครัวก็สามารถหลบหนีจากระเบิดปรมาณูได้อย่างปลอดภัย หลังจากสงครามได้สงบและยุติลงเธอก็ใช้ชีวิตเหมือนธรรมดา เหมือนเด็กประถมทั่วไป

จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 11 ปี ในขณะที่เธอกำลังซ้อมวิ่งแข่งซึ่งเป็นกีฬาที่เธอรักมากที่สุดนั้น เธอก็มักจะมีอาการวิงเวียนศีรษะและอาเจียน แต่เธอก็เก็บความลับนี้ไม่บอกผู้ใด จนกระทั่งจู่ๆ เธอก็มาหมดสติลง และเธอได้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล และตรวจออกมาว่า เธอล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผลสืบเนื่องมาจากการที่เธอได้รับสารกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ ความฝันที่อยากเป็นนั่งวิ่งแข่งประจำจังหวัดก็สลายลง

แพทย์ได้แจ้งกับทางครอบครัวของเธอให้ทราบว่า เธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น ชิซูโกะเพื่อนสนิทของซาดะโกะได้มาเยี่ยมพร้อมกับเล่าตำนานของนกกระเรียนพับว่า ถ้าพับนกกระเรียนครบ 1,000 ตัวเมื่อไหร่ ถ้าหวังสิ่งใดจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา เธอก็หวังว่า การพับนกกระเรียนครั้งนี้จะทำให้เธอหายป่วยได้โดยเร็ว ในขณะที่เธอพับนกกระเรียนนั้นเธอได้เขียนคำว่า สันติภาพ ลงไปในกระดาษ เธอได้รวบรวมแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อสู้กับความเจ็บปวดของร่างกาย เธอบรรจงพับออกมาได้อย่างสวยงามเปี่ยมไปด้วยความหวังและมุ่งมั่น รวมทั้งเด็กมัธยมที่จังหวัด นาโงย่า ก็ได้ส่งนกกระเรียนที่พับอย่างสวยงามมา เพื่อเป็นการเยี่ยมไข้และให้กำลังใจ อีกทั้งคนไข้ที่พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน ต่างก็เริ่มพับนกกระเรียนด้วยเช่นกัน ด้วยความเชื่อที่ว่าหากสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว ก็จะสามารถหายจากอาการเจ็บป่วยได้ แต่ว่าถึงแม้จะพับได้เกิน 1,000 ตัว แต่ซาดะโกะก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 25 ตุลาคม ด้วยวัยเพียง 12 ปี

หลังจากที่ซาดะโกะเสียชีวิตแล้ว ก็ได้มีการบริจาคเงินเพื่อสร้างอนุสรณ์รำลึกถึงซาดะโกะ ซึ่งลักษณะของรูปปั้นนั้นเป็นหินแกรนิต เป็นรูปซาดะโกะชูนกกระเรียนพับไว้เหนือหัวด้วยมือทั้งสองมือ อยู่บนแท่นสูงใหญ่ โดยอนุสรณ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า บ้านเกิดของซาดะโกะ สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1958 โดยอนุสรณ์แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า "Genbaku no ko no zoo" สร้างเพื่อให้คนตระหนักถึงการเกิดสงคราม

ฟังเรื่องนี้แล้วก็เศร้านะคะ "สงครามไม่เคยทำให้ใครมีความสุข" เลยจริงๆ ทั่วทุกมุมโลกล้วนแต่มีปัญหากัน เราคนธรรมดาไม่อยากมีเรื่องกับใครก็ได้แต่ภาวนาขอให้โลกนี้จงมีแต่ความสงบค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ขันที เขาฉี่กันยังไง

หลายคนคงเคยดูหนังจีนกันนะคะก่อนที่เกาหลีจะรุ่งมาถึงทุกวันนี้ แล้วถ้าเป็นละครหรือภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์ชาติจีนด้วยแล้วล่ะก็จะต้องมีผู้ชายท่าทางตุ้งติ้งคล้ายสาวประเภทสองบ้านเราเข้าฉากเพื่อเพิ่มอรรถรสของหนังเรื่องนั้นไปอีก ซึ่งก็คือ ขันทีนั่นเอง แต่เคยสงสัยไหมคะว่าขันทีเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมต้องมี และทำไมต้องตัด!!

ขันทีหรือไท่เจี้ยน หมายถึง ผู้ชายที่ถูกตอน ทำงานหลายอย่างที่สตรีเพศทำไม่ได้ในพระราชวังในจีน มีหน้าที่ควบคุมนางในฝ่ายพระราชฐานและบางครั้งจะขับลำนำถวายฮ่องเต้ก่อนเข้าที่บรรทม นอกจากเรื่องทางโลกแล้วขันทียังมีหน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษาให้กับฮ่องเต้ในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งในบางยุคก็เป็นเพราะขันทีที่เอาแต่ปรนเปรอฮ่องเต้จนบ้านเมืองอ่อนแอไร้เสถียรภาพจนนำมาสู่การล่มสลายของบ้านเมือง เช่น ยุคสามก๊ก หรือปลายราชวงศ์หมิง หรือปลายราชวงศ์ชิง เป็นต้น

มารู้จักประเภทของขันทีกันดีกว่า ขันทีนั้นมีอยู่สองประเภท ได้แก่ ขันทีที่ถูกตอนโดยตัดแค่ปลายองคชาตเท่านั้น ยังเหลือพวงอัณฑะอยู่ ขันทีประเภทนี้ยังเหลือฮอร์โมนเพศชายอยู่มากมาย เสียงยังห้าวแบบชาย และจะได้อนุญาตให้ปฏิบัติภารกิจหน้าที่การงานได้เฉพาะเขตพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น ประเภทที่สอง คือ ขันทีที่ถูกตอนโดยตัดทิ้งทั้งพวง เสียงจะแหลมเล็ก ลูกกระเดือกหายไป ฮอร์โมนเพศชายหมดไป พวกนี้จะได้รับความไว้ใจสูงกว่า และสามารถปฏิบัติงานในเขตพระราชฐานชั้นใน

คำว่า ขันที มาจากรากศัพท์ ขันฑะ ในภาษาสันสกฤต แปลว่า ตัด ตรงกับคำในภาษาจีนว่า ไท้เจี๋ยน หรือไท้ก๋ำ หรือเรียกว่ายูนุค ในภาษาละติน และอาหรับโดยมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า ยูโนคอส แปลว่า ผู้ดูแลรักษาเตียง ยูนุค จึงหมายถึง ผู้มีหน้าที่คอยดูแลหรือเป็นผู้รับใช้ของกษัตริย์และข้าราชสำนักฝ่ายใน เชื่อว่าขันทีกำเนิดครั้งแรกที่เมืองละกาสช์ในเมโสโปเตเมีย เมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทแพร่หลายอยู่ในราชสำนักของเมโสโปเตเมียและอียิปต์แต่โบราณ

หลังตัดอวัยวะเพศแล้วเขาจะใช้ก้านขนนกหรือไม้เล็กๆ ที่กลวงตรงกลางเสียบแทนเอาไว้ตรงนั้นให้เป็นรูสำหรับปัสสาวะหรืออาจจะนั่งกระโถน แบบผู้หญิงในการปัสสาวะ จากหนังสือเล่มหนึ่งของ วาริส ดีรี ที่เป็นนางแบบผิวดำ เธอมาจากประเทศโซมาเลียที่มีธรรมเนียมสุหนัด (การตัดอวัยวะเพศหญิง คว้านคลิตอริสและแคมใหญ่, เล็ก ออก จากนั้นก็เย็บปิดช่องคลอด เหลือไว้แค่รูเล็กๆ ให้ปัสสาวะและประจำเดือนพอไหลผ่านได้) เธอบอกว่าเวลาปัสสาวะ มันจะค่อยๆ หยดออกทีละนิดเท่านั้น และไม่สามารถเบ่งปัสสาวะแรงๆ ได้ เนื่องจากรูมันเล็ก มันจะเจ็บและเวลาเป็นประจำเดือนก็ปวดท้องมาก เนื่องจากเลือดไหลออกมายาก เพราะฉะนั้น ขันทีที่เขามีรูแค่ก้านขนนกหรือไม้เล็กๆ เขาไม่น่าจะยืนปัสสาวะแบบพุ่งได้

น้ำปัสสาวะมันน่าจะไหลออกมาได้ทีละนิด ประมาณหยดๆ ตามรูของก้านขนนกหรือไม้ที่เสียบไว้ ไม่น่าจะออกมาเป็นสายพุ่งเหมือนผู้ชายปกติได้ ดังนั้น การปัสสาวะแต่ละครั้งน่าจะใช้เวลานานกว่าผู้ชายปกติ และก็น่าจะเลอะด้วยเนื่องจากแรงดันขับเคลื่อนไม่น่าจะมีมากเท่าผู้ชายปกติ แล้วถ้าไม่มีแรงเบ่ง หรือไม่สามารถเบ่งได้มาก การควบคุมทิศทางก็จะลำบากใช่ไหมค่ะ?

ขันทีจะมีกลิ่นเฉพาะ คือ กลิ่นปัสสาวะแห้ง เนื่องจากขั้นตอนการตอนจะทำให้สะอาดมากๆ ก็จะตัดเข้าไปถึงหูรูดของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ เป็นที่น่าอับอายมากๆ และต้องทนในสภาพนี้ไปตลอดชีวิต และเนื่องจากการตอนทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุลขันทีที่ถูกตอนตั้งแต่ยังเด็กจะมีลักษณะแขนยาวเก้งก้าง รูปหน้าจะพัฒนาไม่เต็มที่ ส่วนใหญ่จะเป็นคางรูปสามเหลี่ยม และการตัดอวัยวะเพศออกไป จะทำให้เป็นโรคแทรกซ้อนได้ง่าย ส่วนใหญ่จะอายุไม่ค่อยยืน

ได้รู้เรื่องของขันทีแล้ว ก็สงสารเขาเหมือนกันนะคะ การใช้ชีวิตทุกสิ่งอย่างนี่ลำบากไปเสียหมด เราเกิดมาครบ 32 ไม่ต้องเข้าพิธีตัดอะไรก็ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากันเถอะค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

พระแม่มารีแม่พระของคนทั้งโลก

เข้าสู่ช่วงเทศกาลวันแม่กันอีกแล้ว วันแม่ทีไรลูกๆ จะต้องทำตัวน่ารักเป็นพิเศษแบบสุดๆ ให้คุณแม่ เพื่ออ้อนเอานู่นเอานี่ แต่รู้ไหมคะว่า คุณแม่ทำตัวน่ารักกับเราโดยที่ท่านไม่หวังอะไรจากเราเลย วันนี้เจ้มีประวัติของคุณแม่เหล่าคริสต์ศาสนิกชนมาให้อ่านกันค่ะ

ท่านนักบุญยออากิม และนักบุญอันนา เป็นบิดาและมารดาของพระนางมารีอา เดิมไม่มีบุตร เนื่องจากนักบุญอันนาเป็นหมัน ท่านทั้งสองภาวนาต่อพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงฟังคำภาวนาของท่านทั้งสอง จึงได้ให้นักบุญอันนาบังเกิดบุตรี ชื่อว่ามารีอา

พระนางมารีอาถวายตัวแด่พระเป็นเจ้า โดยตั้งใจจะถือพรหมจรรย์เมื่อถึงเวลาอันควรก็ต้องแต่งงานกับชายคนหนึ่งเพื่อเป็นคู่อุปถัมภ์ พระนางมารีอาได้หมั้นกับนักบุญยอเซฟ ซึ่งเป็นเวลาที่เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่พระนางว่าจะตั้งครรภ์ เมื่อนักบุญยอเซฟทราบท่านก็ไม่เข้าใจ และคิดจะถอนหมั้นเงียบๆ เพราะท่านเป็นคนชอบธรรมะ แต่เทวดาได้มาแจ้งแก่ท่านในฝันว่า ให้รับพระนางมารีอาไว้เป็นภรรยาเพราะบุตรที่เกิดมาคือองค์พระมหาไถ่ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นไปโดยอาศัยฤทธิ์อำนาจของพระจิต

คัมภีร์ภาคพันธะสัญญาใหม่เริ่มกล่าวถึงนางด้วยเหตุการณ์แม่พระรับสารจากการที่ทูตสวรรค์คาเบรียลมาปรากฏกายต่อหน้านาง แล้วแจ้งว่าพระเจ้าทรงเลือกนางให้เป็นมารดาของพระเยซู ในยุคแรกยังระบุว่าบิดามารดาของนางเป็นคู่สามีภรรยาสูงอายุชื่อนักบุญยออากิมและนักบุญอันนา

คัมภีร์ไบเบิลบันทึกถึงบทบาทของนางในชีวิตของพระเยซูตั้งแต่การตั้งครรภ์พระองค์จนถึงพระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ และยังกล่าวว่าหลังจากมรณกรรมนางได้รับการยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณด้วย

ชาวโรมันคาทอลิก, ออร์ทอดอกซ์, ออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์, แองกลิคันและลูเทอแรนเชื่อว่า มารีในฐานะที่เป็นมารดาของพระเยซูย่อมถือว่าเป็นพระมารดาพระเจ้าด้วย ซึ่งแปลว่าผู้ให้กำเนิดพระเจ้า พระแม่มารีเป็นที่เคารพบูชาในคริสต์ศาสนาซึ่งนางได้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดงานศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรมของคริสเตียนมากมาย

คริสต์ศาสนานิกายต่างๆ จะมีความเชื่อและหลักปฏิบัติที่แสดงถึงความเลื่อมใสต่อพระแม่มารีแตกต่างกันไป คริสตจักรโรมันคาทอลิกมีหลักความเชื่อเกี่ยวกับพระแม่มารีโดยเฉพาะ เชื่อว่านางเป็นราชินีแห่งสวรรค์และมารดาแห่งคริสตจักร แต่ชาวโปรเตสแตนต์ส่วนมาไม่ยอมรับความเชื่อเหล่านี้ ทั้งเห็นว่านางมีบทบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในคริสต์ศาสนา

คำว่า "แม่พระ" เป็นคำที่ยกย่องพระนางมารีอาตั้งแต่สมัยศตวรรษแรกๆ บรรดาคริสตชนถึงกับถวายพระนามว่า "พระมารดาพระเจ้า" (Mater Dei) นักเทววิทยาได้อธิบาย และอ้างข้อความในพระคัมภีร์สนับสนุนข้อความนี้ และข้อความเชื่ออื่นๆ อีกหลายประการเกี่ยวกับพระนางมารีอา เช่น "แม่พระเป็นผู้ปฏิสนธินิรมล" หมายถึง พระนางมารีอาบังเกิดมาในโลกโดยปราศจากบาปกำเนิดได้รับการยกเว้นจากพระเป็นเจ้า มิให้ต้องแปดเปื้อนด้วยบาปความผิดพลาดที่ตกทอดมาจากอาดัมและเอวาแต่คริสตชนมีความศรัทธาภักดีต่อแม่พระก็เนื่องจากชีวิตและฤทธิ์กุศล ความดีงามต่างๆ ในชีวิตของพระนางเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราในการดำเนินชีวิตคริสตชนฤทธิ์กุศลที่สำคัญในชีวิตแม่พระคือ ความบริสุทธิ์ หมายถึง พระนางมารีอาบังเกิดมาไม่มีบาปกำเนิด และยังดำเนินชีวิตถือตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าอย่างครบถ้วน ไม่กระทำบาป อีกทั้งได้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก โดยตั้งใจว่าจะถือพรหมจรรย์ แต่พระเป็นเจ้าก็ทรงมีแผนการโดยการใช้ให้เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่แม่พระว่า พระนางจะตั้งครรภ์และกำเนิดบุตรชายและให้ตั้งชื่อว่า "เยซู" พระนางมารีอาถามว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะพระนางยังเป็นพรหมจารีย์อยู่ เทวดาตอบว่าการตั้งครรภ์นั้นมิได้เกิดตามธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนัง แต่เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระจิต เด็กที่เกิดมาจะเป็นพระผู้ไถ่โลก พระนางมารีจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่าน" ก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์บรรดาสานุศิษย์ต่างกลัวและหนีไปหมด แต่พระแม่กลับยืนอยู่ข้างกางเขนกับนักบุญยอห์น ณ ที่นั่น พระเยซูเจ้ามองลงมาจากกางเขน แล้วตรัสว่า"สตรีเอ๋ย นี่น่ะ ลูกของท่าน" และตรัสแก่ศิษย์นั้นว่า "นี่น่ะ แม่ของเจ้า"

เห็นไหมคะ ว่าแม่ไม่เคยทอดทิ้งเราไปไหนจริงๆ รู้แบบนี้แล้วอย่าลืมทำดีกับพ่อแม่ของเรานะคะ เพราะเราไม่รู้ว่าท่านจะจากเราไปเมื่อไหร่ เรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การที่เรามาสำนึกได้ตอนที่ท่านจากไปแล้วนั่นแหละค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

แฟชั่นคนรวยยกสมบัติให้สัตว์เลี้ยง

หลังจากมีข่าวเศรษฐีนีชาวอเมริกันยกมรดกกว่า 12 ล้านดอลลาร์ให้กับหมาพันธุ์เทอร์เรียชื่อเจ้า 'ทรอบเบิ้ล' เมื่อหลายปีก่อน ก็เกิดเป็นเทรนด์ขึ้นมาในหมู่เศรษฐีชาติตะวันตกที่จะต้องยกเงินให้สัตว์เลี้ยงกัน แต่ที่ไม่เป็นข่าวก็เพราะจำนวนเงินที่เจ้าสี่เท้ารายหลังๆ ได้รับมันไม่ได้เป็นก้อนใหญ่โตมโหระทึกชวนให้คนอย่างเราๆ ลุกขึ้นมาอิจฉา เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่สัตว์เลี้ยงติดอันดับรวยที่สุดในโลกทั้ง 5 ตัวนี้นั่งทับอยู่

อันดับ 5 แจสเปอร์ สุนัขพันธุ์ผสมลาบราดอร์-เบอร์แมน อดีตหมากำพร้าในสถานสงเคราะห์สุนัข ที่ถูกทายาทโรงเบียร์ ไดอานา มายเบิร์กเก็บไปเลี้ยง แถมยังทำพินัยกรรมยกเงิน 50,000 ดอลลาร์ (1,500,000 บาท) ไว้ให้เจ้า 'แจสเปอร์' กันตาย ต่อมาเงินก้อนนี้ถูกลูกเขยของ 'ไดอานา' ขอยืมไปลงทุนจนได้กำไรเพิ่มขึ้นตั้ง 3 เท่าแน่ะ

อันดับ 4 ทีนา และเคต สุนัขพันธุ์คอลลี ครอสเซส ของ 'นอรา ฮาร์ดเวลล์' ซึ่งเสียชีวิตก่อนวันเกิดครบ 90 ปีของเธอแค่วันเดียว แต่ถึงป้าจะลาโลกไปแล้วลูกรักทั้งสองก็ไม่ลำบาก เนื่องจากเจ้าป้ายกทั้งบ้านและที่ดิน 5 เอเคอร์ พร้อมเงิน 900,000 ดอลลาร์ (27 ล้านบาท) ไว้ให้พวกมันใช้ตอนแก่ด้วย

อันดับ 3 ทรอบเบิ้ล สุนัขตัวแรกผู้สร้างกระแสยกเงินให้สัตว์จนกลายเป็นเทรนด์ฮิต แต่ทุกวันนี้เงินมรดก 12 ล้านดอลลาร์ของ 'ทรอบเบิ้ล' ก็ยังทำป่วนไม่เลิกเพราะหลายชายสองคนของหม่ามี้ 'ลีโอนา เฮล์มสลีย์' อดีตนายแม่ของเจ้า 'ทรอบเบิ้ล' ทำใจไม่ได้ที่มรดกตัวเองถูกเอาไปยกให้หมา เลยขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องเอาเงินคืนกันจนหัวฟู ข่าววงในยังเม้าท์ด้วยว่าด้วยความที่รวยจัด 'ทรอบเบิ้ล' เลยติดนิสัยเริ่ดเชิดหยิ่งสุดขีด เช่น ถ้าสาวใช้เสิร์ฟสเต็กให้มัน แต่ไม่ยอมหั่นเป็นคำเล็กๆ พอดีกิน มันจะไม่ยอมลดตัวลงไปกัดเองเป็นอันขาด แบบว่ายอมหิวดีกว่าเสียลุคส์ เอากับท่านสิ

อันดับ 2 คาลู ลิงชิมแปนซีตัวโปรดของ 'แพตทริเซีย โอนีล' ภรรยาของ 'แฟรงก์ โอนีล' อดีตนักว่ายน้ำทีมชาติออสเตรเลีย พรหมลิขิตชักพาให้ 'แพตทริเซีย' กับ 'คาลู' ได้พบกันที่ประเทศอาร์เจนตินา และไม่รู้จะเคยเป็นแม่ทูนหัวกันมาแต่ชาติปางไหน แค่สบตาแบ๊วๆ แฝงแววขี้อ้อนของลิงเข้าไป ฝ่ายคนก็ระทวยจัดแจงอุ้มลิงกลับมากินกล้วย (ตักด้วยช้อนเงินช้อนทอง) ที่บ้านทันที แถมยกสมบัติให้ไปตั้ง 80 ล้านดอลลาร์ (240 ล้านบาท)

อันดับ 1 เจ้ากุนเธอร์ที่ 4 สุนัขพันธุ์เยอรมัน เชพเพิร์ด ของนักร้องสาว 'มาดอนนา' มีทรัพย์สินในครอบครองทั้งหมด 180 ล้านดอลลาร์ (5,400 ล้านบาท) ที่รวยมหาศาลบานตะเกียงขนาดนี้ เพราะ 'กุนเธอร์' ได้รับมรดกมาจาก 'กุนเธอร์ที่3' พ่อของมันอีกที โดยเจ้า 'กุนเธอร์ที่ 3' มีชื่ออยู่ในพินัยกรรมของ 'เคาต์เทสคาร์ลอตต้า ลีเบนสไตน์' แห่งเยอรมัน ซึ่งเจียดเงินอันน้อยนิดไว้ให้มันกินตอนแก่เพียง 86 ล้านดอลลาร์ (258 ล้านบาท) เท่านั้น เล่นเอา 'กุนเธอร์ที่ 3' เสียอกเสียใจที่แม่ไม่รักเลยตามไปต่อว่ากันบนสวรรค์ ทิ้งเงินน้อยมากๆ ก้อนนั้นพร้อมตำแหน่งสัตว์ที่รวยที่สุดในโลกไว้ให้ 'เจ้ากุนเธอร์ที่ 4' จนถึงทุกวันนี้

ไม่รู้ว่าเศรษฐีไทยเคยมีข่าวยกมรดกให้สัตว์เลี้ยงบ้างแล้วหรือยัง แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน ถ้าเทรนด์นี้ยังฮิตไม่เลิกอยู่อย่างนี้ล่ะก็

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on