รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

เทพแพน ผู้ไม่ควรตัดสินจากภายนอก

รูปร่างหน้าตาเป็นอะไรที่เราต้องเห็นเป็นอย่างแรกๆ เมื่อจะรู้จักใครสักคนหนึ่ง แต่สิ่งที่เห็นภายนอกนั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็น เช่นเดียวกันกับตำนานเทพที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ เทพแพน (Pan) ผู้ที่มีรูปร่างภายนอกน่ากลัว แต่ในจิตใจนั้นเป็นคนดีและร่าเริงแจ่มใส เดี๋ยวเราจะไปทำความรู้จักเทพแพนกันให้มากขึ้น ตามเจ๊มาเลยค่า

เทพแพนคือใคร แพน (Pan) เป็นเทพในระดับหลานของซูส เทพบดี กล่าวคือเธอเป็นโอรสของเทพเฮอร์มีสกับนางพรายน้ำอนงค์หนึ่ง แพนเป็นเทพแห่งทุ่งโล่งและดงทึบ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเทพแห่งธรรมชาติทั้งปวงก็ไม่ผิด เพราะคำว่า "แพน" ในภาษากรีกแปลว่า "All" หรือทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง เทพองค์นี้มีรูปร่างผิดแปลกกับเทพอื่นๆ ที่มักสวยสง่างาม เทพแพนเป็นส่วนผสมระหว่างมนุษย์กับสัตว์ กล่าวคือร่างกายหน้าตาเป็นมนุษย์แต่ท่อนล่างลงไปเป็นแพะ บนศีรษะมีเขาเป็นแพะเช่นกัน และมีหนวดเครา การที่เทพแพนมีรูปร่างเช่นนี้นั้นมีเหตุผลสนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วย มิใช่ว่าชอบใจจะให้เทพเจ้าของตนมีรูปร่างเป็นอย่างไร ชาวกรีกก็ว่าไปตามใจชอบมิได้ แต่มีสาเหตุมาจากว่าก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติอันประกอบด้วยมนุษย์และสัตว์นั่นเอง

แพนผู้ร่าเริง ในสมัยแรกเริ่มเดิมทีแพนออกจะเป็นเทพที่ร่าเริงและมีความสุขมาก กวีกรีกโบราณพยายามให้ทุกคนมองเห็นภาพพจน์ของแพนในลักษณะเทพผู้เริงระบำรำฟ้อนสนุกสนานอยู่เสมอ แพนมีพรสวรรค์พิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือเป่าหลอดได้ไพเราะมาก จนกระทั่งครั้งหนึ่งเคยประลองขันแข่งกับเทพอพอลโล เทพแห่งดนตรีกาลเลยทีเดียว หลอดของแพนทำจากต้นอ้อธรรมดา มีลักษณะไม่เหมือนขลุ่ยภาษาอังกฤษเรียกของสิ่งนี้ว่า Pipe ซึ่งแปลว่าหลอดหรือท่อ

เครื่องดนตรีของแพน การที่เทพแพนมีเครื่องดนตรีชิ้นนี้ประจำตัวนั้น ได้มีตำนานกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ กล่าวคือแพนได้ไปยลโฉมของนางพรายน้ำต้นหนึ่งเข้านามว่าไซรินซ์ (Syrinx) เกิดถูกชะตาต้องใจเป็นอันมากจึงติดตามไปหมายขอความรัก แต่นางพรายน้ำไม่ยินดีด้วย เนื่องจากหวั่นกลัวในรูปร่างของแพนเทพแห่งธรรมชาติจึงวิ่งหนีเตลิดไป แพนก็ออกไล่ตามจนมาถึงริมน้ำ ครั้นนางพรายน้ำเห็นท่าจวนเจียนหนีไม่พ้นแน่ จึงตะโกนขอความช่วยเหลือจากเทพแห่งท้องธาร คำขอร้องของนางสัมฤทธิ์ผล เทพแห่งท้องธารสงสารนางจึงดลบันดาลให้นางกลายเป็นต้นอ้อประดับอยู่ริมฝั่งน้ำนั่นเอง เมื่อเทพแพนมาถึงและได้รู้ความจริงก็เศร้าสร้อยมาก จึงเอาต้นอ้อนั้นมาตัดและมัดเข้าด้วยกันใช้เป็นเครื่องดนตรีเป่าอย่างไพเราะสืบมา และชื่อของนางพรายน้ำตนนี้ซึ่งแปลว่าหลอดหรือท่อ ยังคงใช้สืบกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

Pan ที่มาของ Panic บุคลิกลักษณะของแพนมาเปลี่ยนแปลงในสมัยที่ศาสนาคริสต์เริ่มแพร่หลาย คือราว 2,000 ปีมานี้ ชาวคริสเตียนทั้งหลายเข้าใจผิดในรูปโฉมของเทพองค์นี้เพราะออกจะน่ากลัวอยู่จึงเหมาเอาว่าแพนคงจะเป็นเทพแห่งความชั่วร้ายน่ากลัวที่แอบแฝงอยู่ในป่าดิบดงดำ ต่อมาลักษณะอันน่ากลัวของแพนจึงกลายเป็นลักษณะของปีศาจร้ายในสายตาชาวคริสเตียนไปและกล่าวว่าใครเห็นแพนเข้าในป่าเป็นต้องถูกหลอกหลอนให้ตื่นตกใจกลัวแทบตายไปทุกราย ดังนั้นจึงบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ว่าแพนิค (Panic) ซึ่งแปลว่าตกใจกลัวจนลนลานนั่นเอง

เห็นรึยังคะว่าเทพแพนนั้นแม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่ทำให้คนตกใจกลัวได้นั้น กลับมีจิตใจดีโอบอ้อมอารียิ่งกว่าบรรดาเทพที่หน้าตาสวยใสซะอีกค่า อย่างที่เค้าตัดสินหนังสือว่าดีหรือไม่ให้ดูที่ภายในไม่ใช่ปก คนก็เช่นกัน..คนจะดีหรือไม่ดีต้องดูที่จิตใจใช่หน้าตานะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ทำบุญทั้งทีผลไม้นี้ต้องเซย์โน

ปีใหม่ไม่ได้มีไว้ให้ลั้ลลาปาร์ตี้อย่างเดียว แต่ยังเป็นเทศกาลที่เราจะได้ทำบุญเพิ่มความสุขใจให้ตัวเองด้วย แต่ถ้าเวิร์คกิ้งเกิร์ลอยากให้ปีหน้าเป็นปีทองของคุณ คนเฒ่าคนแก่เขาสอนว่าผลไม้ 13 ชนิดต่อไปนี้อย่าเอาไปถวายพระเด็ดขาด

1. ละมุด คนไทยสอนว่า ผลงานหรือวีรกรรมที่คุณทำถูกมองข้าม ทำดีแค่ไหนก็ไม่เกิด

2. มังคุด คนไทยสอนว่า ผลงานจะคุดๆ กุดๆ ไม่เพอร์เฟ็คท์

3. พุทรา คนไทยสอนว่า ผลงานจะดีในช่วงแรก หลังจากนั้นก็จะเกิดอาการขาลง ทำเท่าไหร่ก็ไม่เวิร์ค

4. มะเฟือง คนไทยสอนว่า จะเกิดความฝืดเคืองในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น การงาน การเงิน หรือฝืดเคืองด้านความรักก็อาจหาคนมาจีบไม่ได้ ไม่ก็อกหักรักคุด อะไรก็ไม่ไหวจะเคลียร์ทั้งนั้นล่ะเนอะ

5. มะไฟ คนไทยสอนว่า ผลงานมักไม่มีคุณภาพเพราะต้องทำแบบรีบๆ เหมือนมีไฟลนก้นทุกทีสิน่า

6. น้อยหน่า คนไทยสอนว่า จะทำงานอะไรเป็นต้องมีอุปสรรคมากวน จนแทบไม่ได้หายใจหายคอกับเขาเลย

7. ลางสาด คนไทยสอนว่า งานที่ทำจะไม่ราบรื่น ติดๆ ขัดๆ จนน่าปวดหัว

8. มะตูม คนไทยสอนว่า แทนที่ทำอะไรแล้วจะได้ดีกลับจะมีแต่คนทำหน้าตูมใส่ เพราะผลงานไม่เข้าตากรรมการอย่างแรง

9. มะขวิด คนไทยสอนว่า ไม่ควรเอามะขวิดไปถวายพระ ไม่อย่างนั้นแล้วอุปกรณ์ทำมาหากินมักจะหาย หัก พัง ขาดโน่นขาดนี่ตลอดเลย

10. ลูกจาก คนไทยสอนว่า ถึงจะได้ผลงานดี แต่ก็จะอยู่ไม่นาน อาจถูกคนปาดหน้าเค้กแย่งไป ไม่เพื่อนฝูงในกลุ่มก็ตบตีกันจนต้องแยกวงมักจะไม่ยั่งยืน

11. ลูกพลับ คนไทยสอนว่า ผลงานจะถูกดองใส่ลิ้นชัก กลายเป็นซากฟอสซิลในอนาคต

12. ลูกท้อ คนไทยสอนว่า ถึงชีวิตจะไม่มีเรื่องให้เหนื่อยใจ แต่ไม่รู้ทำไมคุณถึงได้ท้อแท้ เบื่อหน่าย ขี้เกียจทำทุกสิ่งอย่าง

13. ระกำ คนไทยสอนว่า ชีวิตจะระกำ งานที่ทำจะเฟลเอาๆ สรุปว่าไม่ไหวจะเคลียร์นั่นเอง

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

การโยนช่อดอกไม้ในพิธีแต่งงาน

การแต่งงานคือความฝันอันสูงสุดของหญิงสาวหลายๆ คน อาจเป็นเพราะชุดเจ้าสาวที่ดูสวยหรูราวกับเจ้าหญิง และพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ภายในงานอบอวลไปด้วยความรัก และภายในงานเจ๊มั่นใจว่าต้องมีสาวโสดหลายคนที่เข้าไปร่วมงานเป็นสักขีพยานรัก และตั้งตารอธรรมเนียมการโยนช่อดอกไม้หลังพิธีกรรมเสร็จสิ้นกันอย่างแน่นอน

ตามธรรมเนียมพิธีแต่งงานของชาวตะวันตก หลังจากเสร็จพิธีเจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ เพื่อให้แขกที่เป็นสาวโสดแย่งกันรับ หากสาวคนใดเก็บได้จะถือว่าเป็นผู้โชคดีที่จะมีข่าวดีได้แต่งงานในเร็ววัน แต่ในปัจจุบันเจ้าสาวชาวตะวันตกไม่ค่อยนิยมโยนช่อดอกไม้แล้วด้วยเหตุผลที่หลากหลายเช่น อยากเก็บไว้เอง เพราะเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต เจ้าสาวบางคนจะมอบให้กับแม่เก็บรักษาไว้ หรือนำไปวางที่หน้าหลุมศพของคุณย่าหรือคุณยายที่ล่วงลับ

ประวัติความเป็นมาของการโยนช่อดอกไม้

การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาวเป็นประเพณีทั่วทั้งทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือมีที่มาตั้งแต่สมัยยุโรปยุคกลาง (ค.ศ.400-476 ถึง ค.ศ.1453-1517 หรือประมาณ 1,600-500 ปีที่แล้ว) ช่วงแรกเจ้าสาวไม่ได้คิดว่าจะต้องใส่ชุดแต่งงานอีก และชุดแต่งงานก็ถือเป็นเครื่องรางนำโชคสำหรับหญิงคนอื่นเพื่อสร้างความเจริญเติบโตของครอบครัว เมื่อจบพิธีแต่งงานจะยกชุดให้คนอื่น และสาวโสดทั้งหลายต่างก็อยากได้ชุดแต่งงานมาครอบครอง จึงไล่จับเจ้าสาวและฉีกชุดเป็นชิ้นๆ จนรุ่งริ่ง เมื่อเวลาผ่านไปชุดแต่งงานมีราคาสูงขึ้นและเริ่มมีประเพณีที่จะเก็บชุดแต่งงานไว้เพื่อเป็นของที่ระลึก หรือเพื่อให้ลูกสาวได้ใช้ในวันแต่งงานข้างหน้าเพื่อเป็นการป้องกันแขกเหรื่อฉีกชุดแต่งงาน เจ้าสาวทั้งหลายจึงเริ่มที่จะโยนสิ่งอื่นๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หนึ่งในนั้นก็คือยางรัดถุงน่อง ต่อมาช่อดอกไม้เป็นสิ่งที่นิยมจนเป็นประเพณีมากที่สุด ซึ่งช่อดอกไม้เหมาะสมมากเพราะดอกไม้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเจริญเติบโต และดอกไม้ก็ต้องเหี่ยวเป็นธรรมดา เจ้าสาวจึงไม่คิดที่จะเก็บไว้

นอกจากนี้การโยนช่อดอกไม้ยังปลอดภัยกว่าการโยนยางรัดถุงน่องอีกด้วย เพราะแขกเหรื่อที่ดื้อด้านและไม่มีความอดทนบางคน ถึงกับพยายามที่จะเอายางรัดถุงน่องจากเจ้าสาวในขณะที่เจ้าสาวยังใส่อยู่เลย คู่บ่าวสาวสมัยใหม่บางคู่ไม่ชอบประเพณีการโยนช่อดอกไม้และหากไม่ดัดแปลงบ้างก็จะงดไปเลย

การโยนช่อดอกไม้สามารถสร้างความอึดอัดใจให้กับแขกผู้หญิงที่ประสงค์จะไม่แต่งงานอยู่แล้ว หรือแขกที่ไม่ชอบเป็นจุดเด่นด้วยธรรมเนียมเช่นนี้ อีกทั้งการแย่งกันรับก็สร้างความวุ่นวายและความโกลาหลได้ด้วย เจ้าสาวบางคนเตรียมการเอาไว้ก่อน โดยบอกให้เพื่อนเจ้าสาวหรือเพื่อนที่หมั้นแล้วมารับช่อดอกไม้ นอกจากนี้บางคนเลือกที่จะมอบช่อดอกไม้เล็กๆ ให้กับเพื่อนเจ้าสาวแต่ละคน หรือมอบดอกไม้จากช่อดอกไม้ใหญ่ให้กับแขกที่เป็นผู้หญิงทุกคนคนละดอก

ความหมายของช่อดอกไม้เจ้าสาว

นอกจากชุดเจ้าสาวที่มีความสำคัญมากๆ สำหรับเจ้าสาวแล้ว ช่อดอกไม้ก็เป็นอะไรที่สำคัญไม่แพ้กัน สาวๆ รู้กันบ้างมั้ยคะว่าช่อดอกไม้ที่ใช้ดอกไม้แต่ละชนิดก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป ใครชื่นชอบดอกไม้แบบไหนและชอบความหมายที่ดีๆ ของดอกอะไร ก็เลือกดูได้เลยค่ะ

  • ช่อดอกกุหลาบ หมายถึง ความรักอันโรแมนติก ความสวยงาม เสน่ห์ดึงดูดและรักแท้
  • ช่อดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วาลเล่ย์ หมายถึง ความสุขของเจ้าสาวและเส้นทางที่จะนำไปพบความสุข เหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์
  • ช่อดอกคาลล่าลิลลี่ หมายถึง ความหรูหราสง่างามของเจ้าสาว ซึ่งจะโดดเด่นตราตรึงอยู่ในใจของเจ้าบ่าวตลอดไป
  • ช่อดอกทิวลิป หมายถึง ตัวแทนของความรักที่เต็มเปี่ยมระหว่างคู่สมรส และแทนความสุขสดใหม่ของความรักตลอดไป
  • ช่อดอกเรนันคูลัส หมาย การตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้งของคู่บ่าวสาว

แหม!! ก็ช่อดอกไม้ในพิธีแต่งงานมันเป็นอะไรที่โรแมนติ๊ก..โรแมนติก จะมีสาวคนไหนล่ะค่ะที่จะไม่ปรี่เข้าไปรับช่อดอกไม้ของเจ้าสาวถึงบางคนจะยังไม่มีคู่ชู้ชื่นอยู่ข้างกาย แต่ได้ช่อดอกไม้เอาไว้ให้อุ่นใจว่าเราอาจจะได้แต่งงานเป็นรายต่อไปก็สบายใจดีเนอะ อิอิ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานรองเท้าส้นสูงแฟชั่นคู่สาวมั่น

รองเท้าที่สาวๆ หลายคนเลือกสวมใส่กันเป็นประจำคงหนีไม่พ้น "รองเท้าส้นสูง" ที่นอกจากจะช่วยเสริมบุคลิกให้กับสาวๆ แล้วยังช่วยให้ผู้ที่สวมใส่รู้สึกมั่นใจกับเรียวขาที่ดูยาวขึ้น ทั้งยังเพิ่มความสูงเพรียวในยามเดินเฉิดฉาย อยากรู้กันบ้างมั้ยคะว่ากว่าจะมาเป็นรองเท้าส้นสูงนี้มีจุดเริ่มต้นยังไงบ้าง ตามเจ๊มาค่ะ เจ๊จะเล่าให้ฟัง

จุดเริ่มต้นของรองเท้าส้นสูง

แฟชั่นรองเท้าส้นสูงมีมานานกว่า 400 ปี ซึ่งต้นกำเนิดอยู่ที่ฝรั่งเศส เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับคนขี่ม้าที่มักจะทำเท้าลื่นหลุดจากเหล็กวางเท้า โดยส้นของรองเท้าที่ใช้แก้ปัญหาการลื่นหลุดนี้จะสูงประมาณ 1 นิ้วถึง 1 นิ้วครึ่ง รองเท้าสำหรับขี่ม้านี่เองที่เป็นต้นแบบของรองเท้าส้นสูง ต่อมารองเท้าเริ่มพัฒนาให้สูงขึ้นและบางลงจนไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการขี่ม้าได้อีกแต่กลับใช้เป็นแฟชั่นเฉพาะในราชสำนักของฝรั่งเศสแทน สืบเนื่องมาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศสผู้มีพระวรกายเล็ก พระองค์สั่งช่างหลวงตัดรองเท้าให้มีส้นสูงเป็นกรณีพิเศษสำหรับพระองค์โดยเฉพาะ จากนั้นเหล่าเสนาอำมาตย์รวมถึงนางในราชสำนักก็ต่างพากันใส่รองเท้าส้นสูงตามพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในช่วงปี ค.ศ.1600 รองเท้าส้นสูงของผู้ชายเมืองน้ำหอมนั้นสูงประมาณ 3-4 นิ้วทีเดียว

ต่อมารองเท้าส้นสูงก็เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ทั้งชายและหญิงในราชสำนักของฝรั่งเศส และยังกระจายไปถึงพวกชนชั้นขุนนางในประเทศอื่นๆ อีก จนรองเท้าส้นสูงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ดังนั้นทั้งชายและหญิงจึงเริ่มใส่รองเท้าส้นสูงเพื่อแสดงออกถึงความเป็นชนชั้นสูง และเริ่มเสื่อมลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ตลอดศตวรรษที่ 18 ทั้งชายและหญิงเลือกที่จะใส่รองเท้าพื้นราบทว่าความนิยมของรองเท้าส้นสูงก็กลับมาฟื้นขึ้นอีกครั้งในปลายศตวรรษที่ 18 เฉพาะในหมู่สาวๆ และกลายมาเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

บอกลาความเชื่อเก่าๆ ของรองเท้าส้นสูง

สำหรับรองเท้าส้นสูงที่เป็นของคู่ใจของสาวๆ หลายคน ที่ถึงแม้ต้องยืนหรือเดินเขย่งเท้าทั้งวันก็ไม่หวั่นเพื่อแลกกับความสวยมั่น แต่หลายคนยังเชื่อว่าการใส่รองเท้าส้นสูงมีผลเสียต่อร่างกาย ซึ่งความเชื่อดังกล่าวถือว่าเอาท์ไปแล้วค่ะ เพราะล่าสุดผลการวิจัยของ ?คุณหมอมาเรีย เซอร์รัทโต' แพทย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยเวโรนาแห่งอิตาลี พบว่าการสวมรองเท้าส้นสูงที่มีความสูงขนาดปานกลาง สามารถช่วยให้ร่างกายเกิดความกลมกลืน ปรับสภาพกล้ามเนื้อ ช่วยนวดเฟ้นกล้ามเนื้อเชิงกรานให้คลายความปวดเมื่อย และบำรุงสุขภาพ และการสวมรองเท้าส้นสูงเดินเวลากลางวันจะช่วยให้เชิงกรานได้ออกกำลังไปด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพในการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่รัก โดยไม่จำเป็นต้องไปออกกำลังกายให้เหนื่อยเลยค่ะ ทริคง่ายๆ ในการเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับรูปเท้า

อย่างแรกคือสาวๆ ต้องรู้จักรูปเท้าของตนเองก่อน เราได้จำแนกรูปเท้าไว้ดังนี้

  • เท้าเรียวได้สัดส่วน สามารถเลือกรองเท้าได้ทุกสไตล์ค่ะ
  • เท้าแบนราบ ควรเลือกรองเท้าที่มีลวดลายด้านหน้า ไม่ควรเลือกรองเท้าที่เปิดให้เห็นเนื้อหนังมาก
  • ปลายเท้าบาน สิ่งที่คุณจะต้องหลีกเลี่ยงเลยก็คือรองเท้าคัตชูด้านหน้าสูง เพราะจะทำให้เท้าของคุณดูตัน รองเท้าสไตล์หัวกว้างหรือเหลี่ยมจะเหมาะกับคุณมากที่สุด
  • เท้าอวบอูม รองเท้าสีเข้มจะช่วยอำพรางให้เท้าของคุณดูเล็กลง และต้องไม่สูงจนเกินไป อาจเพิ่มความเก๋ด้วยลวดลายเล็กน้อยหรือสายรัดข้อเท้าบางๆ
  • สีผิวกับรองเท้าคู่ใจ

รองเท้าสมัยนี้มีสีสันหลากหลายให้สาวๆ ได้เลือกสรร แต่จะเลือกสีของรองเท้าอย่างไรให้เหมาะสมกับสีผิว วันนี้เจ๊มีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกรองเท้าให้เหมาะสมเพื่อเสริมความมั่นใจมาฝากกันค่ะ

สีผิวค่อนข้างคล้ำ : ควรเลือกรองเท้าสีกลาง ไม่อ่อนหรือสดจนเกินไป เช่นสีน้ำตาล เงิน ฟ้า ม่วง เทา และเขียวเข้ม

ผิวสองสี : รองเท้าควรเป็นโทนผสม เช่น น้ำตาลอมแดง ชมพูอมส้ม แดงเลือดนก

ผิวซีด : สิ่งที่คุณสาวๆ ควรเน้นคือสีเข้มหรือหม่นเล็กน้อย เช่น แดงเข้ม น้ำตาลไหม้ เพื่อขับสีผิวให้ดูเข้มขึ้น และหลีกเลี่ยงสีพาสเทล

ผิวขาวเหลือง : รองเท้าโทนสีร้อนจะทำให้เท้าคุณดูโดดเด่นสุขภาพดี และหลีกเลี่ยงสีขุ่นๆ อย่างน้ำตาลหรือเทาเข้มเพราะจะทำให้ผิวหมองลงไปด้วย

เห็นมั้ยล่ะคะว่าแฟชั่นรองเท้าส้นสูงครองใจสาวๆ มามากกว่า 400 ปีแล้ว จนเรียกได้ว่ารองเท้าส้นสูงกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน แต่เจ๊ขอบอกก่อนเลยนะคะเวลาที่สาวๆ จะเลือกซื้อรองเท้าควรเลือกให้เหมาะกับเท้าของเราเอง เพราะรองเท้าบางคู่อาจมองดูสวย แต่เมื่อลองได้ใส่จริงอาจไม่เหมาะกับเราก็เป็นได้ค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ละครบัลเล่ต์จีเซลล์

การแสดงบัลเล่ต์เป็นการแสดงที่งดงามถูกใจเจ๊มาตลอด ตอนเด็กๆ เคยฝันอยากจะเป็นนักเต้นบัลเล่ต์เหลือเกิน แต่หุ่นเจ๊นี่มันช่างไม่อำนวยเอาเสียเลย วันนี้เจ๊จึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับ จีเซลล์' (Giselle) นิยายรักของหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดผ่านการแสดงบัลเล่ต์มาเล่าสู่คุณผู้อ่านทุกคน พร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะว่าความรักของจีเซลล์นั้นจะยิ่งใหญ่น่าประทับใจแค่ไหน

ละครบัลเล่ต์ จีเซลล์ จีเซลล์ (Giselle) เป็นบัลเล่ต์ที่มีความยาว 2 องค์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทกวีของ ?ไฮน์ริช ไฮน์' กวีชาวเยอรมันคนสำคัญ และจากผลงานของ ?วิกตอร์ อูโก' กวีชาวฝรั่งเศส บัลเล่ต์เรื่องนี้ออกแสดงรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1841 ที่ Ballet de l'Opera National de Paris ปารีส บทจีเซลล์นำแสดงโดย ?Carlotta Grisi' ต่อมาคณะอิมพีเรียลบัลเล่ต์ของรัสเซียได้นำกลับมาแสดงใหม่ในปี ค.ศ. 1884,1899 และ 1903

เรื่องราวของจีเซลล์ จีเซลล์เป็นเด็กสาวที่อาศัยอยู่กับแม่ในไร่องุ่นแถบแคว้นไรน์แลนด์ วันหนึ่งเธอได้พบกับดยุคอัลเบรชต์แห่งซิเลเซีย ที่กำลังจะแต่งงานกับเจ้าหญิงบาธิลด์ ธิดาของเจ้าชายแห่งฮุสตัน และได้ปลอมตัวเป็นชาวบ้านชื่อรอยส์เพื่อออกเที่ยวเตร่ จีเซลล์ตกหลุมรักรอยส์ตั้งแต่แรกพบทั้งที่ถูกห้ามปรามจากเพื่อนชายและแม่

ยามเมื่ออยู่ในห้วงแห่งความรักจีเซลล์เฝ้าแต่คิดถึงชายหนุ่ม เธอหยิบดอกเดซีมาเด็ดกลีบออกทีละกลีบ เพื่อเสี่ยงทายว่ารอยส์รักและจริงใจต่อเธอหรือไม่ ต่อมาเมื่อเธอรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นบุคคลชั้นสูงที่กำลังจะแต่งงาน เธอเสียชีวิตลงด้วยหัวใจที่แตกสลายเมื่อทราบข่าวร้าย อัลเบรชต์ได้ผละจากงานแต่งงานและติดตามหาหลุมศพของจีเซลล์ เพื่อพร่ำพรรณนาความรักที่มีต่อเธอ อัลเบรชต์ถูกตามล่าเอาชีวิตโดยปิสาจร้ายชื่อไมร์ธา ราชินีแห่งวิลิสที่มีแต่ความเกลียดชัง วิญญาณของจีเวลล์จึงปรากฏตัวขึ้นเพื่อปกป้องชีวิตของคนรักและจากไปในที่สุด

สิ่งที่จีเซลล์ได้สอนเรา จีเซลล์เป็นหญิงสาวที่มีความรักที่ยิ่งใหญ่คนนึงเลยทีเดียว แม้ว่าเธอจะต้องผิดหวังกับความรักและเสียใจจนตายแต่เธอก็ไม่เคยคิดแค้นเจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอ กลับกันเธอกลับพยายามปกป้องเจ้าชายเมื่อเผชิญอันตรายอย่างเต็มที่ เธอทำเพื่อคนที่รักโดยไม่เรียกร้องให้คนที่เธอรักมารักเธอกลับ ความรักที่ยิ่งใหญ่และเสียสละแบบนี้เป็นความรักที่ทุกคนควรดูไว้เป็นแบบอย่างค่ะ

แต่น่าเสียใจเหลือเกินที่ในสมัยนี้เจ๊เห็นแต่หญิงสาวที่เรียกร้องทุกอย่างจากคนที่ตนรัก อยากได้การดูแล อยากได้รักกลับมา และเมื่อไม่ได้ก็จะคิดแค้นพยาบาท ทำทุกหนทางให้คนคนนั้นต้องเจ็บแบบที่ตนเจ็บ เจ๊อยากให้สาวๆ ดูจีเซลล์เป็นแบบอย่างในเรื่องของการเสียสละและทำเพื่อคนรักนะคะ ถ้าเค้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเราก็ปล่อยเค้าไป อย่าไปทำร้ายกันเลยค่ะ เจ๊ไม่เคยเห็นใครที่เจ้าคิดเจ้าแค้นมีชีวิตได้อย่างมีความสุขสักคนเลยค่ะ

ความรักนั้นเป้ฯสิ่งที่สวยงามอยู่เสมอ มนุษย์ต่างหากที่เข้าไปทำให้ความรักออกมาเลวร้าย จงรักกันด้วยใจจริงที่บริสุทธิ์และหวังดี แล้วคุณก็จะเห็นว่าความรักนั้นสวยงามเพียงใดค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานของวันขึ้นปีใหม่

อีกไม่กี่วันจะได้เวลานับถอยหลังเข้าสู่วันปีใหม่กันอีกปีแล้วนะคะ วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ เลยค่ะ จะได้เวลาเฉลิมฉลองในช่วงปีใหม่กันอีกแล้ว สาวๆ รู้กันบ้างมั้ยคะว่าก่อนจะมาเป็นวันขึ้นปีใหม่ให้เราเฉลิมฉลองกันอย่างทุกวันนี้ วันปีใหม่ในแต่ละปีมีความเป็นมายังไง ถ้ายังไม่รู้วันนี้เจ๊จะเล่าให้สาวๆ ได้ฟัง จะได้ร่วมกันผ่านช่วงเวลานี้ไปอย่างสุขใจและเข้าใจถึงความสำคัญในวันนี้ยังไงล่ะค่ะ

ความเป็นมา ในอดีตวันขึ้นปีใหม่ของของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึง 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน โดยการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา

แต่ว่าประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่ในเดือนเมษายนไม่เหมาะสมที่จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก ควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2477 ขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่าวันตรุษสงกรานต์

เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ

  • ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
  • เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
  • ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
  • เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่

  • การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัด หรือตามสถานที่ต่างๆ ที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
  • การกราบขอพรจากผู้ใหญ่และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้หรือการส่งบัตรอวยพร
  • การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้อง หรือตามหน่วยงานต่างๆ

วันขึ้นปีใหม่ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่ใครหลายๆ คนจะนับเป็นวันเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ และแก้ไขหรือลบล้างสิ่งเก่าๆ ที่ไม่ดี ใครที่คิดจะเริ่มต้นอะไรสักอย่างที่ดีแล้วยังไม่ได้เริ่มสักที เจ๊ว่าวันขึ้นปีใหม่นี้เหมาะสมที่สุดแล้วค่ะ เริ่มตอนนี้อาจจะดูช้าไปแต่ก็ดีกว่าไม่เริ่มทำอะไรเลยนะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ทำนายฝันเกี่ยวกับผู้หญิง

มีคำพูดหนึ่งที่หนุ่มสาวสมัยนี้จะบอกกันอยู่เสมอๆ ก่อนจะวางสายโทรศัพท์หรือจบการสนทนาในการแชทแล้วไปเข้านอนว่า "ฝันดีค่ะ/ครับ" "ฝันดีนะจ๊ะที่รัก" หรือ "ฝันดีนะจ๊ะที่รักสุดๆ" แล้วหนุ่มๆ สาวๆ ก็จะไปกอดหมอนนอนยิ้มอย่างแฮปปี้ลั้ลลา แต่เรื่องของความฝันนั้นมันควบคุมกันไม่ได้ว่าวันไหนจะฝันดีหรือจะฝันร้าย แต่ด้วยความเชื่อที่มีมาแต่โบราณก็บอกเราได้ว่าสิ่งที่เราฝันนั้นสามารถทำนายอนาคตได้ว่าอย่างไร

ประเภทของความฝัน

ในตำราหนังสือเรียนหลายเล่มก็มีเรื่องนี้สอนไว้ จำได้ว่าเคยเรียนเรื่องความฝันประเภทต่างๆ ในวิชาพระพุทธศาสนาตอน ม.ปลาย ก็จะสรุปได้ประมาณนี้ค่ะ

1. บุรพนิมิต คือ เหตุการณ์ในอดีตหรืออำนาจจิตได้กำหนดให้ฝันเองโดยไม่ได้ตั้งใจ มักเป็นฝันที่เชื่อถือได้ตามสมควร

2. เทพสังหรณ์ คือ เทพยดา วิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้เข้ามาดลใจให้ฝันโดยไม่นึกคิดมาก่อน เป็นฝันที่มักเป็นจริง

3. จิตนิวรณ์ คือ จิตใจคิดเองตามที่คิดหรือตั้งใจไว้ ทำให้ฝันเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการประสงค์ เป็นฝันที่เชื่อถือมิได้

4. ธาตุโขภะ คือ ร่างกายที่ไม่ปกติ เจ็บป่วยทางกาย ทางใจ ทำให้ฝันเพ้อไปโดยไม่รู้ตัว เป็นฝันที่ไร้สาระ

ความฝันเกี่ยวกับผู้หญิง

หนึ่งในหลายๆ ความฝันที่คนเรามักจะฝันถึงกันมากที่สุดคือ ฝันเห็นผู้หญิงหรือฝันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิง ซึ่งการฝันถึงผู้หญิงนั้นมีหลายรูปแบบทั้งเป็นผู้หญิงที่เรารู้จัก ไปจนถึงผู้หญิงแปลกหน้าที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และในแต่ละรูปแบบความฝันก็มีคำทำนายแตกต่างกันไป เรามีคำทำนายความฝันที่เกี่ยวกับผู้หญิงมาทำนายให้ฟังกัน ใครฝันแบบไหนก็ไปดูคำทำนายกันได้เลยค่ะ

  • ฝันว่าได้หญิงเป็นภรรยา : ทำนายว่า จะได้ลาภอันชอบธรรม
  • ฝันว่าหญิงพรหมจารีถือเทียนเข้ามาในบ้านตน : ทำนายว่า ผู้ชายจะได้ลาภยศยิ่งใหญ่ ผู้หญิงโสดจะได้สามี
  • ฝันว่าเอามือขวากอดหญิงสาว : ทำนายว่า จะได้เป็นขุนนาง หรือเป็นใหญ่เป็นโต
  • ฝันว่าเห็นหรือพบหญิงแต่งกายสีแดงทั้งชุด : ทำนายว่า ให้ระวังจะได้รับทุกข์
  • ฝันว่าเห็นหรือพบหญิงแต่งกายสีดำทั้งชุด : ทำนายว่า ให้ระวังศัตรูจะเบียดเบียนทรัพย์เรา
  • ฝันว่าเห็นหรือพบหญิงแต่งกายสีขาวทั้งชุด : ทำนายว่า จะหมดเคราะห์ร้าย หายเจ็บหายไข้
  • ฝันเห็นผู้หญิงปลูกดอกไม้ ไม้ใบ ต้นใหญ่ ต้นเล็ก แต่งสวนหย่อมให้สวยงาม : ทำนายว่า จะมีผู้ช่วยแก้ไขความขัดข้องในกิจการนานาให้ดีขึ้น
  • ฝันว่าหญิงสาวมาหา : ทำนายว่า จะมีลาภ
  • ฝันว่าได้เห็นหญิงมีครรภ์ : ทำนายว่า จะได้รับข่าวดี
  • ฝันเห็นหญิงนุ่งผ้าสวย : ทำนายว่า จะได้รับความสุข
  • ฝันเห็นผู้หญิงขับรถ ขับเรือ แจวเรือ : ทำนายว่า ข่าวดีๆ เกี่ยวกับโครงการธุรกิจใดๆ จะมีจากผู้หญิง
  • ฝันเห็นหญิงเปลือยกาย : ทำนายว่า จะมีลาภจากการพนัน
  • ฝันเห็นหญิงโสเภณีที่ยากจน : ทำนายว่า จะทำงานสำเร็จ
  • ฝันเห็นหญิงโสเภณีที่มั่งมี แต่งตัวงาม : ทำนายว่า จะเจ็บป่วยเล็กน้อย
  • ฝันเห็นผู้หญิง มีผ้าเคียนหัวหรือโพกผ้าคลุมผม : ทำนายว่า จะโดนหลอกลวงให้เสียเงินทองทรัพย์สินอันมีค่า
  • ฝันเห็นหญิงชรา ญาติผู้หญิงสูงอายุที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว : ทำนายว่า จะมีเคราะห์หนัก จะเสียของรักภายในบ้าน หรือแตกร้าวภายในครอบครัว
  • ฝันเห็นผู้หญิงทำความสะอาด หรือกวาดถนนหนทางจนสะอาดตา : ทำนายว่า อาการป่วยไข้จะค่อยๆ หายดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนหายเป็นปกติ

หลายคนที่ได้อ่านคำทำนายเกี่ยวกับหญิงสาวที่ฝันถึงแล้วอาจจะดีใจที่กำลังจะได้โชคได้ลาภ แต่บางคนก็ถึงกับคอตกที่สิ่งที่ฝันถึงนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์โศก อย่าเพิ่งวิตกกังวลหรือหลงระเริงดีใจไปเลยค่ะ เพราะความฝันบอกเหตุนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในชีวิต เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติอยู่เสมอเท่านั้น หากคำทำนายดีก็ทำให้เรามีกำลังใจในการทำดีต่อไป แต่ถ้าคำทำนายร้ายๆ ก็จะช่วยเตือนเราให้ระวังภัยและตั้งมั่นอยู่ในความดี

ขอเพียงแค่ทุกคนหมั่นทำความดี ไม่ว่าจะฝันดีหรือฝันร้าย กรรมดีที่เราทำไว้ก็จะเป็นเครื่องกันภัยให้เราเองค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on