Written by on

การโยนช่อดอกไม้ในพิธีแต่งงาน

การแต่งงานคือความฝันอันสูงสุดของหญิงสาวหลายๆ คน อาจเป็นเพราะชุดเจ้าสาวที่ดูสวยหรูราวกับเจ้าหญิง และพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ภายในงานอบอวลไปด้วยความรัก และภายในงานเจ๊มั่นใจว่าต้องมีสาวโสดหลายคนที่เข้าไปร่วมงานเป็นสักขีพยานรัก และตั้งตารอธรรมเนียมการโยนช่อดอกไม้หลังพิธีกรรมเสร็จสิ้นกันอย่างแน่นอน

ตามธรรมเนียมพิธีแต่งงานของชาวตะวันตก หลังจากเสร็จพิธีเจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ เพื่อให้แขกที่เป็นสาวโสดแย่งกันรับ หากสาวคนใดเก็บได้จะถือว่าเป็นผู้โชคดีที่จะมีข่าวดีได้แต่งงานในเร็ววัน แต่ในปัจจุบันเจ้าสาวชาวตะวันตกไม่ค่อยนิยมโยนช่อดอกไม้แล้วด้วยเหตุผลที่หลากหลายเช่น อยากเก็บไว้เอง เพราะเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต เจ้าสาวบางคนจะมอบให้กับแม่เก็บรักษาไว้ หรือนำไปวางที่หน้าหลุมศพของคุณย่าหรือคุณยายที่ล่วงลับ

ประวัติความเป็นมาของการโยนช่อดอกไม้

การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาวเป็นประเพณีทั่วทั้งทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือมีที่มาตั้งแต่สมัยยุโรปยุคกลาง (ค.ศ.400-476 ถึง ค.ศ.1453-1517 หรือประมาณ 1,600-500 ปีที่แล้ว) ช่วงแรกเจ้าสาวไม่ได้คิดว่าจะต้องใส่ชุดแต่งงานอีก และชุดแต่งงานก็ถือเป็นเครื่องรางนำโชคสำหรับหญิงคนอื่นเพื่อสร้างความเจริญเติบโตของครอบครัว เมื่อจบพิธีแต่งงานจะยกชุดให้คนอื่น และสาวโสดทั้งหลายต่างก็อยากได้ชุดแต่งงานมาครอบครอง จึงไล่จับเจ้าสาวและฉีกชุดเป็นชิ้นๆ จนรุ่งริ่ง เมื่อเวลาผ่านไปชุดแต่งงานมีราคาสูงขึ้นและเริ่มมีประเพณีที่จะเก็บชุดแต่งงานไว้เพื่อเป็นของที่ระลึก หรือเพื่อให้ลูกสาวได้ใช้ในวันแต่งงานข้างหน้าเพื่อเป็นการป้องกันแขกเหรื่อฉีกชุดแต่งงาน เจ้าสาวทั้งหลายจึงเริ่มที่จะโยนสิ่งอื่นๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หนึ่งในนั้นก็คือยางรัดถุงน่อง ต่อมาช่อดอกไม้เป็นสิ่งที่นิยมจนเป็นประเพณีมากที่สุด ซึ่งช่อดอกไม้เหมาะสมมากเพราะดอกไม้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเจริญเติบโต และดอกไม้ก็ต้องเหี่ยวเป็นธรรมดา เจ้าสาวจึงไม่คิดที่จะเก็บไว้

นอกจากนี้การโยนช่อดอกไม้ยังปลอดภัยกว่าการโยนยางรัดถุงน่องอีกด้วย เพราะแขกเหรื่อที่ดื้อด้านและไม่มีความอดทนบางคน ถึงกับพยายามที่จะเอายางรัดถุงน่องจากเจ้าสาวในขณะที่เจ้าสาวยังใส่อยู่เลย คู่บ่าวสาวสมัยใหม่บางคู่ไม่ชอบประเพณีการโยนช่อดอกไม้และหากไม่ดัดแปลงบ้างก็จะงดไปเลย

การโยนช่อดอกไม้สามารถสร้างความอึดอัดใจให้กับแขกผู้หญิงที่ประสงค์จะไม่แต่งงานอยู่แล้ว หรือแขกที่ไม่ชอบเป็นจุดเด่นด้วยธรรมเนียมเช่นนี้ อีกทั้งการแย่งกันรับก็สร้างความวุ่นวายและความโกลาหลได้ด้วย เจ้าสาวบางคนเตรียมการเอาไว้ก่อน โดยบอกให้เพื่อนเจ้าสาวหรือเพื่อนที่หมั้นแล้วมารับช่อดอกไม้ นอกจากนี้บางคนเลือกที่จะมอบช่อดอกไม้เล็กๆ ให้กับเพื่อนเจ้าสาวแต่ละคน หรือมอบดอกไม้จากช่อดอกไม้ใหญ่ให้กับแขกที่เป็นผู้หญิงทุกคนคนละดอก

ความหมายของช่อดอกไม้เจ้าสาว

นอกจากชุดเจ้าสาวที่มีความสำคัญมากๆ สำหรับเจ้าสาวแล้ว ช่อดอกไม้ก็เป็นอะไรที่สำคัญไม่แพ้กัน สาวๆ รู้กันบ้างมั้ยคะว่าช่อดอกไม้ที่ใช้ดอกไม้แต่ละชนิดก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป ใครชื่นชอบดอกไม้แบบไหนและชอบความหมายที่ดีๆ ของดอกอะไร ก็เลือกดูได้เลยค่ะ

  • ช่อดอกกุหลาบ หมายถึง ความรักอันโรแมนติก ความสวยงาม เสน่ห์ดึงดูดและรักแท้
  • ช่อดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วาลเล่ย์ หมายถึง ความสุขของเจ้าสาวและเส้นทางที่จะนำไปพบความสุข เหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์
  • ช่อดอกคาลล่าลิลลี่ หมายถึง ความหรูหราสง่างามของเจ้าสาว ซึ่งจะโดดเด่นตราตรึงอยู่ในใจของเจ้าบ่าวตลอดไป
  • ช่อดอกทิวลิป หมายถึง ตัวแทนของความรักที่เต็มเปี่ยมระหว่างคู่สมรส และแทนความสุขสดใหม่ของความรักตลอดไป
  • ช่อดอกเรนันคูลัส หมาย การตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้งของคู่บ่าวสาว

แหม!! ก็ช่อดอกไม้ในพิธีแต่งงานมันเป็นอะไรที่โรแมนติ๊ก..โรแมนติก จะมีสาวคนไหนล่ะค่ะที่จะไม่ปรี่เข้าไปรับช่อดอกไม้ของเจ้าสาวถึงบางคนจะยังไม่มีคู่ชู้ชื่นอยู่ข้างกาย แต่ได้ช่อดอกไม้เอาไว้ให้อุ่นใจว่าเราอาจจะได้แต่งงานเป็นรายต่อไปก็สบายใจดีเนอะ อิอิ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ละครบัลเล่ต์จีเซลล์

การแสดงบัลเล่ต์เป็นการแสดงที่งดงามถูกใจเจ๊มาตลอด ตอนเด็กๆ เคยฝันอยากจะเป็นนักเต้นบัลเล่ต์เหลือเกิน แต่หุ่นเจ๊นี่มันช่างไม่อำนวยเอาเสียเลย วันนี้เจ๊จึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับ จีเซลล์' (Giselle) นิยายรักของหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดผ่านการแสดงบัลเล่ต์มาเล่าสู่คุณผู้อ่านทุกคน พร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะว่าความรักของจีเซลล์นั้นจะยิ่งใหญ่น่าประทับใจแค่ไหน

ละครบัลเล่ต์ จีเซลล์ จีเซลล์ (Giselle) เป็นบัลเล่ต์ที่มีความยาว 2 องค์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทกวีของ ?ไฮน์ริช ไฮน์' กวีชาวเยอรมันคนสำคัญ และจากผลงานของ ?วิกตอร์ อูโก' กวีชาวฝรั่งเศส บัลเล่ต์เรื่องนี้ออกแสดงรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1841 ที่ Ballet de l'Opera National de Paris ปารีส บทจีเซลล์นำแสดงโดย ?Carlotta Grisi' ต่อมาคณะอิมพีเรียลบัลเล่ต์ของรัสเซียได้นำกลับมาแสดงใหม่ในปี ค.ศ. 1884,1899 และ 1903

เรื่องราวของจีเซลล์ จีเซลล์เป็นเด็กสาวที่อาศัยอยู่กับแม่ในไร่องุ่นแถบแคว้นไรน์แลนด์ วันหนึ่งเธอได้พบกับดยุคอัลเบรชต์แห่งซิเลเซีย ที่กำลังจะแต่งงานกับเจ้าหญิงบาธิลด์ ธิดาของเจ้าชายแห่งฮุสตัน และได้ปลอมตัวเป็นชาวบ้านชื่อรอยส์เพื่อออกเที่ยวเตร่ จีเซลล์ตกหลุมรักรอยส์ตั้งแต่แรกพบทั้งที่ถูกห้ามปรามจากเพื่อนชายและแม่

ยามเมื่ออยู่ในห้วงแห่งความรักจีเซลล์เฝ้าแต่คิดถึงชายหนุ่ม เธอหยิบดอกเดซีมาเด็ดกลีบออกทีละกลีบ เพื่อเสี่ยงทายว่ารอยส์รักและจริงใจต่อเธอหรือไม่ ต่อมาเมื่อเธอรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นบุคคลชั้นสูงที่กำลังจะแต่งงาน เธอเสียชีวิตลงด้วยหัวใจที่แตกสลายเมื่อทราบข่าวร้าย อัลเบรชต์ได้ผละจากงานแต่งงานและติดตามหาหลุมศพของจีเซลล์ เพื่อพร่ำพรรณนาความรักที่มีต่อเธอ อัลเบรชต์ถูกตามล่าเอาชีวิตโดยปิสาจร้ายชื่อไมร์ธา ราชินีแห่งวิลิสที่มีแต่ความเกลียดชัง วิญญาณของจีเวลล์จึงปรากฏตัวขึ้นเพื่อปกป้องชีวิตของคนรักและจากไปในที่สุด

สิ่งที่จีเซลล์ได้สอนเรา จีเซลล์เป็นหญิงสาวที่มีความรักที่ยิ่งใหญ่คนนึงเลยทีเดียว แม้ว่าเธอจะต้องผิดหวังกับความรักและเสียใจจนตายแต่เธอก็ไม่เคยคิดแค้นเจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอ กลับกันเธอกลับพยายามปกป้องเจ้าชายเมื่อเผชิญอันตรายอย่างเต็มที่ เธอทำเพื่อคนที่รักโดยไม่เรียกร้องให้คนที่เธอรักมารักเธอกลับ ความรักที่ยิ่งใหญ่และเสียสละแบบนี้เป็นความรักที่ทุกคนควรดูไว้เป็นแบบอย่างค่ะ

แต่น่าเสียใจเหลือเกินที่ในสมัยนี้เจ๊เห็นแต่หญิงสาวที่เรียกร้องทุกอย่างจากคนที่ตนรัก อยากได้การดูแล อยากได้รักกลับมา และเมื่อไม่ได้ก็จะคิดแค้นพยาบาท ทำทุกหนทางให้คนคนนั้นต้องเจ็บแบบที่ตนเจ็บ เจ๊อยากให้สาวๆ ดูจีเซลล์เป็นแบบอย่างในเรื่องของการเสียสละและทำเพื่อคนรักนะคะ ถ้าเค้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเราก็ปล่อยเค้าไป อย่าไปทำร้ายกันเลยค่ะ เจ๊ไม่เคยเห็นใครที่เจ้าคิดเจ้าแค้นมีชีวิตได้อย่างมีความสุขสักคนเลยค่ะ

ความรักนั้นเป้ฯสิ่งที่สวยงามอยู่เสมอ มนุษย์ต่างหากที่เข้าไปทำให้ความรักออกมาเลวร้าย จงรักกันด้วยใจจริงที่บริสุทธิ์และหวังดี แล้วคุณก็จะเห็นว่าความรักนั้นสวยงามเพียงใดค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานแม่มดขาว

ในเดือนตุลาคมของทุกปีจะมีวันสำคัญอยู่วันนึงค่ะที่เจ๊ปลืมม๊ากมาก เพราะจะได้แต่งตัวเป็นนางฟ้านางมารในปาร์ตี้แฟนซีให้สุดเหวี่ยง ใช่ค่ะเจ๊กำลังพูดถึงวันฮาโลวีน (Halloween) สิ่งแรกๆ ที่เราจะนึกถึงในวันฮาโลวีนนอกจากฟักทองสีส้มๆ ลูกใหญ่ๆ แล้ว เจ๊ยังนึกถึงผู้หญิงในตำนานอย่างแม่มดด้วยค่ะ วันนี้เจ๊จะขอเล่าถึงเรื่องราวของแม่มดขาว ผู้ศรัทธาในสิ่งเหนือธรรมชาติ

นิยามความเป็นแม่มด คำว่า "แม่มด" ในภาษาอังกฤษคือ "Witch" แผลงมาจากคำว่า "wit" ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง Toknow หรือ หยั่งรู้,ต้องการรู้ ดังนั้นแม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ในศาสตร์ที่ลึกลับเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้าย แม่มดโดยทั่วไปนั้นจะแบ่งเป็น 2 ประเภทค่ะ คือแม่มดขาวและแม่มดดำ โดยวิธีที่เค้าแบ่งเนี่ยจะไม่ได้แบ่งตามสีเสื้อผ้าที่ใส่หรือสีผิวแต่อย่างใด การแบ่งแม่มดขาวและแม่มดดำนั้นแบ่งจากลักษณะของเวทมนต์ที่แม่มดใช้

แม่มดขาว ตามคำจำกัดความของแม่มดในแบบตะวันตก แม่มดขาวคือแม่มดที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ (Supreme being) หรือมักจะอาศัยความช่วยเหลือจากนางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม แม่มดขาวนั้นจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง ในบางครั้งเราก็จะเห็นแม่มดขาวก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ขึ้นมา เพื่อชี้นำชุมชนให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีในชีวิต ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อจะลองวิชาเท่านั้น

แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้วิชาด้วยตัวเอง ทั้งจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือจากคัมภีร์โบราณทางศาสนา มีแต่แม่มดขาวบางส่วนเท่านั้นที่จะถ่ายทอดวิชาให้แก่ศิษย์ ซึ่งถือเป็นส่วนน้อยมากๆ ค่ะ

ชมรมแม่มด แม่มดนั้นจะอยู่กันโดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อยเรียกว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่จะเป็นได้แค่สมาชิกสมทบ ต้องรอจนกว่าจะมีสมาชิกถาวรตายลงก่อนจึงจะได้ขึ้นมาเป็นสมาชิกถาวร โดยในกลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คน เพราะเลข 13 เป็นเลขสวยของผู้ที่บูชาความมืด ชมรมแม่มดแต่ละกลุ่มจะชุมนุมกับแม่มดกลุ่มอื่นๆ ปีละ 4 ครั้ง ได้แก่วัน Candlemas (2 ก.พ.), วัน Walpergist Night (1 พ.ค.) วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ, วัน Rammas Day (วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี) และครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปีคือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮาโลวีน (Halloween) จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 วันที่มาชุมนุมกันล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น

ภาพพจน์ของแม่มด ในตำนานของแม่มดโดยเฉพาะในสมัยกรีกโบราณซึ่งเป็นยุคที่เทพนิยายเฟื่องฟู ในสมัยนั้นฐานะของพ่อมดแม่มดเป็นผู้ที่ได้รับการนับถือ โดยยกย่องให้เป็นผู้ที่มีความรู้ เป็นผู้ให้ความรู้แก่ผู้อื่น, เป็นหมอรักษาโรค, เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ และเป็นสื่อกลางกับเทพเจ้าอีกด้วย

แต่ต่อมาภาพพจน์ของแม่มดกลับตกต่ำลงยิ่งผ่านไปหลายทศวรรษ ความคิดเกี่ยวกับแม่มดก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว โดยเฉพาะเมื่อ "ฮอเรซ" กวีชาวโรมันได้เผยแพร่งานเขียนของเขาที่เขียนถึง แม่มด 2 ตนชื่อ "คาดิเนีย" และ "ซากาน่า" ว่า "แม่มดทั้งสองเป็นหญิงชราน่าเกลียดน่ากลัว มีฟันยื่น คางงุ้ม ใบหน้าขาวซีด กำลังเก็บสมุนไพรในป่าช้าและฉกเนื้อลูกแกะออกเป็นชิ้นๆ ด้วยมือเปล่า แม่มดทั้งสองคนกำลังทำคุณไสยด้วยการปั้นเทียนเป็นรูปของเหยื่อ แล้ววิงวอนให้ปีศาจทั้งหลายมาทำร้ายศัตรูของนางแม่มดทั้งสอง จากนั้นงูและสุนัขนรกก็ปรากฏตัวขึ้นมา ภูตผีปีศาจส่งเสียงโหยหวน รูปปั้นขี้ผึ้งนั้นก็ถูกโยนลงไปในกองไฟ" จากภาพลักษณ์นี้จึงทำให้เกิดภาพพจน์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่มดขึ้น และติดตรึงใจทุกคนมาจนถึงทุกวันนี้

น่าเสียดายจริงๆ ค่ะที่หน้ากระดาษหมดเสียก่อน จึงเล่าได้แค่เรื่องราวของแม่มดขาวเท่านั้น ยังไงถ้ามีโอกาสเจ๊สัญญาค่ะว่าจะเล่าเรื่องของแม่มดดำต่อแน่นอน รับรองว่าสนุกตื่นเต้นและน่าสนใจไม่แพ้แม่มดขาวเลยค่ะ วันนี้เจ๊ต้องลาไปสั่งตัดชุดแม่มดขาวไปงานปาร์ตี้แฟนซีซะหน่อย สาวๆ คนไหนมีไม้กวาดบ้างคะ เอามาให้เจ๊ยืมหน่อยเร้ว!

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ทำนายฝันเกี่ยวกับผู้หญิง

มีคำพูดหนึ่งที่หนุ่มสาวสมัยนี้จะบอกกันอยู่เสมอๆ ก่อนจะวางสายโทรศัพท์หรือจบการสนทนาในการแชทแล้วไปเข้านอนว่า "ฝันดีค่ะ/ครับ" "ฝันดีนะจ๊ะที่รัก" หรือ "ฝันดีนะจ๊ะที่รักสุดๆ" แล้วหนุ่มๆ สาวๆ ก็จะไปกอดหมอนนอนยิ้มอย่างแฮปปี้ลั้ลลา แต่เรื่องของความฝันนั้นมันควบคุมกันไม่ได้ว่าวันไหนจะฝันดีหรือจะฝันร้าย แต่ด้วยความเชื่อที่มีมาแต่โบราณก็บอกเราได้ว่าสิ่งที่เราฝันนั้นสามารถทำนายอนาคตได้ว่าอย่างไร

ประเภทของความฝัน

ในตำราหนังสือเรียนหลายเล่มก็มีเรื่องนี้สอนไว้ จำได้ว่าเคยเรียนเรื่องความฝันประเภทต่างๆ ในวิชาพระพุทธศาสนาตอน ม.ปลาย ก็จะสรุปได้ประมาณนี้ค่ะ

1. บุรพนิมิต คือ เหตุการณ์ในอดีตหรืออำนาจจิตได้กำหนดให้ฝันเองโดยไม่ได้ตั้งใจ มักเป็นฝันที่เชื่อถือได้ตามสมควร

2. เทพสังหรณ์ คือ เทพยดา วิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้เข้ามาดลใจให้ฝันโดยไม่นึกคิดมาก่อน เป็นฝันที่มักเป็นจริง

3. จิตนิวรณ์ คือ จิตใจคิดเองตามที่คิดหรือตั้งใจไว้ ทำให้ฝันเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการประสงค์ เป็นฝันที่เชื่อถือมิได้

4. ธาตุโขภะ คือ ร่างกายที่ไม่ปกติ เจ็บป่วยทางกาย ทางใจ ทำให้ฝันเพ้อไปโดยไม่รู้ตัว เป็นฝันที่ไร้สาระ

ความฝันเกี่ยวกับผู้หญิง

หนึ่งในหลายๆ ความฝันที่คนเรามักจะฝันถึงกันมากที่สุดคือ ฝันเห็นผู้หญิงหรือฝันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิง ซึ่งการฝันถึงผู้หญิงนั้นมีหลายรูปแบบทั้งเป็นผู้หญิงที่เรารู้จัก ไปจนถึงผู้หญิงแปลกหน้าที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และในแต่ละรูปแบบความฝันก็มีคำทำนายแตกต่างกันไป เรามีคำทำนายความฝันที่เกี่ยวกับผู้หญิงมาทำนายให้ฟังกัน ใครฝันแบบไหนก็ไปดูคำทำนายกันได้เลยค่ะ

  • ฝันว่าได้หญิงเป็นภรรยา : ทำนายว่า จะได้ลาภอันชอบธรรม
  • ฝันว่าหญิงพรหมจารีถือเทียนเข้ามาในบ้านตน : ทำนายว่า ผู้ชายจะได้ลาภยศยิ่งใหญ่ ผู้หญิงโสดจะได้สามี
  • ฝันว่าเอามือขวากอดหญิงสาว : ทำนายว่า จะได้เป็นขุนนาง หรือเป็นใหญ่เป็นโต
  • ฝันว่าเห็นหรือพบหญิงแต่งกายสีแดงทั้งชุด : ทำนายว่า ให้ระวังจะได้รับทุกข์
  • ฝันว่าเห็นหรือพบหญิงแต่งกายสีดำทั้งชุด : ทำนายว่า ให้ระวังศัตรูจะเบียดเบียนทรัพย์เรา
  • ฝันว่าเห็นหรือพบหญิงแต่งกายสีขาวทั้งชุด : ทำนายว่า จะหมดเคราะห์ร้าย หายเจ็บหายไข้
  • ฝันเห็นผู้หญิงปลูกดอกไม้ ไม้ใบ ต้นใหญ่ ต้นเล็ก แต่งสวนหย่อมให้สวยงาม : ทำนายว่า จะมีผู้ช่วยแก้ไขความขัดข้องในกิจการนานาให้ดีขึ้น
  • ฝันว่าหญิงสาวมาหา : ทำนายว่า จะมีลาภ
  • ฝันว่าได้เห็นหญิงมีครรภ์ : ทำนายว่า จะได้รับข่าวดี
  • ฝันเห็นหญิงนุ่งผ้าสวย : ทำนายว่า จะได้รับความสุข
  • ฝันเห็นผู้หญิงขับรถ ขับเรือ แจวเรือ : ทำนายว่า ข่าวดีๆ เกี่ยวกับโครงการธุรกิจใดๆ จะมีจากผู้หญิง
  • ฝันเห็นหญิงเปลือยกาย : ทำนายว่า จะมีลาภจากการพนัน
  • ฝันเห็นหญิงโสเภณีที่ยากจน : ทำนายว่า จะทำงานสำเร็จ
  • ฝันเห็นหญิงโสเภณีที่มั่งมี แต่งตัวงาม : ทำนายว่า จะเจ็บป่วยเล็กน้อย
  • ฝันเห็นผู้หญิง มีผ้าเคียนหัวหรือโพกผ้าคลุมผม : ทำนายว่า จะโดนหลอกลวงให้เสียเงินทองทรัพย์สินอันมีค่า
  • ฝันเห็นหญิงชรา ญาติผู้หญิงสูงอายุที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว : ทำนายว่า จะมีเคราะห์หนัก จะเสียของรักภายในบ้าน หรือแตกร้าวภายในครอบครัว
  • ฝันเห็นผู้หญิงทำความสะอาด หรือกวาดถนนหนทางจนสะอาดตา : ทำนายว่า อาการป่วยไข้จะค่อยๆ หายดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนหายเป็นปกติ

หลายคนที่ได้อ่านคำทำนายเกี่ยวกับหญิงสาวที่ฝันถึงแล้วอาจจะดีใจที่กำลังจะได้โชคได้ลาภ แต่บางคนก็ถึงกับคอตกที่สิ่งที่ฝันถึงนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์โศก อย่าเพิ่งวิตกกังวลหรือหลงระเริงดีใจไปเลยค่ะ เพราะความฝันบอกเหตุนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในชีวิต เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติอยู่เสมอเท่านั้น หากคำทำนายดีก็ทำให้เรามีกำลังใจในการทำดีต่อไป แต่ถ้าคำทำนายร้ายๆ ก็จะช่วยเตือนเราให้ระวังภัยและตั้งมั่นอยู่ในความดี

ขอเพียงแค่ทุกคนหมั่นทำความดี ไม่ว่าจะฝันดีหรือฝันร้าย กรรมดีที่เราทำไว้ก็จะเป็นเครื่องกันภัยให้เราเองค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานนกกระเรียนพันตัวของซาดาโกะ

ช่วงนี้อ่านข่าวเกาเกลาของดาราแล้วรู้สึกปวดตับปวดไตมากเลยค่ะคุณขา สาดโคลนไปใส่ไข่มาให้วุ่นวายกันไปหมด กลายเป็นสงครามน้ำลายกันใหญ่โตเลยก็มี ทำให้นึกถึงตำนานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสงครามและการสูญเสียในสมัยก่อน นั่นคือตำนานนกกระเรียนพันตัวของซาดาโกะค่ะ

กำเนิดการพับนกกระเรียนในญี่ปุ่น ตำนานเรื่องการพับนกกระเรียนนี้ เป็นเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งชื่อ ซาดาโกะ ซาซากิ เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2486 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2488 ขณะที่ซาดาโกะมีอายุ 2 ขวบ เป็นช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินของกองทัพสหรัฐอเมริกาก็ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกลงมาที่เมืองฮิโรชิมา ในตอนนั้นซาดาโกะรอดตายและไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเธอ แต่อีก 10 ปีต่อมา ซาดาโกะเป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ซึ่งเป็นผลมาจากระเบิดนิวเคลียร์นั่นเอง ซาดาโกะเคยฝันอยากเป็นนักวิ่งแต่กลับต้องมาใช้ชีวิตในโรงพยาบาล แต่เธอก็พยายามต่อสู้โรคร้ายนี้มาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนของเธอชื่อ ชิชูโกะ ได้มาเยี่ยม พร้อมกับนำนกกระเรียนที่พับแล้วมามอบแก่ซาดาโกะหนึ่งตัว แล้วก็เล่าเรื่องตำนานนกกระเรียน สึรุ ให้ฟังว่า สึรุเป็นนกศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ความหวัง ความโชคดีและความสุข อีกทั้งยังช่วยป้องกันความเจ็บป่วย เชื่อว่าถ้าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัวแล้วผู้นั้นจะแข็งแรง

ความเพียรพยายามของซาดาโกะ หลังจากนั้นซาดาโกะก็เพียรพยายามพับนกกระเรียนมาตลอดพร้อมกับเขียนคำว่า "สันติภาพ" ไว้บนปีกของนกกระเรียนที่เธอพับทุกตัว เธอทำอย่างนั้นจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ซาดาโกะเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 12 ปี และเธอยังพับนกกระเรียนได้เพียง 644 ตัวเท่านั้น แต่เพื่อนๆ ก็ช่วยกันพับจนครบ 1,000 ตัวแล้วนำไปฝังพร้อมกับร่างของเธอที่สุสาน

อนุสาวรีย์ซาดาโกะอนุสาวรีย์แห่งสันติภาพ ด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ที่เธอมีว่าจะเกิดสันติภาพขึ้นได้บนโลกใบนี้ ทำให้เกิดอนุสาวรีย์ของซาดาโกะขึ้นในบริเวณอนุสรณ์สถานสันติภาพฮิโรชิมา เป็นรูปปั้นของซาดาโกะกำลังยื่นมือขึ้นไปบนฟ้าโดยมือของเธอนั้นถือนกกระเรียนสีทอง ผู้คนทั่วโลกต่างยังคงวนเวียนนำนกกระเรียนมาวางไว้ที่ฐานของอนุสาวรีย์ของซาดาโกะอยู่เสมอ เพราะเธอเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ที่เรียกร้องสันติภาพทั่วโลก

จากวันนั้นถึงวันนี้ของตำนานนกกระเรียน ตำนานของเด็กหญิงซาดาโกะกับการพับนกกระเรียน 1,000 ตัวนั้นมีมายาวนานจนทุกวันนี้ จนกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความเลวร้ายของสงคราม และทำให้การพับนกกระเรียนกระดาษซึ่งเป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นว่าเป็นการอธิษฐานเพื่อให้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องสันติภาพอีกนัยหนึ่งด้วย

เห็นแบบนี้แล้วน่าจะจับบรรดาเหล่าดาราที่ร้อนแรงกันจนวงการบันเทิงเดือดปุดๆ มานั่งพับนกกระเรียนกันสักพันตัว จะได้เข้าใจว่าอยู่กันอย่างสันตินั้นดีที่สุดแล้ว

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

เต้าหู้ก้อนแรก

เต้าหู้ก้อนแรกเกิดขึ้นในประเทศจีน เล่ากันว่าเจ้าชายหลินอัน (พระนัดดาของจักรพรรดิหลิวปังกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ฮั่น) สั่งให้พ่อครัวบดถั่วเหลืองให้เป็นผง แล้วนำไปต้มเป็นน้ำซุป แต่ทรงเกรงว่ารสจะจืดเกินไปจึงโปรดให้พ่อครัวเติมเกลือลงไปปรุงรส เพื่อถวายพระมารดาซึ่งประชวรหนักจนไม่มีแรงที่จะเคี้ยวอาหาร น้ำซุปถั่วเหลืองนั้นค่อยๆ จับตัวข้นเป็นก้อนสีขาวนุ่มๆ เมื่อพระมารดาเสวยแล้วได้เอ่ยชมว่า "อร่อย"

เจ้าชายจึงให้พ่อครัวค้นหาสาเหตุ จึงพบว่าเกลือบางชนิดมีผลทำให้ผงถั่วเหลืองกับน้ำเกาะตัวเป็นที่มาของ "เต้าหู้" ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

Nymphs นางไม้รักซ้อนซ่อนเร้น

ตำนานในสมัยกรีก-โรมัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพยดาไปจนถึงภูตผีปีศาจต่างๆ มากมาย และในวันนี้เจ๊อยากเล่าเรื่องของ Nymphs ให้ฟังค่ะ เพราะ Nymphs เป็นเสมือนตัวแทนของหญิงสาวคนหนึ่งที่สะท้อนผ่านเรื่องราวในตำนานของกรีก-โรมัน ถ้าพร้อมจะฟังเรื่องราวนี้ ขอให้เปิดใจให้กว้างแล้วไปรู้จัก Nymphs กันเลยค่ะ

Nymphs คืออะไร Nymphs (นิมป์) เป็นเหล่านางอัปสรหรือนางไม้ที่มักจะพบเจอในตำนานกรีก-โรมัน รูปลักษณ์ของพวกหล่อนจะเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยสดงดงาม เพราะคำว่า nymph นั้นในภาษากรีกมีความหมายว่า "young woman" ที่แปลว่าสาวแรกรุ่น ดังนั้นนิมป์พวกนี้ก็มีแต่สาวรุ่นๆ ทั้งนั้น นิมป์จะสถิตอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในป่า ต้นไม้ ภูเขา ลำน้ำ หรือแม้กระทั่งมหาสมุทร โดยชื่อของพวกหล่อนจะเป็นตัวกำหนดว่าหล่อนเป็นนิมป์ประเภทอะไร เช่น นิมป์แม่น้ำ นิมป์ลำธาร นิมป์ภูเขา ฯลฯ

ลักษณะรูปร่างและนิสัยใจคอของ Nymphs Nymph เป็นวิญาณธรรมชาติที่มีลักษณะหน้าตารูปร่างที่สวยงามมากๆ มักจะปรากฏกายเป็นผู้หญิงวัยแรกรุ่นหน้าตางดงามอ่อนหวาน มักจะไม่สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ เลย หรือบางตนที่ใส่ก็จะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์น้อยชิ้นมากๆ ปกปิดแค่บางส่วน Nymph ทุกตนจะมีลักษณะพิเศษอีกอย่างคือ พวกเธอมีเสียงที่ไพเราะมากๆ พวกเธอจะชอบร้องเพลง ด้วยน้ำเสียงใสกังวาน จะทำให้ผู้ที่ได้ยินมักสับสนว่าเป็นเสียงเพลงแสนไพเราะหรือเสียงลมพัดใบไม้แกว่งไกวกันแน่และด้วยรูปร่างที่สวยงาม ใบหน้างดงามราวกับภาพวาด และน้ำเสียงที่ไพเราะจึงทำให้พวกเธอถูกหมายปองจากบรรดาเทพและเซนเทอร์ (Centaur) เทพครึ่งคนครึ่งม้า อีกทั้งบรรดาชายหนุ่มที่บังเอิญมาพบพวก Nymph เข้าและหลงรักพวกเธออย่างหัวปักหัวปำเหมือนกับที่หนุ่มๆ เค้าชอบสาวๆ สวยๆ อย่างในปัจจุบันนี่แหละค่ะ Nymph มักจะถูกพบบ่อยๆ กลางฤดูใบไม้ผลิในขณะที่พวกเธอกำลังร้องรำทำเพลงต้อนรับฤดูใบไม้ผลิกันอย่างรื่นเริง ลักษณะนิสัยประจำตัวที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือ พวกเธอจะไร้เดียงสาตลอดกาล และไม่ค่อยประสีประสากับเรื่องใดๆ ดังนั้นบรรดาเทพเจ้าและเทพต่างๆ (โดยเฉพาะเทพผู้ชายทั้งหลาย) จึงมักจะเอ็นดูรักใคร่พวกหล่อนมากๆ เพราะถ้าโกรธขึ้นมาจะด่าว่าให้พวก Nymph เจ็บช้ำ พวกเธอก็ไม่ค่อยโกรธหรือเสียใจ เพราะความไร้เดียงสาของพวกเธอนั่นเอง ขนาดเทพเจ้า Zeus เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังหลงรักพวก Nymph จนหัวปักหัวปำเลยค่ะ และ Nymph ก็ยังเป็นนางไม้รักความสนุกสนานและงานรื่นเริง ดังนั้นจึงมักพบเห็นพวกเธอไปร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงของเทพเจ้าแห่งไวน์ Dionysus อยู่เสมอ

ปัญหาหัวใจของ Nymphs Nymph เกือบทุกตนมักพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความรัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักมาจากรักซ้อนซ่อนเร้นที่พวกเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายทำไว้กับพวกหล่อน และเมื่อความลับแตกพวกหล่อนก็มักเจอศึกหนักเสมอ ส่วนมากฝ่ายตรงข้ามก็น่ากลัวเกินกว่านางไม้เล็กๆ อย่าง Nymph จะจินตนาการได้ ดังเช่น เมื่อครั้งที่เทพเจ้า Zeus แอบไปมีสัมพันธ์สวาทกับเหล่า Nymph แล้วความลับเกิดแตก มหาเทวีแห่งเทพทั้งหลายนาม Hera ก็ออกมาจัดการพวกหล่อนซะย่อยยับเชียวค่ะ เรียกได้ว่าทำเอาเหล่าบรรดา Nymph เจ็บปวดจนใจแทบสลายเลยล่ะค่ะ

Nymphs ในยุคปัจจุบัน ในปัจจุบันนี้ถ้าเรามองสาวๆ รอบตัวเราให้ดี จะพบว่ามีผู้หญิงหลายคนที่ใสซื่อน่ารักไม่ต่างกับ Nymphs ในตำนาน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความรัก ด้วยความที่เด็กสมัยนี้มีความรักเร็ว ทำให้ยังอ่อนประสบการณ์ที่จะมาสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองรู้จักเลือกผู้ชายดีๆ และไม่มีเจ้าของ ถ้าให้เปรียบ Nymphs ในเรื่องความรักแบบง่ายๆ Nymphs ก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเล็กบ้านน้อยของเสี่ยๆ เลยค่ะ หน้าตาต้องสะสวยและซื่อ เชื่อฟังโอวาทของผู้ชายทุกอย่าง และเมื่อถูกบ้านใหญ่จับได้ก็มีงานเข้างานใหญ่เลยล่ะค่ะ

แต่ในชีวิตเราตอนนี้เราเลือกได้ค่ะสาวๆ เราอาจจะสวย อ่อนหวานและน่ารักได้อย่าง Nymphs แต่เราไม่จำเป็นต้องซื่อจนเซ่อให้โดนหลอกไปเป็นน้อยของใครเด็ดขาด สวยหวาน แต่ต้องอาจหาญรักศักดิ์ศรี ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่สวยและมีคุณค่าค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on