รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

ความเชื่อสิ่งไม่เป็นมงคลที่ไม่ควรมีอยู่ในบ้าน


งู : สัญลักษณ์ของความอาฆาต ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะนำมาประดับตกแต่งบ้าน เพราะจะส่งผลให้คนในบ้านจะฝักใฝ่แต่เรื่องโลกีย์และตัณหาราคะ ทำให้มีแต่ความหมองมัวภายในบ้าน

นาฬิกาทราย : ความวุ่นวาย เวลาที่หมุนวนไปมา จะทำให้คนในบ้านต้องเหนื่อยกับภารกิจต่างๆ ที่รีบเร่งจนไม่มีเวลาพักผ่อน

หมี : ตัวขัดจังหวะ ทำให้คนในบ้านพลาดท่าเสียทีและไม่ทันเล่ห์กลของคนอื่น

ม้าลาย : นำความแตกแยก ทำให้คนในบ้านมีความคิดไปคนละทางและไม่เสริมให้โชคลาภเข้าสู่บ้าน

จระเข้ : นำความอับโชค เพราะจระเข้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทำให้มีแต่คนคอยคิดจะมุ่งร้ายกับคุณและคนในครอบครัวอยู่เสมอ

หนู : ความอัปมงคล อันที่จริงหนูเป็นสิ่งสกปรกที่ไม่คู่ควรกับบ้านอยู่แล้ว จึงนำมาซึ่งการถูกหักหลังหรือถูกเอาเปรียบจากคนรอบข้าง ทั้งด้านธุรกิจและเรื่องอื่นๆ

แมว : การถูกเอาเปรียบ ทำให้คนนอกเข้ามาฉกฉวยและแสวงหาผลประโยชน์กับคนในครอบครัว แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงน้องเหมียวนะแต่เป็นตุ๊กตาหรือรูปปั้นแมว อย่านำมาประดับเชียวค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารเรื่องผู้หญิง ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

วิธีเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี

ไม่มีใครชอบโชคร้าย เวลาถูกโชคร้ายตามรังควานคนแต่ละชาติเลยต้องหาทางปัดเป่ากันสุดฤทธิ์ วิธีเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีของชาติไหนจะเปรี้ยวจี๊ดได้ใจมหาชนที่สุดเชิญสาวๆ ให้คะแนนกันได้เลยค่ะ

มีเคราะห์เพราะกระจก ชาวตะวันตกเชื่อว่ากระจกคือสิ่งที่สะท้อนวิญญาณของคนเรา ถ้าใครทำกระจกแตกก็เหมือนทำให้วิญญาณบาดเจ็บ เจ้าของวิญญาณจะต้องดวงตกไป 7 ปีเต็มๆ จะทำงานทำการอะไรก็ไม่รุ่ง แถมไปไหนก็ต้องคอยระวังตัว เพราะดีไม่ดีอุบัติเหตุอาจจะวิ่งมาเสยเอาดื้อๆ
ใครทำกระจกแตกจึงต้องรีบสะเดาะเคราะห์ด้วยการเอาเศษกระจกที่แตกทั้งหมดไปฝัง และตลอดเวลาที่ปฏิบัติการอยู่นั้นก็ต้องเชิดหน้าชูคอเข้าไว้ ห้ามก้มลงมองเศษกระจกในมือเป็นอันขาด ที่สำคัญจะต้องฝังกระจกในตอนกลางคืนที่พระจันทร์กำลังขึ้นเท่านั้น ยิ่งถ้าเป็นคืนเดือนหงายได้ยิ่งดี ดวงจะได้รุ่งพุ่งฉิวเหมือนพระจันทร์เต็มดวง

ไล่โชคร้ายด้วยเกลือ เกลือกับชาวตะวันตกผูกพันกัน เพราะในสมัยโบราณฝรั่งผลิตเกลือเองไม่ได้ ต้องนั่งเรือไปซื้อถึงตะวันออกไกล เกลือเลยกลายเป็นของล้ำค่าที่ควรแก่การเทิดทูนบูชา ฝรั่งเชื่อว่าถ้าใครบังอาจทำเกลือหก โชคร้ายจะมาเคาะประตูบ้าน วิธีเดียวที่จะสะเดาะเคราะห์ได้ก็ด้วยการสาดเกลือเข้าไปในกองไฟเพื่อเผาโชคร้ายที่จะมาเล่นงานให้ไหม้เป็นจุณไป และที่เด็ดดวงกว่านั้นคือฝรั่งสามารถเลือกได้ว่าจะให้โชคร้ายของตัวเองไปตกอยู่ที่ใคร โดยระหว่างที่กำลังเผาเกลือนั้นก็ให้อธิษฐานไปด้วยว่าจะให้โชคร้ายลอยไปหาใคร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะส่งไปให้ศัตรูหรือคนที่กำลังเหม็นขี้หน้ากัน คล้ายๆ กับการเผาพริกเผาเกลือแช่งแบบไทยเรานี่เอง

อาบน้ำล้างซวย ทุกวันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปี ชาวเปอร์โตริกันจะมีเทศกาลสำคัญเรียกว่าเทศกาล "ลา นอช เดอ ซาน ฮวน" (La Noche de San Juan) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักบุญคนสำคัญ และเชื่อกันว่าวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้น้ำในแม่น้ำพลอยได้รับพลังพิเศษไปด้วย ถ้าลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ หรือทะเลตอนเที่ยงคืนของวันที่ 23 มิถุนายน จะช่วยรักษาโรค ชำระล้างความโชคร้าย และนำโชคดีมาให้ ความเชื่อนี้คล้ายกับคนไทยเราที่เชื่อว่าถ้าได้อาบน้ำตอนเที่ยงคืนของวันลอยกระทง ชีวิตจะมีแต่สุขสมหวัง

ค้างคาวบินผ่าน ฝรั่งไม่ค่อยจะพิศวาสเจ้านกมีหูหนูมีปีกตัวนี้เท่าไรนัก เลยเกิดเป็นข่าวเม้าท์ร่ำลือกันว่า ถ้าค้างคาวบินเข้าบ้าน เห็นนกฮูกร้อง 3 ครั้ง เจอผีเสื้อทีเดียว 3 ตัว ได้ยินไก่ขันตอนกลางคืน หรือรูปภาพร่วงลงมาจากที่แขวน ทั้งหมดนี้ถือเป็นอาเพศแปลว่าเจ้าของบ้านนั้นกำลังมีเคราะห์
ส่วนวิธีสะเดาะเคราะห์ก็คือต้องหาทางย้อนเวลากลับไปตอนที่เหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดด้วยการหมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบความโชคร้ายก็จะหายไปเอง

แมวดำเป็นเหตุ ในบรรดาสัตว์ที่ไปเกิดทางซีกโลกตะวันตกทั้งหมด แมวดำจัดว่าเป็นสี่ขาหน้าขนที่อาภัพรักมากที่สุด เพราะฝรั่งทั้งเกลียดทั้งกลัวมันจนไม่มีใครอยากจะเลี้ยง และถ้าแมวดำเดินผ่านหน้าใคร คนๆ นั้นต้องพบกับคลื่นความซวยระลอกใหญ่ชนิดชาตินี้ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด
ทางแก้ก็คือ จะต้องเดินถอยหลังตรงจุดที่แมวเดินผ่านเป็นจำนวน 13 ก้าวเพื่อล้างอาถรรพ์

แก้เคล็ดด้วยโลงศพ เรื่องของโลงศพ ฝรั่งยังไม่ค่อยเชื่อกันนักแต่คนเอเชียเรา เช่น คนไทย คนเกาหลีเชื่อกันมากว่าถ้าดวงตกสุดขีดถึงขั้นชะตาขาด ต้องลงไปนอนในโลงศพแล้วให้พระทำพิธีสวดบังสุกุลให้เป็นการแก้เคล็ดว่าเราได้ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อออกจากโลงก็เท่ากับเป็นคนใหม่ เป็นการต่ออายุและขับไล่โชคร้ายให้หมดไป

งานศพห้ามไป คนไทยและคนจีนจับมือกันเชื่อว่างานศพคือความอัปมงคล จะมีวิญญาณของคนที่เพิ่งตายและวิญญาณเก่าๆ ที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดล่องลอยอยู่ในบริเวณงาน คนที่กำลังดวงจิตอ่อนแอ เช่น คนป่วย คนแก่ คนดวงตก และคนท้องจึงไม่ควรไปงานศพเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นวิญญาณร้ายจะถือโอกาสเกาะติดกลับมาบ้านด้วย สำหรับคนธรรมดาเมื่อกลับจากงานศพแล้วต้องเอายอดทับทิมแช่น้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาล้างหน้า เพื่อล้างสิ่งอัปมงคลที่ติดตัวมาออกไปก่อนจะเข้าบ้าน เพราะคนจีนถือว่าทับทิมเป็นผลไม้สวรรค์ มีอำนาจเหนือภูตผีปีศาจทั้งปวง

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานกระต่ายในดวงจันทร์

คนไทยเราอาจจะมองเงาดำๆ ในดวงจันทร์ไปตามจินตนาการของแต่ละคน แต่ถ้าไปถามชาวจีน ทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเงาดำนั้นคือเงาของเทพกระต่ายหยก และเวลาถึงวันไหว้พระจันทร์ นอกจากจะไหว้เทพธิดาแห่งดวงจันทร์แล้ว ชาวจีนก็จะไหว้เทพเจ้ากระต่ายไปพร้อมกันด้วย

บันทึกของเมืองปักกิ่งเล่าถึงตำนานกระต่ายในดวงจันทร์ไว้ว่า มีอยู่ปีหนึ่งประเทศจีนเกิดโรคอหิวาต์ระบาดครั้งใหญ่ ทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เทพธิดาฉางเอ๋อ ที่สถิตอยู่บนดวงจันทร์มองลงมาเห็นก็เกิดความเมตตาจึงสั่งให้กระต่ายหยกสัตว์เลี้ยงที่มักจะตำยาอยู่ข้างกายนางลงมารักษาโรคให้ กระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวเที่ยวรักษาโรคไปทีละเมืองๆ จนชาวบ้านรอดพ้นจากความตาย ผู้คนที่กระต่ายหยกช่วยไว้ต่างก็สำนึกในบุญคุณของนาง อยากจะให้แก้วแหวนเงินทองเป็นสิ่งตอบแทน แต่กระต่ายหยกปฏิเสธ นางขอเพียงแค่เสื้อผ้าชุดเดียวเป็นค่ายา ตลอดเวลาที่เร่ร่อนรักษาคนตามเมืองต่างๆ กระต่ายหยกจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ เป็นหมอดูบ้าง คนขายน้ำมันบ้าง แล้วแต่ว่าชาวบ้านจะให้เสื้อผ้าแบบไหนมา เวลาเดินทาง กระต่ายหยกจะขี่สัตว์หลายชนิดเช่น เสือ วัว ม้า ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนที่พบเห็นเคารพยำเกรงนาง หลังจากตระเวนรักษาจนโรคระบาดสงบลงแล้ว กระต่ายหยกจึงกลับขึ้นไปบนดวงจันทร์เหมือนเดิม นับจากนั้นชาวจีนก็นับถือเทพเจ้ากระต่ายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งองค์ เมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์ ชาวบ้านจะใช้ดินเหนียวปั้นเป็นรูปกระต่าย และกราบไหว้ไปพร้อมกับการไหว้พระจันทร์ด้วย

หลังจากเวลาผ่านไปหลายยุคสมัย ศิลปินจีนอยากวาดรูปเทพกระต่ายให้ดูมีอำนาจมากยิ่งขึ้น จึงวาดให้เทพองค์นี้มีตัวเป็นคนหัวเป็นกระต่าย ขี่เสือเป็นพาหนะ และถือสากหยกตำยาเป็นอาวุธประจำตัว หลังจากมีรูปวาด ประเพณีขุดดินเหนียวมาปั้นเป็นกระต่ายก็ค่อยๆเลิกไป เพราะผู้คนเปลี่ยนไปกราบไหว้รูปวาดเทพกระต่ายกันมากกว่า

กระต่ายในความเชื่อของคนทั่วโลก

  • ในความเชื่อของคนญี่ปุ่น บนดวงจันทร์มีกระต่ายอยู่คู่หนึ่งกำลังช่วยตายายที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์ตำแป้งทำขนมโมจิอยู่ ความเชื่อนี้มาจากการมองเงาดำบนดวงจันทร์ ที่ชาวญี่ปุ่นคิดว่ามันช่างคล้ายกระต่ายเสียจริงๆ
  • ส่วนชาวเกาหลีก็มีตำนานกระต่ายในดวงจันทร์กำลังตำแป้งทำขนมเหมือนญี่ปุ่น แต่ขนมที่เจ้ากระต่ายจะทำไม่ใช่โมจิ แต่เป็น "ต็อก" เค้กข้าวของชาวเกาหลี
  • หลายประเทศเชื่อกันว่าตีนกระต่ายตากแห้งเป็นเครื่องรางที่จะนำโชคมาให้เจ้าของ ความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่เมื่อ 600 ปีก่อนคริสตกาล
  • สำหรับชาวยิว กระต่ายหมายถึงความขี้ขลาด ในภาษาฮิบรูคำว่า กระต่าย เป็นคำแสลงหมายถึง คนขี้ขลาด
  • ชาวเวียดนามมองกระต่ายเป็นสัญลักษณ์ของความไร้เดียงสาและอ่อนเยาว์ ศิลปินเวียดนามมักจะวาดภาพเหล่าทวยเทพกำลังไล่ล่ากระต่าย เพื่อแสดงให้เห็นพละกำลังของทวยเทพทั้งปวง

สมัยก่อนที่เกาะพอร์ทแลน ในเมืองดอร์เซ็ต สหราชอาณาจักร กระต่ายถูกมองว่าเป็นสัตว์ที่นำโชคร้ายมาให้ ถ้ามีใครพูดว่า กระต่าย คนใหญ่คนโตในบ้านเมืองจะมีอันตราย ดังนั้นถ้าใครจำเป็นต้องพูดถึงกระต่ายก็จะเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทน เช่น เจ้าหูยาว เป็นต้น
สถิติโลกบันทึกไว้ว่ากระต่ายกระโดดได้สูงที่สุด 1 เมตร และกระโดดได้ไกลที่สุด 3 เมตร
กระต่ายอเมริกันเป็นกระต่ายพันธุ์ที่หูยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 31.125 นิ้ว
กระต่ายที่อายุยืนที่สุดในโลกอยู่ได้ถึง 19 ปี
กระต่ายป่าที่เล็กที่สุดในโลกคือพันธุ์ปิกมี่ หรืลิตเติ้ลไอดาโฮ ในสหรัฐอเมริกา มีน้ำหนักไม่ถึงครึ่งกิโลกรัม
กระต่ายจะตื่นตัวมากที่สุดในช่วงเช้าตรู่และยามเย็นโพล้เพล้
กระต่ายเป็นสัตว์ที่สามารถมองเห็นภาพด้านหลังได้โดยไม่ต้องหันกลับไปมอง เพราะมันมีตาโตมากเมื่อเทียบกับขนาดตัว
กระต่ายทุกสายพันธุ์ในโลกมีสีขนแตกต่างกันมากถึง 150 สี แต่มีสีตาทั้งหมดเพียง 5 สี เท่านั้น คือ น้ำตาล น้ำเงินอมเทา น้ำเงินเข้ม ชมพู (แดง) และตาใสแบบลูกแก้ว
ที่เราเห็นว่ากระต่ายสีขาวมักจะมีตาแดงเป็นเพราะดวงตาของกระต่ายสีขาวไม่มีเม็ดสี ทำให้เห็นเส้นเลือดสีแดงในตาได้ชัดเจน

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

เลขดีเลขร้ายในหลายประเทศ

เลขสวยๆ ใครๆ ก็อยากได้ แต่เลขไม่ดีก็มีแต่คนเมิน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น และชาติไหนบ้างรังเกียจตัวเลขตัวไหน เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

เลข 4 เป็นเลขอาภัพของจริงเพราะถูกยี้จากทั้งชาวจีนและชาวญี่ปุ่นในความเชื่อของคนจีนเลขนี้เป็นเลขอัปมงคล เพราะเสียงของมันพ้องกับคำว่า "ซี้" ที่แปลว่าตาย ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นทะเบียนรถหรือเลขที่บ้าน ถ้าเลือกได้คนจีนจะไม่ยอมมีเลข 4 ติดไปเป็นอันขาด พอข้ามไปถึงประเทศญี่ปุ่น ชะตากรรมของเจ้าเลข 4 ก็ยังเลวร้ายไม่เลิก เพราะมันไปพ้องเสียงกับคำว่า "ชิ" ที่แปลว่าตายอีกเหมือนกัน คนญี่ปุ่นเลยพลอยไม่ชอบเลข 4 ไปด้วย ตามอพาร์ทเม้นต์และโรงแรมในญี่ปุ่นจะไม่มีห้องหมายเลข 4 เลย จะมีแต่ห้อง 1,2,3 แล้วข้ามไปเป็นหมายเลข 5 เพื่อไม่ให้แขกตะขิดตะขวงใจที่จะพัก

เลข 6 คนไทยโบราณถือว่าเลขหกหมายถึง หก ตก ทำอะไรไม่ขึ้น ล้มไม่เป็นท่า ถ้ามีเลขนี้อยู่ในทะเบียนร้านค้า เงินทองก็จะรั่วไหลตกหล่นไปหมด เลยไม่ค่อยมีใครพิศวาสกันเท่าไรนัก ยิ่งเลข 60 จะไม่มีใครอยากได้มาเป็นทะเบียนรถเลย เพราะตีความกลับไปกลับมาแล้วได้ความว่าเจ้าของอาจถูกรถคันนี้ทำหล่นไว้กับพื้นถนนหลังจากนั้นรถก็จะถูกขโมยจนมลายหายศูนย์เอาง่ายๆ แต่สำหรับชาวจีนเลข 6 เป็นเลขมงคล เป็นสัญลักษณ์ของความราบรื่น หนุ่มสาวมักจะเลือกแต่งงานในวันที่ 6,16 หรือ 26 จะได้ครองรักกันอย่างราบรื่นจนแก่เฒ่า ส่วนชาวยุโรปไม่ค่อยจะกินเส้นกับเลข 6 เท่าไรนักเพราะคำๆ นี้ในภาษาอังกฤษออกเสียงพ้องกับคำว่า "ซิก" (sick) ที่แปลว่าไม่สบาย เลยไม่มีคนอยากได้อีกเหมือนกัน

เลข 7 ความเชื่อทางโหราศาสตร์ไทยถือว่าเลข 7 เป็นเลขแห่งความทุกข์ ผิดกับชาวญี่ปุ่นที่เชื่อว่า 7 เป็นเลขมงคล เพราะเลข 7 คนญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่า "ชิจิ" แปลว่าโชคดี และในญี่ปุ่นยังมีประเพณีกินสมุนไพร 7 อย่างเพื่อให้สุขภาพดีด้วย ฝรั่งเองก็คิดอย่างเดียวกับชาวญี่ปุ่นว่า 7 เป็นเลขที่ให้โชค และมีอำนาจพิเศษอยู่ในตัว ยิ่งถ้าได้ทะเบียนบ้านหรือทะเบียนรถที่มี 7 หลายๆ ตัว เจ้าของก็จะยิ่งโชคดี ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จสมใจ

เลข 8 เป็นลัคกี้นัมเบอร์ของชาวจีน เพราะเสียงของมันตรงกับคำที่แปลว่าร่ำรวยในภาษากวางตุ้ง อีกทั้งคนจีนยังมีเทวดา 8 เซียนหรือโป๊ยเซียน เป็นเทพเจ้าที่คอยดูแลคุ้มภัยด้วย ในฮ่องกงทะเบียนรถยนต์เลข 8888 เคยทำสถิติเป็นเลขขที่คนแย่งกันประมูลด้วยราคาแพงกว่าราคารถมาแล้ว ส่วนชาวญี่ปุ่นก็ยกให้เลข 8 เป็นเลขแห่งความสมบูรณ์และสมดุล ใครได้ไปนอกจากจะสุขสมบูรณ์แล้ว ชีวิตจะพอดี ไม่มีมากหรือน้อยเกินไปให้รำคาญใจ

เลข 9 เป็นเลขที่คนไทยกรี๊ด คนจีนก็กิ๊วก๊าว สำหรับคนไทยเลข 9 หมายถึงความก้าวหน้า ก้าวไกล งานมงคลของไทยเลยชอบจัดกันในวันที่ลงท้ายด้วย 9 ส่วนคนจีนเลขนี้เป็นตัวเลขที่มีค่ามากที่สุด มันเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ ความเป็นที่สุดในทุกเรื่อง และเสียงของเลข 9 ยังพ้องกับคำที่แปลว่ายาวนาน มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนอีกอย่างหนึ่งด้วย แต่ในขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นกลับยี้เลขนี้กันทุกบ้าน เพราะเลข 9 ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า "คุ" หมายถึงความลำบากเลยไม่ค่อยมีใครพิศวาสอยากจะได้เจ้าเลข 9 ไปเป็นทะเบียนบ้านเท่าไรนัก

เลข 13 เลขนี้สำหรับฝรั่งแล้วเป็นเลขซูเปอร์ร้าย ขนาดที่ตามโรงแรมจะต้องไม่มีห้องเบอร์ 13 และชั้นที่ 13 เลยทีเดียว ที่มาที่ไปก็เพราะในอดีตก่อนที่พระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์จะสิ้นพระชนม์ ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารกับลูกศิษย์ 13 คน และหนึ่งในนั้นก็ทรยศทำให้พระองค์ถูกจับตรึงกางเขนจนตาย ยิ่งถ้าเลข 13 ไปตรงกับวันศุกร์ด้วยล่ะก็ จะกลายเป็นเลขอาถรรพ์ที่อัปมงคลที่สุด เนื่องจากวันศุกร์เป็นวันที่อาดัมกับอีฟ มนุษย์คู่แรกที่เคยอยู่บนสวนสวรรค์ได้ถูกพญามารล่อลวงให้ทำความผิด วันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนก็เป็นวันศุกร์ อีกทั้งหลังจากอาดัมกับอีฟที่ลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ ทั้งคู่ก็อยู่จนแก่เฒ่าและตายไปในวันศุกร์อีกเช่นกัน ชาวคริสต์เลยสรุปกันว่าวันศุกร์น่าเป็นวันดวงจู๋ตัวจริงเสียงจริง

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

เครื่องสำอางชิ้นเด็ดของผู้หญิงแต่ละยุค

ผู้หญิงสมัยนี้ขาดอายไลเนอร์ไม่ได้ ผู้หญิงสมัยก่อนก็มีเครื่องสำอางประจำตัวของพวกเธอเหมือนกัน ถ้าเอาเครื่องสำอางทั้งหมดนี้มาเรียงเป็นแถว เราจะได้เห็นการเดินทางของเครื่องสำอางก่อนที่จะมาเป็นเพื่อนซี้ของสาวๆ อย่างทุกวันนี้

อียิปต์โบราณ น้ำหอมเป็นสุดยอดเครื่องสำอางสำหรับคนอียิปต์ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นจริงๆ ของน้ำหอมจะใช้สำหรับรักษาโรค และประพรมเครื่องหอมสำหรับบูชาเทพเจ้า แต่พอสาวๆ ได้กลิ่นเข้าก็อดใจไม่ไหว ต้องขอแจมเอาน้ำหอมมาแตะนิดแตะหน่อยตามร่างกายบ้าง น้ำหอมที่โด่งดังที่สุดในสมัยอียิปต์ทำจากดอกไม้นานาชนิด น้ำผึ้ง ไวน์ และพืชตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ แม้แต่หมอก็ยังใช้น้ำหอมชนิดนี้รักษาโรคปอด ลำไส้ และตับด้วย

ยุคกรีกโบราณ คนเรามักจะชอบอะไรที่ตัวเองไม่มี อย่างเช่นสาวๆ ชาวกรีกที่เกิดมาผมดำแต่กลับหลงใหลผมสีบลอนด์แบบชาวตะวันตก พวกเธอเลยพยายามสร้างยาย้อมผมขึ้นเองโดยใช้สารหนูกัดสีผมให้อ่อนลง ส่วนเวลาสระผมก็จะใช้ขี้เถ้า น้ำมันมะกอกและน้ำเปล่าล้างสารพิษออก

ยุคกลาง เครื่องสำอางของผู้หญิงสมัยนี้ส่งตรงมาก้นครัวล้วนๆ เช่น ใช้น้ำแตงกวาคั้นสดๆ กำจัดกระและฝ้า ส่วนเวลาเป็นสิวก็ทาด้วยน้ำนมเพื่อให้สิวยุบไปเอง สำหรับริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ผู้หญิงปี 2011 ต้องอาศัยเลเซอร์ช่วยลบกันนั้น สาวๆ ยุคกลางเขาเสี่ยงตายลงไปสู้กับจระเข้แล้วเอาไขมันของมันมากวนรวมกับขี้ผึ้ง ทาเป็นประจำ แค่นี้ตีนกาก็ไม่กล้ามารังควานเธอแล้วล่ะ

สมัยเรอเนซองส์ เข้าสู่ยุคที่ถือว่าความงามคือทุกสิ่ง ผู้คนสมัยเรอเนซองส์แต่งตัวจัดมากคนรวยทั้งชายหญิงจะประโคมเครื่องสำอางเครื่องเพชรกันแบบไม่มีกั๊ก ส่วนคนจนที่ไม่มีเงินซื้อของแพงมาใช้ มีวิธีเพิ่มความสวยด้วยการใช้ผงชาดผสมกับขี้ผึ้งหรือไขมันจากสัตว์ แล้วเอามาทาปาก ทาแก้ม ผลที่ได้ก็คือแก้มและริมฝีปากแดงเปล่งปลั่งสมใจ ที่สำคัญสีที่ได้จากวิธีนี้ติดทนทานมาก ต่อให้ล้างหน้าทุกวันก็ยังไม่ลอกไม่หลุดเลย

ยุคทองของสเปน สาวๆ สเปนเกิดมามีผิวคล้ำตามชาติพันธุ์ แต่คนเรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ พวกเธอก็เลยไม่ชอบผิวสีแทน แต่ไพล่ไปอยากได้ผิวขาววิ้งแบบชาวอังกฤษเสียนี่ จึงมีคนคิดค้นยาทำให้ขาวที่ทำจากดินเหนียวขึ้น แต่ความจริงยาตัวนี้ไม่ได้ทำให้ผิวขาวจริงๆ เพียงแต่ด้วยความที่มันเป็นดินเหนียวพอกินเข้าไปจึงหนักท้องจนกินอาหารไม่ลง ประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมาสาวๆ ก็จะเริ่มขาดสารอาหาร ทำให้ตัวซีดหน้าเซียวดูขาวไปเองโดยอัตโนมัติ ผลจากความอยากวิ้งทำให้มีผู้หญิงยุคกลางต้องตายเพราะโลหิตจาง หลังจากกินยานี้ไปหลายคน

ปลายศตวรรษที่ 18 เป็นยุคที่ต่อเนื่องมาจากสมัยเรอเนซองส์ ผู้คนยังบูชาความสวยกันอย่างถวายหัว คุณหนูในวงสังคมชั้นสูงของฝรั่งเศส รวมถึงพระนางมารีอังตัวเน็ตต่างก็เชื่อว่าผิวขาวเกลี้ยงเกลาดุจหินอ่อนคือที่สุดของความสวย ทุกคนเลยพยายามพอกหน้ากันหนาเตอะด้วยแป้งที่ทำจากตะกั่ว แป้งโรยตัวบดละเอียดผสมกับขี้ผึ้งและไขมันปลาวาฬ หลังจากกวนส่วนผสมจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วแป้งที่ได้จะขาวจัดและเหนียวมาก จนสามารถยึดติดกับผิวหน้าได้เหมือนเป็นผิวที่สองก็ไม่ปาน

ปลายศตวรรษที่ 19 มาสคาร่าแต่งหน้าแบบเนื้อเค้กที่เราใช้กันทุกวันนี้ ถือกำเนิดขึ้นในสมัยปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง จากมันสมองของ ?ยูจีน ริมเมล' ช่างทำน้ำหอมชื่อดัง โดยนำเขม่าถ่านหินกับสบู่ก้อนเล็กมาผสมกัน ปั้นเป็นก้อนเล็กเท่าลูกเต๋า เวลาจะทำสวยต้องใช้แปรงเปียกๆ มาถูที่ก้อนมาสคาร่า เพื่อให้สีดำละลายติดแปรงออกมา แต่สาวๆ ยุคนั้นก็มีมุมซกมกไม่แพ้ผู้หญิง พ.ศ.นี้ แทนที่จะลุกไปตักน้ำใส่แก้วมาละลายมาสคาร่า นางเลยเอาง่ายเข้าไว้ด้วยการถ่มน้ำลายลงไป แค่นี้เธอก็สวย (แบบเหม็นๆ) กันได้แล้ว

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำรับแมวให้ลาภของชาวล้านนา

ชาวล้านนามีวัฒนธรรมและความเชื่อตกทอดกันมาหลายร้อยปีแล้ว ความเชื่อเกี่ยวกับแมวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ควรที่คนรุ่นใหม่อย่างเราจะรู้ไว้เป็นอาหารสมอง

รกแมว ชาวล้านนามีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่ารกเป็นเครื่องรางมงคลที่จะช่วยให้ทำมาค้าขึ้น เพราะมันเป็นเครื่องมือหนึ่งเดียวที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตให้กับทารกในครรภ์ ถือว่าเป็นอุปกรณ์แห่งชีวิตชั้นยอด ฉะนั้นถ้าแมวบ้านใครเริ่มตั้งท้องเจ้าของบ้านก็จะจ้องตาเป็นมันเพื่อรอเก็บรกจากนางเหมียวให้ได้

แต่ถ้าจะให้รกกลายเป็นของขลัง ไม่ใช่จะเดินไปหยิบมาตากแห้งแล้วจบ แต่ต้องมีกระบวนการและพิธีกรรมอีกหลายขั้นตอน อันดับแรกพอยายเหมียวเขี้ยวเพชรท้องโย้ใกล้จะครบกำหนด เจ้าของจะต้องรีบจัดเตรียมห้องคลอดไว้ให้พร้อม เช่น เอาลังกระดาษมาปูด้วยผ้านุ่มๆ หรือถ้ามีเงินมากพอจะสร้างบ้านพักฉุกเฉินเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ไม่มีใครว่า (แต่แอบนินทาเล็กๆ )จากนั้นให้สังเกตอาการแม่แมวถ้ามันมาด้อมๆ มองๆ แล้วทำท่าว่าแฮปปี้กับห้องคลอด ก็ถึงเวลาที่เจ้าของจะต้องไปเอาเครื่องเซ่น เรียกว่า "ปลาปิ้ง" คืออาหารปลาชนิดใดก็ได้ มาให้นางเหมียวกินเอาฤกษ์เอาชัยและเอาแรงก่อนคลอด ส่วนใหญ่มักจะใช้ปลาตะเพียนเพราะหาง่ายที่สุด

ชาวล้านนาเป็นคนสุภาพ จะมีการแย่งชิงของของใคร ยิ่งรกซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้เจ้าของเขายินยอมยกให้ก่อน ปลาปิ้งนี้เลยถือว่าเป็นของแลกเปลี่ยนกับรกของแมวนั่นเอง เวลาเอาปลาให้แม่แมวกิน ชาวล้านนาก็จะเอ่ยขอว่า

"เอ่อหนี้เน้อ นางวิฬา กูมีสะเพียนปล๋า มาแลกเอาฮก ป๊กเจ้าแม่ป๊ก ฮกนางวิฬา..." พอแมวกินเสร็จมีแรงพร้อมแล้วมันก็จะคลอดลูก เจ้าของจะต้องไปแอบอยู่ห่างๆ อย่าให้นางเหมียวเห็นและต้องจับตามองตลอดเวลา เพราะธรรมชาติของสัตว์มักจะกินรกเข้าไปด้วย พอมันคลอดเสร็จเรียบร้อยเจ้าของก็ต้องรีบไปหยิบรกมาแล้วกล่าวคำทักทายพร้อมฝากเนื้อฝากตัวว่า "ฮกเหยฮก บ่ป๊กแต่น้ำ ป๊กเงินป๊กฅำ ป๊กกอบก๋ำเข้า โภคาธะนัง หลั่งไหลหาเจ้า วิฬาป๊กเอา ก่อก๊ำ"

เมื่อได้รกมาแล้วก็มาถึงขั้นตอนที่สองคือต้องเอารกไปตากแดดให้แห้งสนิท จนถึงวันแรม 15 ค่ำ ก็เอามาลงคาถาเพื่อเรียกความขลัง "พุทธ สัง มิ สัง สิ โม นา ธัมมะ สัง มิ โม นา สัง สิ สังฆะ สัง มิ สิ โม นา สัง พหุชะนานัง เอหิ จิตตัง เอหิ มะนุสสานัง เอหิ ลาภัง เอหิ สัพพะโภคัง ภะวันตุ เมฯ" เสกไปให้ครบ 108 จบ ปิดทองให้ทั่วรกจนเหลืองอร่าม เป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นก็ต้องเก็บไว้บูชาบนหิ้งสูงๆ จะช่วยให้เกิดเมตตามหานิยม เซ็งลี้ฮ้อ ทำการค้าอะไรก็รวยเอาๆ ไม่มีคำว่าทุนหายกำไรหด งดเชื่อเบื่อทวงเหมือนร้านอื่น

  • น้ำมนต์แมว ภาคกลางเรามีน้ำมันพราย ชาวล้านนาเขาก็มีน้ำมนต์แมว เพราะแมวนั้นเป็นสัตว์พิเศษ กินปลามาทั่วสารทิศยังไม่เคยเห็นตัวไหนถูกก้างตำคอเลยสักครั้ง คนเฒ่าคนแก่ล้านนาเลยสอนกันว่าเวลากินข้าวถ้าก้างปลาติดคอให้ตักน้ำใส่ขันไปวางไว้ตรงหน้าแมว เมื่อแมวก้มลงมาดมหรือดื่มแล้วก็ให้ถือว่านั่นคือน้ำมนต์แมวแล้วให้เอาน้ำนั้นกลับไปให้คนที่ก้างติดคอดื่ม แล้วก้างก็จะหลุดออกเอง
  • ก้างติดแมวเกา ถ้าไม่ชอบน้ำมนต์แมว ให้ใช้บริการจากเจ้าเหมียวโดยตรงโดยเอาเท้าหน้าของแมวมาเกาที่คอบริเวณที่มีก้างติดอยู่ ก้างจะหลุดจากวงโคจรไปเองโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
  • แมวซ่วยหน้า ชาวล้านนาเชื่อว่าถ้าแมวใช้เท้าข้างใดข้างหนึ่งถูไถไปที่หน้า อันเป็นกิริยา "ซ่วยหน้า" หรือล้างหน้าของมัน เป็นลางบอกเหตุว่าจะมีแขกจากแดนไกลเดินทางมาเยี่ยมที่บ้านนั้น
  • แมววิ่งตัดหน้า เวลาไปไหนมาไหน ถ้ามียายเหมียวสักตัววิ่งตัดหน้า ชาวล้านนาจะต้องหยุดสังเกตสีขนของหล่อนก่อนว่าเป็นสีอะไร ถ้าแมวขาววิ่งตัดหน้าแสดงว่าจะได้รับข่าวดี แต่ถ้าเป็นแมวดำแปลว่าจะมีข่าวร้ายมาให้ปวดหัวในอีกไม่นานนี้ล่ะ
  • ฝันเห็นแมว ชาวล้านนาคนไหนฝันถึงแมว อาจต้องไปทำบุญสะเดาะห์เคราะห์กันเป็นการใหญ่เพราะเป็นลางร้าย หมายถึง จะขัดสนเงินทอง ญาติมิตรไม่คบหาสมาคม หรืออยู่ดีๆ ก็ตั้งแง่รังเกียจโดยไม่มีเหตุผล
  • ห้ามเลี้ยงแมวห้าตัว ในตำราโบราณล้านนากล่าวถึงจำนวนสิ่งที่ไม่ควรมีไว้ในบ้านไว้หลายอย่าง ได้แก่ ควายตัวเดียว วัวสามตัว เมียสองคน สุนัขหกตัว คนรับใช้สี่คน แมวห้าตัว ม้าเจ็ดตัว ช้างแปดเชือก และผู้หญิงมีช้องเสียบผมสองอัน ชาวล้านนาทุกบ้านเลยจะไม่เลี้ยงแมว 5 ตัว เพราะถือว่าจะพาโชคร้ายมาไว้ในครัวเรือน

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ความเชื่อโบราณปาฏิหาริย์แห่งอัญมณี

อัญมณีแต่ละชนิดไม่ได้มีแต่ความสวย แต่ยังแฝงพลังบางอย่างที่คนโบราณในยุคกรีกยอมรับกันมาหลายพันปีแล้วว่าจริงชัวร์ไม่ได้มั่วนิ่ม

โกเมน โกเมนเป็นอัญมณีแห่งความรักและมิตรภาพ ชาวกรีกโบราณเรียกมันว่าหินตะเกียง ด้วยความที่สีแดงของมันจะส่องแสงได้ในเวลากลางคืน ถ้าห้อยโกเมนไว้เวลาเดินทางมืดๆ ค่ำๆ แสงจากโกเมนจะทำหน้าที่ให้ความสว่างเหมือนมีตะเกียงติดมือไปด้วย และขณะเดียวกันพลังจากโกเมนก็ช่วยไล่ผีสางวิญญาณพยาบาทที่รอดักจ๊ะเอ๋อยู่ระหว่างทางไม่ให้เข้ามาหลอกหลอนได้ คนโบราณเลยถือว่าโกเมนเป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง

อะเมธีส อะเมธีสมีหลายสี แต่ที่ถือกันว่าดีและมีพลังมากที่สุดได้แก่อะเมธีสสีม่วง คำว่ากะเมธีสมาจากภาษากรีกแปลว่าไม่เมา เพราะชาวกรีกเคยทดลองสรรพคุณของมันมาแล้วว่า ถ้าอมอะเมธีสไว้ใต้ลิ้นระหว่างที่ดื่มเหล้า ต่อให้ก๊งหมดขวดอย่างดีก็แค่เซเล็กๆ ไม่ถึงกับเมาให้เสียเซลฟ์ นอกจากนี้อะเมธีสยังมีพลังดีๆ อีกหลายอย่าง เช่น

ถ้าวางอะเมธีสไว้ใต้หมอน คืนนั้นจะนอนหลับฝันดี
คนที่นอนไม่หลับ หรือหลับเท่าไรก็ฝันเห็นแต่หน้าเจ้าหนี้กำลังแสยะยิ้ม อัญมณีชนิดนี้ช่วยท่านได้ ขณะเดียวกันถ้ามัดอะเมธีสไว้ที่ข้อมือซ้ายก่อนเข้านอนจะฝันเห็นอนาคตของตัวเอง

ชาวราศีมีนจะถูกโฉลกกับอะเมธีสมากที่สุด สาวราศีมีนที่มีอะเมธีสติดตัวจะมีพลังดึงดูดให้ผู้คนรักเอ็นดู อยากเข้ามาดูแลเอาใจใส่ ยิ่งถ้าเพิ่งอกหักรักคุดต้องการบุรุษพยาบาลมาดามอกควรใส่เป็นอย่างยิ่ง

ทับทิม เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือเวลาที่ครอบครัวประสบเคราะห์ ชาวกรีกโบราณจะเอาทับทิมไปแตะตามมุมบ้านทั่วทุกมุม เพราะทับทิมมีพลังในการปัดเป่าโชคร้ายในครัวเรือน ทำให้คนที่อยู่ในบ้านอยู่เย็นเป็นสุข

ทับทิมเหมาะสำหรับคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา ถ้าคนใส่เจ้าเล่ห์คิดร้ายกับใคร ทับทิมจะหมองหมดสวย

มรกต มรกตเป็นหินประจำราศีของชาวกรกฏ ถ้าคนราศีนี้พกติดตัวไว้จะทำให้เป็นคนสุขุมเยือกเย็นคิดอ่านรอบคอบขึ้น แต่พลังที่แท้จริงของมันอยู่ที่การทำนายอนาคต เวลามีปัญหาที่หาทางแก้ไม่ได้ ชาวกรีกจะวางมรกตไว้ใต้ลิ้นแล้วหลับตาทำสมาธิ จะช่วยให้มองเห็นอนาคตว่าจะแก้ปัญหาแบบไหนถึงจะเอาตัวรอดได้

สาวๆ ควรซื้อเครื่องประดับมรกตให้คนรักสักชิ้นหนึ่ง แล้วคอยสังเกตให้ดี เมื่อไรที่มรกตเปลี่ยนสีแสดงว่าคนรักของคุณกำลังเปลี่ยนใจ เช่น อาจจะถูกกิ๊กล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย หรือไม่พี่เขาก็วิ่งตามไปเองด้วยความเต็มใจ

โอปอล ตำนานเล่าว่าโอปอลถือกำเนิดมาจากหญิงสาวที่มีรักแท้ หินชนิดนี้จึงเป็นดัชนีวัดความรักได้คนที่สะสมโอปอลต้องเก็บให้มิดชิดอย่าให้ถูกแสงแดดแรงจัด เพราะเมื่อไรที่โอปอลเปลี่ยนสี ความรักที่กำลังไปได้ดีของคุณจะหักเห ถ้าไม่ทะเลาะแตกคอกันก็เจอพิษแรงหึง ถูกบ่อนทำลายด้วยฝีมือมือที่สาม

โทปาซ โทปาซมีได้หลายสีตั้งแต่ เหลือง ชมพู น้ำเงิน ส้มแดง และแบบใสซึ่งใช้แทนเพชรในสมัยโบราณ แต่ที่เด่นและเป็นที่นิยมที่สุดคือโทปาซสีเหลืองที่เหมาะกับชาวราศีธนูผู้คล่องแคล่ว สดใสร่าเริง

โทปาซมีพลังในการขจัดความเศร้าหมองใครที่หดหู่อารมณ์มาคุบ่อยๆ สวมติดตัวไว้จะทำให้จิตใจผ่องแผ้ว ไม่วีนใส่ใครโดยไม่จำเป็น และที่เด็ดสุดคือจะช่วยให้สติปัญญาแจ่มใส ฉลาด จัดฉากแผนการเจ้าเล่ห์ต่างๆ ได้เนียนขึ้น (ตำราท่านว่าอย่างนี้จริงๆ ค่ะ)

คนโบราณเชื่อว่าอำนาจของโทปาซสัมพันธ์กับพระจันทร์ ในวันพระจันทร์เต็มดวง โทปาซจะมีพลังมากที่สุด ชาวราศีธนูที่ห้อยมันไว้จะมีอำนาจในตัวและมีเสน่ห์ลึกลับเหมือนกับพระจันทร์วันเพ็ญ

เบริล เป็นอัญมณีหน้าตาคล้ายนิล ความดำมืดลึกลับแต่มีเสน่ห์ของมันเหมาะสมกับสาวที่ดูร้ายลึกแต่แฝงความเย้ายวนอย่างชาวพิจิกมากที่สุด ชาวกรีกเชื่อว่านอกจากเบริลจะทำให้คนใส่มีความสุข อุดมด้วยโชคลาภแล้ว มันยังติดต่อกับเทพเจ้าได้ด้วย โดยการใส่น้ำให้เต็มถ้วย ชูเบริลไว้เหนือแก้ว ตั้งจิตอธิษฐานถามสิ่งที่อยากรู้แล้วปล่อยเบริลลงไปในน้ำ จากนั้นก็ดูว่าแรงกระเพื่อมของนน้ำเหมือนกับรูปอะไร นั่นล่ะคือคำตอบจากเทพเจ้า

ขอขอบคุณ ที่มา : spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on