Written by on

โอนิกิริ ข้าวปั้นสุดคาวาอี้

จั่วหัวซะน่ารักแบบนี้ ต้องมาพูดเรื่องคิขุคิขุกันอย่างแน่นอน สาวๆ คงจะรู้จักข้าวกล่องญี่ปุ่นที่น่าตาน่ารับประทานแถมคาวาอี้แบบไม่กล้าลงมือกินใช่ไหมคะ วันนี้เจ้เลยนำเสนอเรื่องราวของ "เจ้าโอนิกิริ" ข้าวปั้นสไตล์พี่ยุ่น ก็เค้าปั้นๆ แล้วบรรจุไว้เบนโตะนี่แหละ

เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิม เกาะติดวิถีชีวิตของชาวซามูไรไปแล้วล่ะคะ สำหรับการทำเบนโตะเพื่อผูกสัมพันธ์ระหว่าง พ่อแม่-ลูก ภรรยา-สามี แล้วไหนจะเพื่อนๆ ที่โรงเรียนลูกๆ ที่เอาเบนโตะหน้าการ์ตูนเรื่องโปรดฝีมือคุณแม่มาอวดกันอีก แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงข้าวปั้นสามเหลี่ยม หรือโอนิกิริที่บรรจุอยู่ในกล่องข้าวญี่ปุ่น

โอนิกิริ หรือที่รู้จักกันอีกอย่างหนึ่งคือ โอมุซุบิ (ลูกบอลข้าว) ที่ทำมาจากข้าวญี่ปุ่นปั้นเป็นลูกกลมๆ ปัจจุบันมีทั้งรูปวงรี วงกลมและก็สามเหลี่ยม จะปั้นเป็นรูปหัวใจก็ไม่มีใครว่าค่ะ และขั้นตอนสุดท้ายก็ต้องมีการห่อสาหร่ายด้วย ถึงจะอร่อยตามสูตร โดยทั่วไปแล้วไส้ของโอนิกิริจะเป็นบ๊วยเค็ม ปลาแซลมอน, ปลาคัทซึโอะ, สาหร่ายทะเล ไข่ปลา และมีส่วนผสมที่มีรสเค็มหรือเปรี้ยวอื่นๆ

ความแตกต่างของข้าวปั้นกับซูชิ ก็คือข้าวปั้นทำมาจากข้าวธรรมดา แต่ซูชิจะมีการผสมน้ำส้มสายชู เกลือและน้ำตาลลงไปในข้าวด้วย ระวังอย่าสับสนนะคะ ในบันทึกของมุราซากิ ชิคิบุ ระบุไว้ว่าในศตวรรษที่ 11 ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อก่อนโอนิกิริ มีชื่อว่า ทนจิคิ (Tonjiki) นิยมทานกันเป็นอาหารมื้อกลางวันหรือไม่ก็เอาไปปิกนิก

ต่อมาในศตวรรษที่ 17 พวกซามูไรมักเอาข้าวปั้นไปเป็นเสบียงในสนามรบแต่ความจริงเรื่องราวของโอนิกิริมันมีมานานก่อนที่มุราซากิเค้าจะจดบันทึกซะอีก แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่โอนิกิริเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นเค้า เวลาจะทานโอนิกิริเมื่อก่อนต้องใช้ช้อนตัดแบ่งกัน แต่พอมาถึงสมัยนาระก็มีการตัดเป็นคำเล็กๆ เพื่อความสะดวกในการรับประทาน

ตั้งแต่สมัยคามาคุระ จนถึงต้นเอโดะ โอนิกิริเป็นอาหารที่เรียกว่า "Quick Meal" เพราะมีวิธีการทำที่ง่ายและสะดวก พวกพ่อครัวแม่ครัว จึงแค่หยิบข้าวมาปั้นให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า โดยไม่ต้องใส่ใจเรื่องการบริการมากนัก ตอนนั้นโอนิกิริเป็นข้าวปั้นธรรมดาที่มีรสเกลือและสาหร่ายจึงไม่แพร่หลายกว้างขวาง

กลางยุคเอโดะจึงมีการทำฟาร์มสาหร่ายเพื่อรองรับปริมาณความต้องการของโอนิกิริที่จะทำขายในวงกว้างขึ้น มีความเชื่อว่าโอนิกิริไม่สามารถผลิตได้ด้วยเครื่องจักร เพราะถือว่าเป็นเรื่องยากเกินไปในตอนนั้น แต่พอช่วงปี 1980 ก็มีเครื่องมือที่ทำให้โอนิกิริเป็นรูปสามเหลี่ยมถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่มีเจ้าเครื่องนี้ โอนิกิริก็จะถูกเสิร์ฟพร้อมกับสาหร่ายเลย

แต่พอทิ้งไว้สักพักสาหร่ายก็จะเริ่มชื้นและเหนียว ติดหนึบกับตัวข้าว จึงมีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์โดยแยกสาหร่ายออกจากข้าวพอจะทานค่อยห่อสาหร่ายเข้ากับข้าวปั้น ณ บัดนาว คนญี่ปุ่นเค้านิยมทำข้าวปั้นเป็นข้าวห่อกันจากที่บ้าน หรือถ้าอยากจะสะดวกสบายหน่อย ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปที่ขายโอนิกิริค่ะ

ญี่ปุ่นนี่เค้าก็ช่างคิดช่างทำกันจริงๆ เลยนะคะ ถ้าไทยมีข้าวปั้นบ้างเจ้ว่าคงต้องเป็นข้าวเหนียวปั้นจิ้มแจ่วแน่นอน แซ่บกว่าเป็นไหนๆ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

พระแม่สรัสวดีเทวีแห่งสรรพความรู้

ในบรรดาเทพในตำนานต่างๆ ก็มักจะมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน วันนี้เราจะขอบอกเล่าเรื่องราวของพระแม่สรัสวดีที่เป็นเทวีแห่งสรรพความรู้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆ ได้มีกำลังใจในการศึกษาหาความรู้กันนะคะ

พระแม่สรัสวดี คือชายาแห่งพระพรหมผู้สร้างโลก พระองค์นั้นประทับอยู่ในวิมาน ณ สวรรค์ชั้นพรหมหรือพรหมโลก เป็นมหาเทวีหนึ่งในสามเทวีสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในประเทศอินเดียยังมีแม่น้ำสายที่สำคัญมากที่ชื่อสรัสวดีอีกด้วยค่ะ

พระสรัสวดี หรือหลายๆ คนจะเรียกว่าพระสุรัสวดี ในมหากาพย์มหาภารตะนั้นมีการกล่าวถึงว่าพระกฤษณะคือผู้สร้างพระสุรัสวดีและคัมภีร์พระเวทขึ้นมาพร้อมกันจากจิตใจของพระองค์ พระแม่สุรัสวดีจึงถือว่าเป็นเทพแห่งพระเวททั้งปวง เปรียบเสมือนครู อาจารย์ พระองค์คือเทวีแห่งสรรพความรู้ วิชาการอันล้ำลึก วิทยาการอันก้าวหน้า พระองค์คือสัญลักษณ์แห่งงานศิลปะทุกแขนง ทั้งการวาดเขียน การดนตรี อักษรศาสตร์ การแต่งตำรา การเขียนหนังสือ พระองค์คือเทวีแห่งปรีชาญาณอันชัดเจนแจ่มแจ้ง การเล่าเรียน ศึกษาหาความรู้ การวิจัย การวิเคราะห์ การพูดจา การเจรจาต่อรอง ตลอดจนเป็นผู้ให้กำเนิดอักขระของอินเดียคืออักษรเทวนาครีด้วยค่ะ

พระองค์ยังเป็นผู้ให้กำเนิดบทสวดมนต์บทแรกของจักรวาล ชาวฮินดูยังนับถือพระสรัสวดีเป็นเทวีแห่งเวทมนต์ คาถา และการประกอบพิธีกรรม ฉะนั้นหากมีการประกอบพิธีบูชาเทพหรือเทศกาลใดๆ แล้ว ถ้าอัญเชิญพระพิฆเนศเป็นเทพองค์แรกก็จะทำให้พิธีนั้นๆ เกิดสิริมงคลขึ้น และการอัญเชิญพระแม่สรัสวดีร่วมด้วย ก็ย่อมบันดาลให้การสวดมนต์และการประกอบพิธีกรรมทุกขั้นตอนดำเนินไปอย่างศักดิ์สิทธิ์ มีพลังเข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูงสุด พระสรัสวดีทรงโปรดการแสดงดนตรี การบรรเลงบทเพลง การร้องเพลงถวาย การอ่านบทกวีถวาย ฯลฯ ผู้บูชานิยมเปิดเพลงหรือบรรเลงดนตรีที่มีท่วงทำนองประณีตงดงามถวายแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทใดท่านก็โปรดทั้งสิ้น เช่น พิณ จะเข้ ขิม กลอง ฯลฯ

การบูชาพระสรัสวดีนั้นก็เหมาะสมแก่นักเรียน นักศึกษา มีการประดิษฐานเทวรูปในสถานศึกษา เช่น ที่วัดเทพมณเฑียรก็ประดิษฐานเทวรูปพระแม่สรัสวดีไว้หน้าทางเข้าโรงเรียนภารตวิทยาลัย ผู้ที่จะเดินเข้าโรงเรียนและวัดเทพมณเฑียรก็จะสักการะเทวรูปพระแม่สรัสวดีก่อนเสมอ นอกจากนี้พระแม่สรัสวดียังเหมาะสมแก่การบูชาสำหรับผู้มีอาชีพเป็นครู นักวิจัย นักวิชาการ นักโบราณคดี ผู้ที่อยู่ในแวดวงแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ

หากใครมีโอกาสได้กราบไหว้รูปจำลองพระแม่สรัสวดี ก็ลองขอพรให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษาดูนะคะ จะได้มีกำลังใจให้สู้ศึกษาหาความรู้ต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราต้องตั้งใจเรียนและหมั่นเพียรหาความรู้กันอยู่เสมอนะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

เทรุ เทรุ โบซุ ไล่ฝนน่ารักๆ สไตล์พี่ยุ่น

ฝนตกอีกแล้วค่า ช่วงนี้อากาศบ้านเราไม่แน่ไม่นอนจริงจริ๊ง กลางวันแดดออกเปรี้ยงร้อนจนตับออกมาเต้นระบำตกเย็นหวังจะกลับบ้านเร็ว แต่ฝนดั๊นตกลงมาซะงั้น คนทำงานอย่างเราคงอยากให้มีวิธีหยุดฝนกันใช่ไหมคะ เรามีวิธีไล่ฝนแบบน่าร้ากอ้ะ!! ของคนญี่ปุ่นมาฝากกันค่ะ

เราเห็นกันในการ์ตูนอิคคิวซังบ่อยๆ นะคะที่เณรน้อยเอาตุ๊กตาไล่ฝนแขวนไว้หน้าที่พัก เพื่อใช้เป็นของต่างหน้าแม่ ตุ๊กตาไล่ฝนตัวนั้นห้อยท้าทายแสงแดด สายฝน ลมหนาว คล้ายกับแม่ผู้ทำหน้าที่ปกป้องลูกอยู่ตลอดเวลา เรามาทำความรู้จักเจ้าตุ๊กตาไล่ฝนให้ดีกว่านี้กันดีกว่า

เทรุ เทรุ โบซุ มีความหมายแยกเป็นสองคำ คือ เทรุ แปลว่าแสงสว่างหรือความอบอุ่น ส่วนโบซุ แปลว่าคนหัวโล้นซึ่งหมายถึงนักบวชที่ต้องโกนผม ตุ๊กตาไล่ฝนนี้ก็เหมือนมินินักบวชที่แขวนไว้ขอพรนั่นเองค่ะ ญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมนี้จากจีนมาตั้งแต่สมัยเฮอันแล้ว

เริ่มจากที่จีนมีตุ๊กตาเด็กผู้หญิงถือไม้กวาดเรียกว่า เส่าฉินเหนียง เชื่อกันว่าช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปได้ และผู้หญิงเป็นเพศที่มีความเชื่อในการขอพรหนักแน่นกว่าผู้ชาย ดังนั้นถ้าแขวนตุ๊กตาเด็กผู้หญิงถือไม้กวาดไว้แล้วขอพรให้พรุ่งนี้อากาศแจ่มใส ก็น่าจะช่วยปัดกวาดเมฆฝนออกไปได้ด้วย

แต่จริงๆ แล้วตุ๊กตาไล่ฝนเริ่มเป็นที่นิยมสมัยเอโดะ ในสมัยก่อนบางพื้นที่เรียกตุ๊กตาไล่ฝนว่าเทริ เทริ โบซุ ซึ่งก็มีความหมายเหมือนกัน โดยเริ่มจากชาวนาแขวนตุ๊กตาไล่ฝนไว้นอกบ้านหรือนอกประตูหน้าต่าง เพื่อขอพรให้อากาศแจ่มใสจะได้ออกไปทำมาหากินได้ แต่มาสมัยนี้พวกเด็กๆ ที่ตื่นเต้นกับการออกไปเที่ยวตามเทศกาลต่างๆ วันเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเขามาก เด็กๆ จึงมักจะรีบแขวนตุ๊กตาไล่ฝนเพื่อขอให้วันรุ่งขึ้นอากาศดี เพราะไม่อยากพลาดที่จะออกไปเที่ยวเล่นกัน

เมื่อคำอธิษฐานเป็นจริงก็จะต้องแขวนกระดิ่งหรือเทสาเกให้กับตุ๊กตาไล่ฝน เพื่อเป็นการขอบคุณด้วยนะ แต่ถ้าวันไหนอยากให้ฝนเทลงมาล่ะก็ ให้แขวนตุ๊กตาไล่ฝนกลับหัวซะ ทีนี้ล่ะ..ฝนได้ตกทั้งวันแน่นอน บางวัดหรือศาลเจ้าบางแห่งที่ต้องทำพิธีในวันสำคัญๆ เขาก็นิยมแขวนตุ๊กตาไล่ฝนไว้ด้วยเหมือนกันเพื่อความเป็นสิริมงคล ขอให้สามารถทำพิธีไปได้อย่างราบรื่นไม่มีอะไรติดขัด ฝนก็ไม่ตก อากาศก็แจ่มใสไปจนกว่าจะจบพิธี

การพกตุ๊กตาไล่ฝนไว้กับตัวเองเป็นเสมือนเครื่องรางประจำกายด้วยค่ะ บางคนเชื่อว่าจะนำสิ่งดีๆ และความสดใสสดชื่นมาให้กับตัวเองได้ด้วย ตุ๊กตาไล่ฝนมีขนาดเล็กประมาณ 5-8 นิ้ว สร้างขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ ส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้ผ้าหรือกระดาษสีขาวมาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วหาวัสดุทรงกลมหรือใยฝ้ายมาทำเป็นส่วนศีรษะ ม้วนขึ้นเป็นก้อนกลมบรรจุไว้ตรงกลาง จากนั้นก็จะรวบผ้าเข้าหากันแล้วผูกด้วยเส้นเชือกหรือเส้นด้าย ต่อมาจึงค่อยวาดรายละเอียดในส่วนศีรษะ เช่น ดวงตา จมูก และปาก ก่อนที่จะนำไปห้อยแขวนไว้กับชายหลังคาบ้านหรือริมขอบหน้าต่าง

เจ้าตุ๊กตานี่มีเพลงประจำตัวด้วยล่ะค่ะเป็นเพลงสำหรับเด็กๆ ที่ฟังดูสดใสร่าเริง ชื่อเพลงว่า เทรุ เทรุ โบซุ แต่งไว้ตั้งแต่ปี 1921 มีเนื้อหาเพื่อที่จะขอพรให้อากาศแจ่มใสและทิ้งท้ายด้วยการกล่าวถึงการให้รางวัลตอบแทน เพราะเพลงนี้จึงทำให้ผู้คนเรียกตุ๊กตาไล่ฝนว่า เทรุ เทรุ โบซุ มาจนถึงปัจจุบัน และทำให้ เทริ เทริ โบซุ กลายเป็นชื่อในตำนานไป แต่ไม่ว่าจะเรียกยังไงความหมายก็ดีเหมือนกันนะเจ้าคะ

ไทยอาจจะไม่มีตุ๊กตาแขวนไว้ไล่ฝนแบบญี่ปุ่น แต่เรามีสาวเวอร์จิ้นปักตะไคร้ก็น่ารักดีเหมือนกันนะเออ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ซีอุส มหาเทพจอมเจ้าชู้

ขึ้นชื่อว่าผู้ชายเจ้าชู้ ผู้หญิงหลายคนคงเซย์โนขอบายไม่สนใจ แต่ก็มีอีกหลายคนเลยค่ะ ที่ชอบผู้ชายประเภทนี้ก็เค้าว่า ผู้ชายเจ้าชู้น่ะมีเสน่ห์ท้าทายดี แหมๆ แต่พอลองคบกันก็ต้องเลิกเพราะทนไม่ไหว ใช่ไหมล่ะคะ? ไม่ใช่ว่านิสัยเจ้าชู้หน้าม่อไปเรื่อยจะมีแค่ปุถุชนคนธรรมดา เทพเบื้องบนเค้าก็มีเหมือนเราๆ ด้วยล่ะค่ะ!

เทพซุส ซีอุสหรือจูปิเตอร์ เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัสและเทพแห่งท้องฟ้า และฟ้าร้องของตำนานเทพปกรณัมกรีก สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือสายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก นามของซีอุสแปลว่าความสว่างของท้องฟ้า

ซุสเป็นราชาของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์บนโลก มีอาวุธเป็น Thunderbolt เรียกแบบไทยๆ ว่า อัศนีบาต เทพซุสมีพี่น้องซึ่งเป็นเทพปกครองโลกร่วมกัน 5 องค์ ได้แก่ เทพโพไซดอน เทพีดีมิเทอร์ เทพีเฮร่า เทพฮาเดส และเทพีเฮสเทีย

นามในตำนานอีทรูสแคนคือ เทพไทเนีย พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของโครนัสและรีอา ซึ่งเป็นเทพไททัน ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซุสแท้จริงแล้วคือเทพีไดโอนี นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด ยังกล่าวไว้ว่าเทพซุสเป็นพระบิดาของเทพีอโพรไดต์ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซุสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนามแกนีมีดด้วยเช่นกัน!! หลายพันปีมาแล้ว ชนชาวกรีกและโรมัน เชื่อกันว่าเทพเจ้าทั้งหลายนั้นทรงประทับอยู่บนยอดขุนเขา โอลิมปุส ในประเทศกรีซ โดยมีเทพผู้เป็นประมุขนามว่า ซุส รูปเคารพของซุสมักมีสายฟ้า หรืออสุนีบาตเป็นศาสตราวุธ เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพแห่งสายฝนและฟ้าผ่า กวีเอกคนหนึ่งของกรีกเขียนไว้ว่า ซุสเป็นบุตรองค์ที่สามของเทพโครนุส แต่ตามตำนานของมหากวีโฮเมอร์ ระบุว่าซุสแป็นบุตรองค์โต ส่วนบุตรองค์รองลงมาได้แก่ โพไซดอน เทพแห่งมหาสมุทร และเฮเดส เทพแห่งยมโลก โดยซุสนั้นปกครองสวรรค์ทั้งปวงด้วย ที่ประทับที่สำคัญซึ่งชาวกรีกสร้างถวายซุสนั้นยังมีซากเหลืออยู่ให้เห็นคือวิหารโอลิมเปียใกล้ๆ เขาโอลิมปุสที่เมืองอิลิสเป็นที่ซึ่งใช้แข่งกีฬาโอลิมปิกโบราณทุกๆ 4 ปี

แต่เขาตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพ และทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่ายเพื่อป้องกันการแก่งแย่งและกระด้างกระเดื่อง จึงจัดสรรอำนาจยอมยกให้เทพภราดร มีเอกสิทธิ์ในการปกครองอาณาเขตดังนี้ เนปจูน หรือโพไซดอนได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง พลูโตหรือฮาเดส เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะธัส และแดนบาดาลทั้งหมดอันรัศมีของแสงอาทิตย์ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย ส่วนตัวซุสเองปกครองทั้งสวรรค์และพิภพ แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแลทั่วไปในเขตแดนของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง

หากพูดถึงบทบาทของเทพซุสแล้วต้องยอมรับว่า มีบทบาทขัดแย้งในองค์เองมากที่สุดในบรรดาเทพด้วยกันเนื่องจากทรงเป็นมหาเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุด และมีผู้เคารพนับถือโดยทั่วไปเป็ฯที่ยำเกรงของสามโลก ทรงไว้ซึ่งฤทธิ์อำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน แต่กลับทรงมีอุปนิสัยเหมือนบุรุษหนุ่มธรรมดาๆ บางคนนั่นคือ ความเกรงใจที่มอบให้แก่มหาเทวีฮีร่า พระชายาอย่างมาก หากพูดกันตามประสา ก็คือ "กลัวเมีย" นั่นเองค่ะ

ด้วยเหตุนี้การที่มหาเทพซุสมีอะไรแย้งๆ กันในองค์เอง อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณที่สร้างเหล่าทวยเทพขึ้นนับถือ มีความเป็นนักปรัชญาอยู่เต็มตัว เขาจึงสร้างทวยเทพของเขาให้ละม้ายแม้นกับมนุษย์ปุถุชน มีทั้งข้อดีและจุดบกพร่อง

คุณงามความดีอันสำคัญของมหาเทพซุสเป็นอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผู้ที่เคารพนับถือไท้เธอ เป็นนักปราชญ์มากกว่านักสงครามก็คือ ซุสทรงรักสัจจะและความเป็นธรรมอย่างที่สุด ทรงเกลียดชังคนโกงและคนโกหกอย่างที่สุด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพื่อถวายแด่พระองค์ นักกีฬาจึงต้องแข่งกันอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด

ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่า ซุสเป็นมหาเทพที่เจ้าชู้ที่สุดองค์หนึ่งในวงศ์โอลิมเยน เรื่องราวความรักของซุสมีมากหลายเรื่องเป็นตำนานเล่าสืบทอดกันมากมาย ซุสออกจะถนัดในการล่อลวงสตรีสาวสวยยิ่งกว่าเหล่าเทพองค์ใดๆ เท่าที่เคยมีมา อย่างการปลอมเป็นวัวสีขาวสง่างามไปหลอกโฉมงามนางยูโรปาไปเชยชมที่เกาะครีต

นอกจากนี้ยังแปลงเป็นหงส์ไปก้อร่อก้อติกสาวงามนาม ลีดา จนนางตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นไข่ ครั้นไข่แตกออกแทนที่จะเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งหงส์โผล่ออกมาอย่างตำนานทั่วไป กลับกลายเป็นฝาแฝดชายคู่หนึ่ง คือ คัสเตอร์ กับ โพลิดียูซิส สิ่งที่ทำให้ทารกคู่นี้เป็นพยานความสัมพันธ์ระหว่างเทพกับมนุษย์คือ คนหนึ่งมีกายเป็นอมตะดั่งเทพแต่อีกคนหนึ่งตายได้ อย่างมนุษย์สามัญธรรมดา

นอกจาก ฝาแฝดชายคู่นี้แล้ว ลีดายังมีแฝดหญิงอีกคู่หนึ่ง ซึ่งเลื่องชื่อที่สุดในตำนานกรีกโบราณหนึ่งนั้นนามว่า เฮเลน เดอะบิวติฟูล ต้นเหตุของมหาสงครามกรุงทรอย อีกหนึ่งคือ ไคลเตมเนสตร้า ซึ่งต่อมาได้เป็นมเหสีของ อกาเมมนอนแห่งไมซีนี่ (สัมพันธ์สวาทของนางลีดากับพญาหงส์ปลอมที่มหาเทพซุสจำแลงมานั้น เป็นไปอย่างซ่อนเร้น เพราะลีดาเป็นมเหสีทินดาริอุส แห่งสปาร์ต้าเมื่อลีดาให้กำเนิดเฮเลนและไคลเตมเนสตร้า ทินดาริอุสก็นึกว่าเป็นธิดาของพระองค์)

ยังมีเรื่องพิศวาสระหว่างซุสกับนวลอนงค์อื่นๆ อีกมาก อย่างสัมพันธ์รักกับนางไอโอ ที่เป็นยายของวีรบุรุษ เฮอร์คิวลิส รักกับไดโอนีและมีธิดา นามว่าอโฟรไดท์ พิสมัยกับไมอาและมีโอรสนามว่า เฮอร์มิส ฯลฯ

โอ๊ย ถ้าเทพซุสเป็นมนาย์นี่ผู้หญิงอย่างเราคงทนกันไม่ได้ แฟนกิ๊กเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหวแบบนี้ ไม่เอาเป็นพ่อของลูกหรอก เชอะ!

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

Narcissus หล่อขั้นเทพ หลงตัวจนตาย

มีบ้างไหมคะ ที่วันหนึ่งคุณหยิบกระจกขึ้นมาส่องแล้วเกิดคำถามในใจว่า "ทำไมฉันถึงได้สวย/หล่อขนาดนี้นะ?" ดูจะเป็นคำพูดที่หลงตัวเองเสียหน่อย แต่เจ้เชื่อว่าต้องมีคนตอบในใจว่า "ใช่ ฉันเคยพูดกับตัวเองแบบนั้น" อาการแบบนี้เขาเรียกว่า "Narcissistic" หรือโรคหลงตัวเองค่ะมันมีที่มาจากเรื่องวุ่นๆ ของเทพกรีกหนุ่มหล่อที่เอามาฝากกันวันนี้

เทพองค์นี้มีชื่อว่า 'นาร์ซิสซัส' เป็นบุตรชายของวีนัสเทพแห่งความงามและอพอลโลเทพแห่งการทำนายและการรักษา เทพวีนัสเป็นเทพที่มีรูปโฉมงดงามเป็นที่ต้องใจของบรรดาทวยเทพทั้งหลาย เมื่อนางได้ให้กำเนิดนาร์ซิสซัส ก็ส่งผลให้เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาการหาใครเทียบไม่ได้ ประกอบกับได้นิสัยมั่นใจในตัวเองสูงและลุ่มหลงมาจากเทพอพอลโล จึงทำให้นาร์ซิสซัสไม่ชายตามองใครทั้งนั้นนอกจากตัวเขาเอง

นาร์ซิสซัสได้ชื่อว่าเป็นเทพที่หลงตัวเองเป็นที่สุด เล่ากันว่าทุกเช้าที่ตื่นเขาจะลุกจากเตียงเดินไปดูตัวเองจากกระจกเงาบานใหญ่ ใช้มือเสยผมสีทองงามสลวยให้เข้ารูป หลิ่วตาซึ่งมีสีฟ้างดงามให้กับตัวเอง บิดตัวเพื่อออกกำลังกล้ามเนื้อ พร้อมกับยิ้มด้วยความชื่นชมตนเองด้วยปากและฟันที่ขาวสะอาด จากนั้นจึงเปลี่ยนไปใส่ชุดเสื้อแขนสั้นรัดเอวยาวถึงเข่า และลงไปรับประทานอาหาร

เอคโค่ เทพธิดาที่ถูกสาปให้พูดอะไรไม่ได้ดังใจ มิหนำซ้ำยังต้องคอยพูดตามคำสุดท้ายของคนที่มาพูดกับเธอด้วย ก็ตกหลุมรักนาร์ซิสซัสเช่นกัน เมื่อเอคโค่พยายามจะบอกให้นาร์ซิสซัสรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อเขา เธอก็ทำได้แค่พูดตามคำพูดสุดท้ายของเขาเท่านั้น

วันหนึ่งขณะที่นาร์ซิสซัสกำลังเดินเล่นตามร่มไม้แทนการออกไปล่าสัตว์ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าหน้าผมเลอะเทอะ เขาได้พบกับเอคโค่ยืนตะลึงมองเขาอย่างตื่นๆ นาร์ซิสซัสกล่าวทักด้วยความเหนื่อยหน่ายกับสายตาของหญิงสาวที่มองด้วยความปลาบปลื้ม ด้วยเหตุที่เอคโค่สามารถพูดได้เพียงคำพูดสุดท้ายของคนที่มาคุยกับเธอด้วย นาร์ซิสซัสจึงรำคาญเพราะคุยกันไม่รู้เรื่องสักที เลยออกปากไล่นางให้ไปไกลๆ อย่างไม่ไยดี

นางไม้เอคโค่รีบหนีออกจากป่าพร้อมน้ำตานองหน้า ไปซ่อนตัวพักรักษาแผลใจอยู่ในถ้ำเปลี่ยวกลางหุบเขาคนเดียว เนื้อหนังที่เคยเปล่งปลั่งก็ค่อยๆ สลายไป กระดูกก็กลายเป็นก้อนหิน ยังคงเหลือเป็นอนุสรณ์ก็คือเสียงสะท้อนที่เราได้ยิน จึงเรียกกันว่าเสียงเอคโค่จนถึงทุกวันนี้

ฝ่ายนาร์ซิสซัสยังหลงระเริงกับความหล่อของตนต่อไป วันๆ ไม่สนใจอะไรนอกจากเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและทรงผม เดินทางมาถึงบทสรุปเมื่อเทพีอาร์ทิมิสอดรนทนไม่ไหว สาปให้นาร์ซิสซัสต้องพบกับจุดจบอันน่าเศร้า ซึ่งจุดนี้บางตำนานก็บอกว่าเป็นคำสวดอ้อนวอนของหนึ่งในบรรดาแฟนคลับที่โดนหักอก ที่ขอให้นาร์ซิสซัสพบกับรักที่ไม่มีวันสมหวังดูบ้าง โดยสาปให้เค้าตกหลุมรักตัวเอง!

วันหนึ่งเมื่อนาร์ซิสซัสเดินทางมาถึงสระน้ำกลางป่าลึกซึ่งไม่เคยมีใครเดินทางมาถึง ชายหนุ่มรูปงามผู้เหนื่อยอ่อนทรุดตัวลงหวังจะวักน้ำขึ้นดื่ม แต่แล้วเขาก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งสะท้อนกลับมาโดยหารู้ไม่ว่าเป็นเงาของตนเอง นาร์ซิสซัสหลงรักเงาสะท้อนของตนเองจนหมดใจ เขาไม่เคยเห็นใครงดงามหมดจดและคู่ควรกับเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ทุกครั้งที่นาร์ซิสซัสเอื้อมมือคว้าจับเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ มันก็เลือนหายไป แต่เมื่อน้ำสงบนิ่ง ใบหน้างดงามนั้นก็กลับมา ราวแกล้งเขาให้พบกับความทุรนทุราย นาร์ซิสซัสไม่ยอมกินไม่ยอมนอน เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ จ้องมองเงาตัวเองทุกคืนวัน ในที่สุดหนุ่มรูปงามก็จากโลกนี้ไปด้วยหัวใจที่แตกสลายเหมือนกับที่เขาเคยทำไว้กับทุกคนที่หลงรักเขาในอดีต เทพีแห่งความรักแอฟโฟร์ไดทิชเกิดความสงสารขึ้นมา จึงเสกร่างของเขาให้กลายเป็นดอกไม้เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

บางตำนานบอกว่านาร์ซิสซัสเจ็บปวดจากรักที่ไม่สมหวังจนต้องใช้มีดล่าสัตว์ปลิดชีพตัวเองที่ริมน้ำนั้น บ้างก็ว่าเขาใช้ผืนผ้าตีตัวเองจนถึงแก่ความตาย และดวงวิญญาณของเขาต้องเร่รอ่นอยู่ในชั้นภูมิที่มืดมิดที่สุด และว่ากันว่า ณ แม่น้ำสติกซ์ (Styx) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างยมโลกกับโลกมนุษย์นั้น วิญญาณของนาร์ซิสซัสก็ยังเฝ้าก้มมองดูเงาของตัวเองอยู่ไม่เลิกรา

นอกจากคำว่านาร์ซิสซัสจะถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกบุคลิกภาพของคนหลงตัวเองแล้ว ยังเป็นชื่อของดอกไม้ป่าซึ่งมักขึ้นอยู่ริมลำธาร จะงดงามเป็นพิเศษตามริมสระที่เงียบสงัดห่างไกลจากผู้คน บางคนก็เรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า "ดอกแดฟโฟดิล" ค่ะ

หลงตัวเองน่ะหลงได้ แต่หลงกันให้พอหาทางออกได้แล้วกัน อย่าให้เหมือนเทพหนุ่มนาร์ซิสซัสเค้าเลยค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

หญิงสาวกับตำนานแห่งความงดงาม

ความงามแห่งเรือนร่าง เป็นเหมือนด่านแรกที่เมื่อผู้ใดได้พบเห็นเป็นต้องตรึงตาตรึงใจ และความงามก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมาทุกยุคทุกสมัย ฉะนั้นมารื้อฟื้นเรื่องความงามแบบแซบๆ กันอีกสักครั้ง มาดูเรื่องราวของหญิงสาวผู้เลอโฉมแห่งตำนานไปพร้อมๆ กันดีกว่าค่า

ถ้าจะพูดถึงองค์เทพีแห่งความงามในตำนานกรีกอันเลื่องชื่อ หลายคนต้องเคยได้ยินชื่อของเทพีวีนัส หรืออีกชื่อคือ อโฟรไดท์ ซึ่งเป็นเทพีแห่งเทพปกรณัมโรมัน ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์ด้านความรักและความงาม โดยมีตำนานเล่าขานกันมาว่าพระนางเกิดในทะเลใกล้เกาะไซเธอรา และถูกคลื่นซัดไปยังเกาะไซปรัส แต่บางตำราว่าเป็นธิดาของเทพซุสที่เกิดจากนางอัปสรไดโอนี แต่ข้อมูลที่เด่นชัดและตรงกันมากที่สุดก็คือว่าพระนางมีความงดงามที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ทั้งรูปโฉมของพระนางที่สามารถสะกดใจผู้ชายทุกคนได้ภายในพริบตาแรกที่แค่เพียงมองเห็น ทรงมีพฤกษาประจำองค์คือต้นเมอร์เทิล และมีสัตว์เลี้ยงเป็นนก บ้างก็ว่าเป็นนกเขา บ้างก็ว่าเป็นหงส์ แล้วแต่จะปรารถนาให้เหมาะกับความงามของพระองค์ที่มีมาตามความเชื่ออันยาวนาน

ส่วนเทพีแห่งความงามตามตำนานในศาสนาฮินดู คือพระมหาลักษมี รูปเคารพของพระลักษมีนั้นนอกจากจะพบในศาสนสถานของศาสนาฮินดูแล้ว ยังพบในศาสนสถานของศาสนาเชนและศาสนาพุทธในบางแห่งอีกด้วย พระลักษมีนั้นมีความคล้ายคลึงกับเทพีวีนัส โดยที่ทั้งสองพระองค์ถือกำเนิดจากมหาสมุทรเหมือนกัน เป็นตัวแทนของความสวยงามเหมือนกัน พระลักษมีทรงเป็นชายาของพระวิษณุ เมื่อพระวิษณุได้อวตารเป็นพระราม พระลักษมีก็ได้อวตารตามไปเป็นนางสีดา และเมื่อพระวิษณุอวตารเป็นพระกฤษณะ พระลักษมีก็ได้อวตารเป็นพระนางรัตตะ และพระองค์ทรงมีพระรูปโฉมที่งดงามจนเป็นที่กล่าวขานกันมาช้านาน

หญิงสาวที่ถูกขนานนามเรื่องความงดงามของชาวหริภุญชัยก็คือ พระนางจามเทวี เป็นราชธิดาราชวงศ์ปฐมกษัตริย์ลพบุรี พระนางจามเทวีทรงเป็นยอดหญิงผู้กล้าหาญและเสียสละพระองค์ปกครองเมืองหริภุญชัย ปัจจุบันคือจังหวัดลำพูน ซึ่งประวัติศาสตร์ของพระนางจามเทวีมีความเกี่ยวของกับวัดพระธาตุลำปางหลวงมากมาย ความงดงามในพระรูปแห่งพระองค์หญิงจามเทวีนั้นเป็นที่เล่าลือกันว่าไม่มีหญิงใดจะทัดเทียมทั้งสิ้น ดังมีบรรยายไว้ในตำนานว่า ดวงพระพักตร์เป็นรูปไข่ พระเนตรดำซึ้งเป็นแวววาวและต้องผู้ใดแล้วดลผู้นั้นให้งงงวยไปด้วยพิษเสน่หา พระขนงโก่งเรียวยาวประดุจคันธนูขณะน้าวสาย พระนาสิกโด่งคมสันรับกับพระพักตร์ ริมพระโอษฐ์แดงระเรื่อดุจชาดป้าย พระทนต์เรียบขาวสะอาดเป็นเงางามดุจไข่มุก ขณะยุรยาตรพระวรกายอันอ่อนไหวให้ชวนพิศ เวลาก้าวพระบาทนั้นประดุจพระนางหงส์เมื่อเยื้องย่างกราย พระวรกายหอมดังกลิ่นดอกบัวหลวง หาสตรีใดเทียบมิได้

ส่วนทูตความงามของผู้หญิงในยุคนี้คงต้องยกให้กับดัชเชสส์แห่งเคมบริดจ์ อย่าง 'เคท มิลเดินตัน' เพราะเธอมาแรงจนผู้หญิงหลายคนต้องหลีกทางให้ ทั้งรูปโฉมและฐานะทางสังคมที่สุดแสนจะเพอร์เฟค 'เคท มิลเดินตัน' หรือ เฮอร์รอยัลไฮนิส เจ้าหญิงวิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป ลูอิส ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เคาน์เตสแห่งสแตรตเฮิร์น บาเธอนัสแห่งแคร์ริกเฟอร์กัส หรือเรียกโดยย่อว่า 'แคเธอริน' ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ หรือพระนามเมื่อแรกเกิดคือ 'แคเธอริน อิลิซะเบธ มิดเดิลตัล' หรือ 'เคท มิดเดิลตัล' ทรงเป็นพระชายาใน 'เจ้าชายวิลเลียม' ดยุกแห่งเคมบริดจ์ โดยสองพระองค์ได้เข้าพระราชพิธีเสกสมรสในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2554 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ หลังพระราชพิธีเสร็จสิ้นพระองค์ทรงได้รับพระราชทานพระอิสริยยศเป็นดัชเชสแห่งเคมบริดจ์

สุดท้ายคือผู้หญิงแห่งความงามประจำปีนี้ ล่าสุดเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานิตยสารสำหรับสุภาพบุรุษฉบับหนึ่งของประเทศอังกฤษได้มีการจัดอันดับ 'หญิงสวยที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก ประจำปี 2012' โดยอันดับหนึ่งที่เหล่าบรรดาชายหนุ่มทั่วทุกมุมโลกโหวตผ่านทางเวว็บไซต์ก็ตกเป็นของ 'ทูลิซา คอนโตสตาฟลอส' นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงสาวชาวอังกฤษเชื้อสายกรีก-ไอริช วัย 24 ปี ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่หนุ่มๆ โหวตให้เธอเป็นสาวสวยเซ็กซี่ที่สุด เพราะเธอทั้งรูปร่างดี หน้าตาสะสวยงดงาม มีเสน่ห์น่าดึงดูดแถมยังมากความสามารถ เรียกว่าสวยมีสมองจนหนุ่มๆ ต้องยอมสยบและยกให้เธอเป็นเจ้าของตำแหน่งนี้แต่โดยดี

ความงดงามแห่งรูปกายภายนอกไม่มีใครไม่ปรารถนา หากแต่ปล่อยให้ความงดงามนี้ปรากฏขึ้นในจิตใจ ความงดงามนั้นก็จะอยู่กับคุณไปจนตราบชั่วนิรันดร์กาล

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

เสน่ห์ร้าย Medusa อย่าจ้องตาของเธอ

แม้ว่าดวงตาจะเป็นเสน่ห์ของหญิงสาวที่จะใช้ดึงดูดใจชายหนุ่ม แต่เราเตือนคุณแล้วนะคะว่าอย่าได้เผลอจ้องตามอง 'เมดูซ่า' เด็ดขาด ถ้าอยากรู้ว่าทำไม ตามมาเลยค่ะเราจะเล่าให้ฟัง

ในตำนานของกรีกนั้น 'เมดูซ่า' (Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าหรือจ้องตาของเธอคนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก

เมดูซ่าเป็นลูกสาวของเทพแห่งท้องทะเลฟอซิสและนางซีโต นางถือเป็นหลานของเทพีไกอาและเทพพอนทัส มีพี่น้องคือ สเธโน ยูริอาลี และกราเอีย เรื่องเริ่มขึ้นจากเพอร์ซิอุสวีรบุรุษอีกผู้หนึ่งของชาวกรีก เพอร์ซิอุสได้รับคำสั่งจากกษัตริย์ใจร้ายที่พยายามหาทางกำจัดเขาเพื่อจะได้แต่งงานกับมารดาของเขา โดยให้ไปสังหารเมดูซ่าซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องของสามพี่น้องตระกูลกอร์กอน เล่ากันว่าครั้งหนึ่งเมดูซ่าเคยเป็นสาวงาม แต่เพราะโดนโพไซดอน เทพแห่งท้องทะเลขืนใจในวิหารของเทพีอธีนา เทพีอธีนาจึงกล่าวหาว่าเมดูซ่าลบหลู่นาง ดังนั้นนางจึงโดนสาปให้กลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ มีผมเป็นงู และมีดวงตาเป็นอำนาจลึกลับ หากผู้ใดจ้องมองจะกลายเป็นหินทันที เชื่อกันว่าบรรดารูปปั้นหินชายและหญิงจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดตามแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นส่วนหนึ่งของผู้โชคร้ายที่มาพบเห็นเมดูซ่านั่นเอง

ในบรรดาสามพี่น้องตระกูลกอร์กอนนี้ มีเพียงเมดูซ่าเท่านั้นที่ไม่เป็นอมตะ คือถูกฆ่าตายได้ แต่นับเป็นเรื่องที่ยากที่จะมีใครทำได้โดยไม่กลายเป็นหินเสียก่อน ทั้งสามอาศัยอยู่ในถ้ำลึกบนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ถ้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยหินจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งนั้นเคยเป็นมนุษย์และสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจ เมื่อเพอร์ซิอุสได้รับคำสั่งให้ไปกำจัดเมดูซ่า เขาจำเป็นต้องหาที่อยู่ของนางเสียก่อน เพอร์ซิอุสจึงไปถามจากหญิงชราสามคนที่มีตาเพียงดวงเดียว ดวงตานี้มีอำนาจมองเห็นไกลทั่วโลก ในขณะที่หญิงชราทั้งสามถกเถียงกันเพื่อจะแย่งดวงตานี้มาใช้ แต่เพอร์ซิอุสก็แอบขโมยดวงตาไปทำให้ทั้งสามมองไม่เห็น หญิงชราทั้งสามจึงจำเป็นต้องบอกที่อยู่ของเมดูซ่าให้แก่เพอร์ซิอุสเพื่อแลกกับการดำรงชีวิตของพวกตน

จากนั้นเพอร์ซิอุสจึงเดินทางไปยังที่อยู่ของเมดูซ่า ซึ่งเขามีเทพเฮอร์เมสและเทพอธีนาคอยให้ความช่วยเหลือ โดยมอบดาบวิเศษพร้อมโล่เอจีส หมวกล่องหน รองเท้าติดปีก และย่ามวิเศษ ให้เขานำติดตัวไปด้วย คืนหนึ่งในขณะที่เมดูซ่ากำลังหลับสนิท เพอร์ซิอุสแอบเข้าไปในถ้ำ เขาใช้โล่ที่ขัดเป็นเงาราวกระจกส่องดูเงาสะท้อนของเมดูซ่าเพื่อหลีกเลี่ยงการมองของนางโดยตรง จากนั้นเขารีบใช้ดาบวิเศษตัดศีรษะของนางแล้วโยนใส่ลงในย่ามวิเศษ

ทันทีที่หยดเลือดหลั่งรินออกมาจากบาดแผลของเมดูซ่า เพกาซัส ม้ามีปีกสีขาวก็ถือกำเนิดขึ้นมา สองพี่น้องของเมดูซ่าซึ่งเป็นอมตะ พยายามจะทำร้ายเพอร์ซิอุส แต่เขาใช้หมวกล่องหนและรองเท้าติดปีกช่วยให้ตนเองหลบหลีกออกไปได้ เมื่อเพอร์ซิอุสกลับไปถึงเมืองของกษัตริย์ใจร้ายที่เป็นผู้มอบหมายให้ไปกำจัดเมดูซ่า เขามอบศีรษะของเมดูซ่าให้แก่กษัตริย์พระองค์นั้น ซึ่งทำให้พระองค์กลายเป็นหินไปในทันทีที่ทอดพระเนตร

ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่าเส้นผมที่เป็นงูของเมดูซ่านี้สามารถป้องกันการปองร้ายของเหล่าปีศาจได้เป็นอย่างดี ในภายหลังเพอร์ซิอุสได้นำศีรษะของเมดูซ่าถวายแด่เทพีอธีนาผู้ช่วยเหลือเขามาตั้งแต่แรก เทพีอธีนานำเพกาซัสไปยังยอดเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นสถานที่พำนักของเหล่าเทพโอลิมเปียนและมอบให้อยู่ในการดูแลของเทพธิดามิวส์ทั้งเก้าองค์ซึ่งเป็นเหล่าเทพธิดาผู้ดลใจให้ความคิดสร้างสรรค์แก่นักศิลปะทั้งมวลนั่นเองค่ะ

แค่คิดก็แอบขนลุกเบาๆ แล้วค่ะ แค่จ้องมองก็ทำให้เป็นหินได้ ถ้าเจ้เป็นเมดูซ่าคงเซ็งแย่ เพราะเจ้คงอดส่งสายตาปิ๊งๆ ให้หนุ่มๆ แน่เลยอะค่ะ อิอิ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on