รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

ยูนุคต้นตำรับขันทีของโลก

เราคงเคยได้ยินคำว่าขันทีในหนังหรือละครจีนกันบ่อยๆ จนอาจจะคิดไปว่าขันทีคือสินค้าโอท็อปของกรุงปักกิ่ง แต่วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักขันทีสายพันธุ์เพดดีกรีขนานแท้ ผู้เป็นที่มาของผู้ชายไร้อวัยวะเพศทั่วโลก

ยูนุคมาจากไหน ขันทีฉบับออริจินัลเรียกว่า "ยูนุค" แปลว่าปราศจากหนวดเครา เพราะผู้ชายที่ถูกตัดอวัยวะสืบพันธุ์จะสูญเสียฮอร์โมนเพศชายไปด้วย เลยไม่มีหนวดเคราแบบผู้ชายแท้ๆ คาดว่ายูนุคคนแรกของโลกเกิดขึ้นในประเทศอัสซีเรีย ก่อนจะแพร่หลายเป็นที่นิยมไปในแถบเปโสโปเตเมีย แต่ประเทศที่เป็นศูนย์รวมของยูนุคจนเรียกได้ว่าเป็นเทรดมาร์กอย่างหนึ่งของชาติไปเลยได้แก่ตุรกี (สมัยนั้นยังเป็นอาณาจักรอ็อคโตมัน) ในฮาเร็มของมหาราชาและเศรษฐีจะต้องมียูนุคคอยรับใช้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ผู้ชายเข้าไปเพ่นพ่านเจาะไข่แดงนางในได้ แต่ยูนุคในประเทศนี้ไม่ใช่ชาวเติร์ก เนื่องจากการตอนเป็นข้อห้ามอย่างหนึ่งในศาสนาอิสลาม พวกเติร์กเลยไม่ทำร้ายพรรคพวกตัวเอง แต่ไปเที่ยวจับชาวตะวันตกดวงจู๋ที่ทำมาหากินอยู่แถวนั้นไปทำพิธีแปลงเพศแทน แล้วเอาไปขายเป็นยูนุค

แต่ปรากฏว่ายูนุคชาวตะวันตกนั้นผิวบางทำงานหนักแป๊บๆ ก็แบตเตอรี่หมดสิ้นใจตายซะแล้ว ชาวเติร์กเลยหันไปจับทาสผิวดำจากอียิปต์ อบิสซีเนีย ซูดานแทน ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะคนดำนั้นมีน้ำอดน้ำทนหลายร้อยแรงม้า นายจะจ้ำจี้จ้ำไชเท่าไรก็ไม่รู้จักชิ่งหนีไปเกิดใหม่ ในที่สุดยูนุครุ่นหลังๆ จึงกลายเป็นคนผิวดำเกือบหมด และซื้อขายกันในราคาแพงมาก พอยูนุคกลายเป็นสินค้าขายดีมีออเดอร์ท่วมท้นการตะครุบไล่จับเอาทีละคนก็ไม่พอกับความต้องการ พ่อค้าหัวใสเลยใช้วิธีไปตระเวนซื้อคนพื้นเมืองมาจากหัวหน้าเผ่าแอฟริกันแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ไล่ไปถึงไคโร และทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งท่านหัวหน้าเผ่าก็แสนจะมีเมตตากรุณาสมกับเป็นเจ้าคนนายคน พ่อค้ากล้าซื้อท่านก็กล้าขาย และไม่ใช่ขายแค่คนสองคนแต่ไปเป็นแพ็ค ในการล่องเรือแต่ละเที่ยวพ่อค้าจึงได้สินค้ามนุษย์กลับไปครั้งละหลายร้อยคน ระหว่างทางกลับ พ่อค้าทาสก็จะคัดเด็กผู้ชายวัยกำลังเหมาะมาโมดิฟายให้เป็นยูนุค โดยทำกันในทะเลทราย เนื่องจากคนที่ถูกตัดอวัยวะเพศมีโอกาสตายสูงมาก หลังจากหั่นจุ๊ดจู๋โยนให้เป็ดกินเรียบร้อยแล้ว พ่อค้าต้องรีบเอาตัวเด็กที่ถูกตอนฝังลงในทรายให้โผล่ขึ้นมาแต่คอ เพื่อให้ความร้อนทำให้แผลแห้งโดยเร็วที่สุด ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเด็กๆ ที่จะต้องวัดดวงกันเอาเอง ใครร่างกายอ่อนแอ วิญญาณก็จะสะบัดบ๊อบออกจากร่างกันในหลุมนั่นล่ะ ส่วนคนที่แข็งแรงรอดตายมาได้ก็จะถูกจับขึ้นเรือเอาไปขายในตลาดต่อไป

ชีวิตในวัง ในวังต้องห้ามของจีนข้าราชบริพารทั้งหมดจะต้องมีหนังหน้าประเทืองสายตาให้ฮ่องเต้เห็นแล้วกระดี๋กระด๊ากระชุ่มกระชวย แต่สำหรับยูนุคในวังอ็อคโตมันกลับตรงกันข้าม เด็กที่หน้าตาดีมักไม่เข้ารอบเพราะนอกจากองค์สุลต่านแล้ว สาวๆ ในฮาเร็มจะไม่ได้เห็นผู้ชายอีกเลยตลอดชีวิต จึงต้องเลือกยูนุคที่ขี้เหร่ไปคอยรับใช้ จะได้ไม่เกิดการเปรียบเทียบให้พวกสาวๆ นึกขึ้นมาได้ว่าโลกข้างนอกยังมีผู้ชายที่ไม่พะโล้อ้วนดำเป็นฉลาม วาฬเกยตื้นอีกนะพวกเรา (ว่าแล้วแม่ก็หนีออกจากวังมันซะเลย)
ยูนุคแต่งงาน

ถึงยูนุคจะไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นโสดเสมอไป ในฮาเร็มเป็นเรื่องธรรมดามากที่ยูนุคจะไปถูกใจนางทาสสาวๆ จนตกลงแต่งงานกัน เพียงแต่ถ้าใครแต่งงานแล้วก็จะต้องออกไปจากฮาเร็มเท่านั้นเอง คนยุค 2011 อย่างเราอาจจะคิดว่า ผู้หญิงที่ไหนจะติงต๊องสมองเสื่อมขนาดมาแต่งงานกับยูนุคแต่ขอบอกว่ามีค่ะและมีเยอะด้วย จากบันทึกในสมัยอ็อคโตมันบอกว่ายูนุคบางคนไม่ได้มีเมียแค่คนเดียว แต่สามารถตั้งฮาเร็มหรือที่เรียกโกดังเก็บกิ๊กของตัวเองได้เลย เพราะยูนุคมีค่าตัวแพง คนที่ซื้อไปรับใช้ได้ก็มีแต่เศรษฐีและสุลต่าน เรื่องโบนัสเงินเดือนเลยมากกว่าผู้ชายแท้ๆ ที่เดินแบกกระสอบข้าวสารตามท่าเรือมากนัก

เกร็ดเล็กๆ เกี่ยวกับขันที

  • ถ้าถูกตอนตั้งแต่อายุน้อยๆ ลึงค์ของขันทีบางคนจะงอกขึ้นมาใหม่แถมยังใช้งานได้อีกด้วยแน่ะ
  • ขันทีจีนจะพกหลอดเงินอันเล็กๆ ติดตัวไว้ เวลาจะปัสสาวะก็จะเสียบหลอดเงินนี้เข้าไปที่ซากประวัติศาสตร์ (คำนิยามของสิ่งที่ในอดีตเคยรุ่งเรือง แต่ตอนนี้เหลือแต่ตอไปแล้ว) แล้วปัสสาวะไปตามปกติ
  • ลัทธิขงจื๊อสอนว่าร่างกายคนเราเป็นของที่ได้มาจากพ่อแม่ ห้ามตัดห้ามทำลาย ขันทีจึงต้องเก็บจุ๊ดจู๋ที่ตอนแล้วดองใส่ขวดโหลไว้ เวลาตายก็ให้เอาฝังดินไปพร้อมกับร่างด้วย แต่ในกรณีที่เกิดการสูญหายหรือประสบอัคคีภัย งานนี้ประกันไม่จ่าย แต่สามารถไปซื้อจุ๊ดจู๋เถื่อนที่ขายอยู่ในตลาดมืดมาแทนได้

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

มะเนะกิเนะโกะ น้องเหมียวนำโชค

ถ้าถามว่าสัตว์เลี้ยงที่คุณชอบมากที่สุดคืออะไร? น้องแมวเหมียวต้องเป็นอันดับต้นๆ ในคำตอบของสาวๆ แน่นอนเพราะเป็นสัตว์ที่ขี้อ้อนแถมยังน่ารักน่าเอ็นดู แต่มีเจ้าเหมียวอยู่ชนิดหนึ่งที่นอกจากจะน่ารักน่าเอ็นดูแบบสุดๆ แล้วยังนำโชคดีมาให้ด้วยอีกต่างหาก แมวที่เรากำลังพูดถึงนั่นคือ "มะเนะกิ เนะโกะ" หรือแมวกวัก เป็นรูปปั้นแมวตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นว่าจะนำโชค นำลาภ สำหรับร้านค้าก็จะดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านเช่นเดียวกับนางกวักของไทย หน้าตาของแมวมะเนะกิ เนะโกะ นี้คล้ายคลึงกับแมวพันธุ์พื้นเมืองของญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่ไม่มีหาง ที่เรียกว่า "เจแปนนิส บ๊อบเทล" (Japanese Bobtail)

ตำนานของมะเนะกิ เนะโกะ ก่อนที่เจ้าเหมียว "มะเนะกิ เนะโกะ" จะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างในทุกวันนี้ ที่ญี่ปุ่นมีตำนานกล่าวขานถึงที่มาที่ไปของเจ้าเหมียวตัวนี้เอาไว้มากมาย บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อนแต่ตามหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกสุดที่กล่าวถึงเจ้าเหมียวนำโชคตัวนี้ เพิ่งจะปรากฏให้เห็นในช่วงสมัยเมจิ ราวทศวรรษที่ 1870 แต่ที่เราคุ้นหูกันดีจะมีอยู่สองเรื่องคือ

ตำนานเรื่องแรกคือ เรื่องที่เล่ากันว่าเกิดขึ้นในยุคเอโดะ มีหญิงชราคนหนึ่งยากจนมาก แต่นางมีแมวเลี้ยงอยู่ตัวหนึ่งและรักแมวมาก จนในที่สุดก็ไม่สามารถเลี้ยงไหวจึงนำไปปล่อย คืนนั้นเองนางก็นอนเสียใจร้องไห้ทั้งคืน กระทั่งฝันว่าแมวมาบอกกับนางว่าให้ปั้นรูปแมวจากดินเหนียวแล้วนางจะโชคดี เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงชราจึงตื่นขึ้นมาปั้นแมวจากดินเหนียวไม่ทันไรก็มีคนแปลกหน้าเดินผ่านหน้าบ้านขอซื้อตุ๊กตาแมวตัวนั้นจากนางไป จากนั้นนางก็เพียรปั้นแมวขึ้นมาอีกตัวแล้วตัวเล่า ตุ๊กตาแมวจากการปั้นของนางก็ถูกคนมาขอซื้อไปตลอดเวลา นางจึงเริ่มมีเงินทองจากการขายตุ๊กตาแมว และสามารถนำแมวเลี้ยงสุดที่รักของนางกลับมาเลี้ยงได้อีกครั้งหนึ่ง

ส่วนตำนานอีกเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีขุนนางผู้มั่งคั่งร่ำรวยได้เดินเข้าไปหลบพายุฝนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งในวัดโกโกคูจิ แล้วจู่ๆ ก็มีแมวของพระรูปหนึ่งในวัดมากวักมือเรียกเขาออกไป ทันใดนั้นฟ้าก็ผ่าลงมายังต้นไม้ทำให้ขุนนางรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ ขุนนางจึงขอบอกขอบใจเจ้าเหมียวเป็นอย่างยิ่ง แล้วต่อมาก็ได้เป็นเพื่อนกับพระรูปที่เป็นเจ้าของแมว และทำนุบำรุงบริจาคเงินให้แก่วัดนั้นอย่างมากมาย จากวัดจนๆ ที่พระต้องอดอยาก กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เมื่อแมวตัวนั้นเสียชีวิตก็มีการสร้างอนุสรณ์ให้แก่มันด้วย

ตั้งแต่นั้นมาคนญี่ปุ่นก็เลยเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชค จึงมีการปั้นและวางแมวกวักไว้ตามที่ต่างๆ นับแต่นั้นมา และในปัจจุบันสถานที่ต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นหรือแม้แต่ในประเทศไทยเองก็ตาม สามารถพบเห็นมะเนะกิ เนะโกะอยู่ทั่วไป มีหลากหลายขนาดและสีสัน บางส่วนก็ทำกลไกให้มือซ้ายสามารถขยับในลักษณะกวักเข้าหาตัวได้ด้วย ในขณะที่มืออีกข้างนึงก็ถือเหรียญไว้ เพราะมีความเชื่อว่าถ้าแมวที่เลี้ยงไว้ยกขาหน้าขึ้นเสมอหูข้างซ้ายแล้วจะมีคนมาหา ถ้าเป็นร้านค้าก็จะมีลูกค้าเข้าร้าน
ท่ากวักมือของเจ้าเหมียว

ท่ากวักมือของมิเนะกิ เนะโกะ ตามความเชื่อของชาวอาทิตย์อุทัย ให้ความหมายว่า "เชิญเข้ามา..ยินดีต้อนรับ" ดังนั้นพ่อค้าแม่ขายจึงนิยมนำเจ้าเหมียวไปตั้งไว้หน้าร้านเพื่อเป็นตัวนำโชคและเรียกลูกค้าให้เข้ามาในร้านกันเยอะๆ โดยแมวที่กวักซ้ายหมายถึงเรียกคนเข้าร้าน ถ้ากวักมือขวาเป็นการเรียกเงินทองและความโชคดีเข้าบ้าน และยังเชื่อกันว่าหากเจ้าเหมียวมะเนะกิ เนะโกะยิ่งกวักมือสูงมากเท่าไหร่ยิ่งโชคดีมากเท่านั้น

ความหมายตามสีของน้องเหมียว ตามความเชื่อของชาวอาทิตย์อุทัยนั้น แมวกวักแต่ละสีก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปอีก ได้แก่ แมวกวักสีฟ้า, ขาว เชื่อว่าจะกวักเรียกความสุขมาให้, แมวกวักสีม่วง เชื่อว่าทำให้เจ้าของแมวมีสุขภาพดี, แมวกวักสีเทานั้นเชื่อกันว่าจะทำให้โชคดีๆ เฮงๆ, แมวกวักสีเหลืองจะเป็นเรื่องของเงินทอง โชคลาภ, แมวกวักสีแดง เชื่อว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต, แมวกวักสีดำ เชื่อว่าจะคอยป้องกันอันตรายได้, แมวกวักสีเขียวจะช่วยให้สมปรารถนาและโชคดีเรื่องเรียน และแมวกวักสีชมพู เชื่อว่าจะโชคดีเรื่องความรัก นอกจากนี้ยังมีที่สุดของแมวกวักคือแมวสามสีกวักมือซ้าย ที่เชื่อว่าจะทำให้โชคดีที่สุด

ธรรมดาน้องแมวก็เป็นสัตว์ที่น่ารักน่าเอ็นดูอยู่แล้ว ยิ่งมีตำนานที่มีเรื่องเกี่ยวกับความโชคดีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าแมวเหมียวมิเนะกิ เนะโกะ เลยยิ่งเป็นที่รักของใครหลายๆ คนเข้าไปใหญ่ ว่าแล้วก็ไปหาแมวกวักสีชมพูมาไว้สักตัวดีกว่า โลกจะได้เป็นสีชมพูกับเขาสักที เมี้ยวววว!!!

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ร่มสัญลักษณ์ของความอ่อนแอในสมัยโบราณ

สมัยนี้ใครๆ ก็ถือร่มกันได้ทั้งนั้น แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้ชายที่ถือร่มเท่ากับประกาศตัวว่าเป็นชายหัวใจหญิง หรือกะเทยเลยทีเดียว

ร่มถือกำเนิดเป็นครั้งแรกที่ดินแดนเมโสโปเตเมียซึ่งแห้งแล้งมีแต่ทะเลทราย ชาวเมโสฯจึงไม่ได้ใช่ร่มกันฝน แต่เอาไว้บังแดดให้หายร้อน พวกเขาจึงเรียกสิ่งประดิษฐ์นี้ว่า umbra แปลว่า "บังแดด"

พอชาวอียิปต์ได้ครอบครองดินแดนในแถบเมโสโปเตเมีย ก็เกิดความเชื่อว่าแผ่นฟ้าทั้งหมดคือร่างกายของเทพธิดานัต ซึ่งแผ่ปกคลุมโลกเฉกเช่นร่มคันใหญ่มหึมา ในสายตาชาวอียิปต์ร่มเลยกลายเป็นภาคหนึ่งของเทพธิดานัต และจะกางเหนือศีรษะของผู้สูงศักดิ์เท่านั้น เช่น ฟาโรห์ อำมาตย์คนสำคัญ ถ้าฟาโรห์เรียกให้ใครเข้ามาบังแดดในร่มคันเดียวกับพระองค์ เท่ากับเป็นการให้เกียรติสูงสุด คนๆ นั้นต้องเป็นคนที่ทรงโปรดปรานมากๆ เช่น มเหสี หรือขุนศึกที่สร้างความดีความชอบครั้งยิ่งใหญ่

พอมาถึงยุคโรมันและกรีกเรืองอำนาจ นักรบโรมันซึ่งจะต้องเก๊กท่าห้าวหาญอยู่ตลอดเวลา เกิดมองว่าการมีร่มมาบังแดดเป็นการแสดงความอ่อนแอเหมือนสาวๆ ผิวบางที่กลัวแดดร้อนลมแรงของทะเลทราย เลยแอนตี้กันยกใหญ่จนกลายเป็นกระแสต่อต้านการกางร่มขึ้นมา สมัยนั้นถือว่าร่มเป็นของที่มีไว้ให้คนอ่อนแออย่างผู้หญิงกับเด็กใช้กัน ผู้ชายวัยฉกรรจ์จะไม่ยอมใช้ร่มเป็นอันขาด ยกเว้นแต่จะกางให้คนรัก (ส่วนตัวเองยืนทนร้อน)

สำหรับการใช้ร่มเพื่อกันฝนก็เริ่มมีใช้กันในยุคโรมันนี่เอง เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งขณะที่สาวๆ กำลังไปดูละครกลางแจ้งได้เกิดมีฝนตกลงมา พวกสาวๆ ร่วมร้อยคนก็เลยยกร่มขึ้นมาบังฝนสร้างความรำคาญ (และอิจฉา) ให้กับผู้ชายที่ยืนกันตัวเปล่าๆ เป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีการฟ้องร้องกันเลยทีเดียว ในศตวรรษที่ 1 แห่งคริสตกาลมีคนเสนอเรื่องนี้ให้จักรพรรดิโดมิเทียนทรงตัดสิน คนเสนอซึ่งเป็นผู้ชายคงคิดว่าพระจักรพรรดิจะเข้าข้างลูกพวกผู้ชายด้วย แต่ผิดคาดจักรพรรดิโดมิเทียนทรงตัดสินให้ผู้หญิงมีสิทธิ์กางร่มกันฝนในที่สาธารณะได้ นับจากนั้นการใช้ร่มก็เลยยิ่งแพร่หลาย สามารถใช้ได้ในทุกโอกาส และผู้หญิงในสมัยต่อมาก็ได้คิดปรับปรุงเอาน้ำมันมาทาร่ม ทำให้กันน้ำได้โดยไม่เปื่อยยุ่ย

ความเชื่อเรื่องร่มเป็นของใช้ของผู้หญิงเท่านั้น ได้แพร่จากกรีกโรมันเข้าไปในยุโรปทำให้พวกผู้ชายไม่ยอมถือร่มโดยเด็ดขาด ในสมัยนั้นร่มถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรบรรจงสร้างมาก มีการติดลูกไม้ ติดระบายสวยงามและผู้หญิงก็จะถือร่มเหมือนเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง

ผู้หญิงผูกขาดการถือร่มอยู่หลายร้อยปีจนถึงปี ค.ศ.1750 "นายโจนาส แฮนเวย์" ชายชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่ออกมารณรงค์สิทธิในการใช้ร่มของผู้ชายโจนาสจะถือร่มติดมือตลอดเวลาไม่ว่าจะไปทำธุระที่ไหน ตอนแรกมีแต่คนล้อเลียนเยาะเย้ยการกระทำผ่าประเพณีสังคมของเขา เพื่อนๆ คิดว่าเขาเป็นกะเทย เด็กวัยรุ่นจะตะโกนล้อเลียนเวลาเขาเดินผ่าน ส่วนคนขับรถเกลียดโจนาสมาก เพราะถ้าชาวอังกฤษทำตามเขา พากันถือร่มออกมาเดินเวลาฝนตกกันหมด คนที่เช่ารถม้าเพื่อหลบฝนก็จะน้อยลง คนขับรถม้าก็จะขาดรายได้ไปด้วย ถึงจะถูกเย้ยหยันแต่โจนาสก็ยังยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ต่อไป จนในที่สุดผู้ชายคนอื่นๆ ก็เริ่มเอาอย่าง และเริ่มเห็นว่าการลงทุนซื้อร่มเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะในกรุงลอนดอนฝนตกสลับกับแดดออกตลอดวัน พอถือร่มแล้วก็ไม่ต้องเรียกรถม้าทุกครั้งที่ฝนตกอีก ทำให้ประหยัดเงินได้มากทุกคนเลยหันมานิยมถือร่มตามโจนาสและร่มก็กลายเป็นของใช้ของคนทุกเพศมาจนถึงทุกวันนี้

Tip ความเชื่อเกี่ยวกับร่ม

  • ในสมัยของชาวตะวันตก บาทหลวงจะกางร่มเพื่อเดินนำหน้าศพเลยถือเป็นเคล็ดว่าอย่าวางร่มบนโต๊ะหรือบนเตียง ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุร้ายกับคนในบ้าน
  • อย่าให้ร่มเป็นของขวัญกับใคร ถ้าให้ก็เท่ากับแช่งคนที่ได้รับของขวัญให้มีอันเป็นไป
  • คนที่ทำร่มหลุดมือจะเป็นบ้า

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Lisa ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ผีกะ บริวารที่มองไม่เห็นในความเชื่อของคนไทย

คนไทยกับผีเป็นเพื่อนซี้ที่อยู่คู่กันมายาวนานแล้ว และไม่ใช่ว่าฝ่ายคนจะต้องวิ่งหน้าตั้งหนีผีเสมอไป ในบางท้องถิ่นผีก็เป็นฝ่ายถูกคนจับมาเลี้ยงไว้ใช้งานได้เหมือนกัน

ผีกะเป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ชื่อของยายผีตัวนี้มาจากมารยาทบนโต๊ะอาหาร เพราะนางใช้ช้อนส้อมดินเนอร์หรูมีระดับไม่เป็น แต่จะใช้มือขย้ำอาหารยัดใส่ปากอย่างตะกละตะกราม ก็เลยเรียกกันสั้นๆ ว่า "ผีกะ" มีลักษณะคล้ายผีปอบคือชอบเข้าสิงคนและชอบกินของสดของคาว ทางเหนือเชื่อกันว่าผีกะไม่จำเป็นต้องเป็นวิญญาณเสมอไป บางทีคนเป็นๆ ก็เป็นผีกะได้ ถ้าเผลอไปหลับนอนกับผู้หญิงที่เป็นผีกะ หรือกินข้าวร่วมกับคนที่เป็นผีกะครบเจ็ดไห คนที่เลี้ยงผีจะต้องเซ่นสังเวยด้วยเนื้อสัตว์ดิบๆ ทุกวันที่กำหนดถึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากผีกะได้ แต่ถ้าเลี้ยงไม่ดีปล่อยให้ผีกะอดๆ อยากๆ มันจะเข้าสิงคนเลี้ยงทำให้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งผี ต้องออกไปจับคนมาแหวะท้องกินตับไตไส้พุงในตอนกลางคืน คล้ายๆ นางผีกระสือของภาคกลาง

ผีกะมีหลายชนิด ชนิดที่เรียกว่าผีกะพระ-นาง เป็นผีที่นักแสดงทางเหนือนิยมเลี้ยงกันมากที่สุด เพราะเชื่อกันว่าต่อให้เจ้าของหน้าตาอะเฟรดชนิดหมอศัลยกรรมยังต้องคืนเงิน แต่ถ้าเลี้ยงผีกะไว้ในตอนกลางคืนมันจะออกมาเลียหน้าทำให้คนเลี้ยงสวยหล่อหยาดฟ้ามาดินเลยทีเดียว และยิ่งดึกเท่าไรก็ยิ่งสวยมากขึ้นเท่านั้น แต่ขอย้ำว่าความสวยนี้จะมาเฉพาะตอนกลางคืน ส่วนกลางวันคาดว่าผีคงจะง่วงนอนเลยไม่รับทำโอที

ผีกะอาคม คนมีวิชาอาคมสมัยก่อนไม่ค่อยจะยอมสอนใครง่ายๆ แต่ก็มีคนอยากมาเป็นลูกศิษย์กันมากมาย ลูกศิษย์บางคนพอครูไม่สอนให้ก็มาแอบดูหรือขโมยตำราไปเรียนเอง โดยไม่ได้ทำพิธีขึ้นครู จึงถูกอาคมที่ครูสาปแช่งไว้ในตำรานั้นทำให้กลายเป็นผีที่เรียกว่าผีกะอาคมไปในที่สุด

ผีกะตระกูล เป็นผีกะที่ชาวเหนือนิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย และจะยกย่องเทียบเท่าบรรพบุรุษคนหนึ่ง คนโบราณให้สังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะตระกูล ที่นาของบ้านนั้นจะอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ ไม่มีแมลงมารบกวน ไม่มีโรคระบาดจนข้าวล่มทั้งนาแต่การเลี้ยงก็ต้องระวังให้มากอีกเช่นกัน เพราะถ้าเจ้าของบ้านตายไปโดยไม่สั่งเสียลูกหลานไว้ ปล่อยให้ผีกะตระกูลอดอยาก มันจะเข้าสิงชาวบ้าน (ส่วนใหญ่ก็คนเลี้ยงนั่นล่ะ) แล้วออกไปหาของดิบของคาวกินเอง คนบ้านนั้นจะกลายเป็นที่รังเกียจของคนทั้งหมู่บ้านโทษฐานที่ทำไม่ดีกับบรรพบุรุษ

ธรรมเนียมการให้เครื่องเซ่นผีกะมีอยู่ว่า ผู้ชายไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เซ่นไข่ดิบคนละฟองเท่านั้น แต่ผู้หญิงจะต้องเซ่นผีกะด้วยเนื้อสัตว์ดิบๆ และถ้าแม่จะตายก็ต้องสั่งเสียให้ลูกสาวทำต่อ ตกทอดกันไปรุ่นสู่รุ่น ถ้าแม่บ้านบ้านไหนเลี้ยงไม่ดีผีกะจะเข้าสิงคนเลี้ยง จากนั้นก็จะแพร่พันธุ์ให้คนในบ้านต่อๆ ไปจนกลายเป็นผีกะกันทั้งบ้าน หลังจากนั้นเชื้อสายของผีกะจะตกทอดไปแบบทายาทอสูร คือลูกสาวคนสุดท้องจะต้องเป็นผีกะต่อจากมารดาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบ้านนั้นจะสิ้นลูกสิ้นหลาน แต่ถ้าครอบครัวนั้นไม่อยากรับสืบทอดการเป็นผีกะแล้วก็ให้เอาน้ำลายของคนที่เป็นผีกะไปป้ายที่ปากแมวโพง เจ้าเหมียวตัวนั้นก็จะรับการถ่ายทอดเป็นผีกะแทน

ชาวเหนือเชื่อกันว่าผู้หญิงที่เป็นผีกะจะมีเสน่ห์มาก ทำให้ผู้ชายหัวทิ่มหัวตำกันเป็นทิวแถว ถ้าสาวคนไหนมีหนุ่มมารุมจีบเยอะผู้ชายจึงต้องทดสอบว่าเธอเป็นผีกะหรือเปล่า ด้วยการใช้ "ตองกล้วยงำเครือ" (ใบตองใบสุดท้ายที่ปกเครือกล้วย) มาลงคาถาปลุกเสก จากนั้นก็เจาะใบกล้วยเป็นรูแล้วมองหญิงสาวผ่านใบกล้วยไป ถ้าเธอเป็นผีกะ จะเห็นแมวหรอตัววอกตัวเล็กๆ 2 ตัวเกาะอยู่บนบ่าผู้หญิงคนนั้น ช่วยกันแลบลิ้นเลียใบหน้าเธอให้สวยงามมีออร่ามหาละลวยอยู่ตลอดเวลา

วิธีปราบผีกะมีหลายวิธี เช่น ผ้าที่ใช้ยารอยต่อของหม้อนึ่งกับไหข้าว เรียกว่า "เตี่ยวหม้อหนึ้ง" มาผูกคอคนที่ผีกะเข้าสิง เพราะชาวบ้านเชื่อว่าหม้อข้าวมีเทวดาคุ้มครองอยู่ เมื่อผีเจอกับเทวดาก็เหมือนไม้ซีกมาเจอไม่ซุง ฝ่ายผีก็ต้องมอดม้วยมรณาไปเอง อีกวิธีหนึ่งให้ปลุกเสกพริกหรือพริกไทยพ่นใส่หน้าคนถูกผีเข้า เพราะผีไม่ถูกกับพริก เจอเข้าไปจะแสบตาจนต้องชิ่งหนี

วิธีปราบผีกะที่เข้าสิงผู้หญิงที่ได้ผลมากอีกวิธีหนึ่งคือ จับหญิงนั้นแก้ผ้าประจานหรือไม่ก็ข่มขืนคนที่ถูกผีเข้าสิงเสียเลย (อันนี้โหดแฮะ) ผีจะรีบย้ายที่สิงสถิตด่วนจี๋ แต่จะเพราะอะไรตำราท่านไม่ยักเขียนไว้เสียด้วยสิ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ตำนานการกินของชาวญี่ปุ่น

ฝรั่งมีสุภาษิตว่า "You Are What You Eat" กินอะไรร่างกายก็เป็นแบบนั้นเป็นการยืนยันว่าอาหารนั้นมีความสำคัญกับคนเรามาก สำหรับคนญี่ปุ่น ถ้าพูดถึงอาหารที่สำคัญ รับรองว่าจะขาด 3 ชนิดนี้ไม่ได้เลย

ปลา คนญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นชาติที่กินปลามากที่สุดในโลก แถมยังกินได้ทุกสปีชี่ส์ที่คนชาติอื่นเขาไม่กินกัน เช่นปลาวาฬ ปลาฉลาม ปลาหมึกยักษ์ ฯลฯ เมื่อกินมากคนญี่ปุ่นก็เลยเข้าใจธรรมชาติของปลามาก และรู้ด้วยว่าปลาซีกที่อร่อยที่สุดนั้นคือซีกที่อยู่ด้านบน เวลาชาวประมงจับปลาตัวใหญ่ๆ มาได้ จะวางเรียงเอาด้านบนขึ้นไว้เป็นแถวจนกว่าจะมีคนมาซื้อ เนื้อปลาด้านที่อยู่ข้างบนเลยสดกว่าด้านล่าง พ่อค้าที่ซื้อไปรวมทั้งแม่ครัวก็จะต้องระวังไม่ยอมกลับด้านปลาเป็นอันขาด พอทำเป็นอาหารเสร็จก็จะเสิร์ฟเอาด้านบนขึ้นอีก คนกินจะได้กินแต่เนื้อด้านที่อร่อยที่สุด คนญี่ปุ่นจะทำอย่างนี้กับปลาตัวโตๆ ที่คนรวยและขุนนางกินกันเท่านั้น ถ้าเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อยไม่มีราคาก็วางพลิกคว่ำคะมำหงายกันตามสบาย

การกินปลาเฉพาะด้านยังใช้วัดความโง่ความฉลาดของคนได้ด้วย ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบันทึกถึงโชกุนคนหนึ่ง ที่ถูกตราหน้าว่ามีหัวไว้แค่กั้นหูเพราะกินปลาไม่เป็น โชกุนคนนี้ชอบกินปลามาก ทุกมื้อจะต้องมีปลาเป็นเมนูเด็ด และจะกินแต่ซีกบนที่อร่อยที่สุดเท่านั้น วันหนึ่งท่านโชกุนหิวจัด หลังจากซดโฮกปลาซีกบนจนเกลี้ยง ท่านก็สั่งแม่ครัวให้ทำปลามาอีกจาน แต่ปลาในครัวหมดแล้ว ยายแม่ครัวกะล่อนก็เลยพลิกปลาเอาซีกที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาไว้ข้างบนแล้วเอาไปเสิร์ฟ ท่านโชกุนก็กินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รู้ว่าไอ้ที่กินอยู่นี่เป็นด้านล่าง พอเรื่องเล่าลือออกไปชาวบ้านก็เลยหัวเราะเยาะเรียกท่านโชกุนว่าคนโง่เพราะกินปลามาเป็นชาติแล้วยังแยกไม่ออกว่าปลาด้านที่ดีกับด้านที่รสชาติโหลยโท่ยต่างกันอย่างไร

งู เห็นหน้าใสอินโนเซ้นต์อย่างนั้น ใครจะเชื่อว่างูเงี้ยวเขี้ยวขอนี่ล่ะเป็นเมนูที่คนญี่ปุ่นโปรดปรานมาก แถมชนิดที่ถือว่าหอเจี๊ยะที่สุดต้องเป็นพวกงูพิษ ยิ่งพิษร้ายก็ยิ่งอร่อย เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่างูพิษเป็นยาบำรุงกำลัง ถ้าใครร่างกายอ่อนเพลียเจ็บป่วยเรื้อรัง ต้องกินตับงูที่เพิ่งแหวะท้องออกมาสดๆ ส่วนงูแช่เหล้าสาเกนั้นถือว่าเป็นยาครอบจักรวาล รักษาได้สารพัดโรค ที่มาของสาเกดองงูมีอยู่ว่า ในสมัยโบราณมีกระทาชายยุ่นปี่ (ญี่ปุ่น) คนหนึ่งเป็นโรคผิวหนังขนาดหนัก รักษาเท่าไรก็ไม่หาย วันหนึ่งมีคนเอาเหล้าสาเกมาฝากหนึ่งไห เจ้าหนุ่มก็จ้วงดื่มทุกวัน ยิ่งกินอาการยิ่งดีขึ้นจนหายสนิท แต่พอกินจนถึงก้นไห เขาถึงเห็นว่ามีงูตัวหนึ่งนอนตายอยู่ในนั้น นับจากนั้นคนในหมู่บ้านก็เลยรู้ว่าสาเกที่ดองด้วยงูเป็นยารักษาโรคที่ชะงัดนัก ยิ่งทำให้คอเหล้าได้ใจ ก๊งสาเกดองงูกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง จนงูกลายเป็นอาหารฮิตติดลมบนมาถึงทุกวันนี้ แต่ชาวญี่ปุ่นบางคนก็ทนความสยึมกึ๋ยของงูสดๆ ไม่ได้ พวกหมอก็เลยจับงูไปตากแห้งแล้วบดเป็นผง กลายเป็นงูผงเอาไว้กินกับน้ำร้อน บางคนก็เอาไปโรยข้าวหรือโรยในอาหาร จะได้กินง่ายขึ้น

แมงกะพรุน อย่างที่บอกว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในทะเลเป็นเสร็จคนญี่ปุ่นหมด แมงกะพรุนก็เลยไม่รอดคนญี่ปุ่นกินแมงกะพรุนเยอะจนเทพเรื่องสปีชี่ส์ของสัตว์ชนิดนี้ รู้ว่าชนิดไหนมีพิษชนิดไหนไม่มี เคยมีประวัติว่าในช่วงสงครามนักรบญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งเคยเอาแมงกะพรุนชนิดมีพิษมาบดเป็นผง เอาไปโรยไว้เหนือลมให้พัดไปเข้าตาจมูกปากทหารฝ่ายศัตรู ทำให้ศัตรูหน้าบวมฉึ่ง บ้างก็ตาบอด แพ้ไปเองชนิดแทบไม่ต้องรบ

Tip มารยาทท่องไว้ เวลาไปกินอาหารญี่ปุ่น

  •  เวลากินอาหารประเภทเส้น ไม่ว่าจะเป็นโซบะ อุด้ง ราเมน อย่าลืมทำเสียงซู้ดซ้าดดังๆ คนญี่ปุ่นถือว่ายิ่งสูดดังเท่าไร แสดงว่าอาหารของเขาอร่อยมากเท่านั้น
  •  เทคนิคการกินข้าวปั้นที่ถูกต้องคือเอาด้านที่ห่อสาหร่ายจิ้มน้ำจิ้มโชยุ คนที่เอาด้านที่เป็นข้าวจุ่มลงไปถือว่าเป็นอาชญากรทำลายรสชาติของข้าวปั้นคำนั้น
  •  คนมีมารยาทของญี่ปุ่นคือคนที่กินข้าวหมดชาม ไม่เหลือไว้ให้เปลืองเปล่าไปเฉยๆ
  •  การรินเหล้าหรือน้ำชาให้ตัวเอง ธรรมเนียมญี่ปุ่นถือว่าไม่สุภาพ ถ้าไม่มีพนักงานคอยรินให้ เราต้องรินให้เพื่อนแล้วให้เพื่อนรินให้เรา
  •  การกินอาหารชุดจะต้องวางถ้วยข้าวไว้ด้านซ้ายมือ ถ้วยซุปไว้ทางขวามือ ถ้าวางสลับเอาถ้วยซุปไว้ซ้าย ถ้วยข้าวไว้ทางขวา เท่ากับเป็นสำรับที่ใช้เซ่นไหว้คนที่ตายไปแล้ว
  •  ห้ามคีบอาหารส่งต่อกันด้วยตะเกียบ ถ้าจะคีบกับข้าวให้เพื่อนต้องคีบแล้ววางลงบนจาน จากนั้นเพื่อค่อยคีบไปกินอีกทีหนึ่ง

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ความเชื่อโบราณเมื่อนาฬิกาไม่ได้มีไว้แค่บอกเวลา

นาฬิกาเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เรทติ้งดีไม่มีตก ถ้าเป็นดาราก็ต้องเรียกว่าดาวค้างฟ้า เพราะตั้งแต่มันถูกสร้างขึ้นมาก็ได้รับการต้อนรับด้วยดีจากแฟนๆ และแม่ยกมาตลอด เมื่อเห่อกันมากนักความเชื่อเกี่ยวกับนาฬิกาจึงต้องมากตามไปด้วยเป็นธรรมดา อย่างเช่นความเชื่อต่อไปนี้

ตำแหน่งที่แขวนนาฬิกาไว้สำคัญมาก จะต้องไม่แขวนนาฬิกาไว้ตรงกันข้ามกับประตูบ้านพอดี เพราะมันจะเป็นสิ่งแรกที่เราได้เห็นเวลาเข้าบ้าน เชื่อกันว่าเป็นการเร่งวันเร่งคืนให้คนที่เดินเข้าบ้านนี้ (โดยเฉพาะตัวเจ้าของบ้าน) หมดอายุขัยเร็วๆ

คนโบราณจะไม่ปล่อยให้นาฬิกาตาย ความเชื่อนี้เชื่อกันมากในหมู่ชาวจีน เพราะเมื่อนาฬิกาตาย โชคลาภ พลังแห่งความก้าวหน้าที่มากับนาฬิกาก็จะพลอยตายไปด้วย ลูกสะใภ้บ้านไหนไม่ดูแลปล่อยให้นาฬิกาหยุดเดินจะต้องถูกแม่ผัวบ่นปากเปียกปากแฉะไปหลายวัน

ในประเทศจีน บ้านที่ตั้งอยู่ในฮวงจุ้ยไม่ดี เช่น บนทางสามแพร่ง หรือมีถนนตัดเข้ามาถึงหน้าบ้าน จะแขวนนาฬิการูปแปดเหลี่ยมที่เรียกว่านาฬิกาโป๊ยก่วยไว้ เพื่อใช้แก้อาถรรพ์ นาฬิกาชนิดนี้เหมือนยันต์แปดทิศ และมีพลังหยินหยางแฝงอยู่ในตัวสมบูรณ์ สามารถขับไล่ภูตผีปีศาจทุกเวอร์ชั่นไม่ให้เข้ามาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ในบ้าน ชาวจีนเชื่อว่าในบ้านควรมีนาฬิกาทรงกลมอย่างน้อยหนึ่งอัน เพราะทรงกลมของมันคล้ายกับเหรียญเงิน เจ้าของบ้านจะได้มีเงินทอง ทั้งลาภจริงลาภลอยไหลเข้าบ้านไม่ขาดสาย

เวลาเปิดกิจการร้านค้า ส่วนใหญ่จะนำนาฬิกาตั้งพื้น (ชิกโซ่) เป็นของขวัญที่ระลึกวันเปิดร้านใหม่ และกระจกด้านหน้าที่มีข้อความเขียนคำอวยพรเป็นภาษาจีนซึ่งล้วนแต่เป็นคำมงคลเกี่ยวกับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ร้อยละเก้าสิบของนาฬิกาประเภทนี้จะมีคำอวยพรทั้งนั้น นักสะสมบางคนชอบเก็บสะสมคำอวยพรไว้ซึ่งเป็นความหมายที่ดี

เสียงตีของนาฬิกาเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ชื่อเสียง ความเกรียงไกร และช่วยกล่อมจิตใจเจ้าของบ้านให้ร่มเย็นเป็นสุข นาฬิกาที่เอาแต่บอกเวลาแต่ไม่ตีจึงถือว่าไม่ใช่นาฬิกาที่ดี ถ้าเอาเข้ามาแขวนคนในบ้านนั้นจะมีแต่ความเร่งร้อน ต้องทำงานหนักงกๆ จนไม่มีเวลาพักผ่อนและจิตใจก็หาความสุขไม่ได้

หน้าปัดนาฬิกาจะสะท้อนตัวตนของคนที่ใส่มัน คนที่เชื่อเรื่องนาฬิกาจึงนิยมใส่นาฬิกาที่หน้าปัดใหญ่ๆ เพื่อเพิ่มสิริมงคลให้ตัวเองดูภูมิฐาน ชีวิตอุดมสมบูรณ์ ทำมาค้าขึ้น และจะเน้นหน้าปัดที่เป็นกระเบื้องเพราะกระเบื้องมีความเงางามเป็นมันสดใสไม่มัวหมองง่ายๆ แม้จะเก่าแค่ไหนก็ตาม โชคชะตาของคนใส่จะได้สดใสไม่มีวันเสื่อมไปด้วย สีนาฬิกาถ้าเป็นคนที่เชื่อจริงๆ จะเลือกใส่นาฬิกาตามสีวันเกิดหรือราศีเกิดของตัวเอง เพื่อเสริมพลังชีวิตให้เจริญก้าวหน้า

คนจีนสั่งสอนกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดว่านาฬิกาที่มีรูปม้าและนกอินทรีอยู่ด้านบนสุด ถือว่าเป็นนาฬิกาซูเปอร์เฮง เฮงจัด และเฮงจริงๆ ควรมีไว้เป็นเครื่องรางประจำบ้าน เพราะม้าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความสมหวัง เจ้าของบ้านจะทำอะไรก็สำเร็จได้ผลดีไปหมดทุกอย่าง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นม้าสีทอง สีเงิน และสีน้ำตาลเท่านั้น ส่วนม้าสีดำเป็นม้าแห่งความตายลูกหลานคนไหนทะเล้นอุ้มเข้าบ้านมีหวังถูกด่าจนหูชา

สำหรับนกอินทรีนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างาม วาสนาอันสูงส่ง การเริ่มต้นที่ดีและความรุ่งเรือง ยิ่งถ้านกตัวนั้นทำท่าเหินร่อนเหมือนจะบินก็ยิ่งเป็นอภิชาตนก เหมาะจะตั้งไว้ในห้องรับแขกให้เป็นสิริมงคลกับครอบครัว เพราะนกตัวนี้จะเรียกเงินทองโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองมาให้วงศ์ตระกูล

นาฬิกาที่มีรูปสิงโตอยู่ด้านบนเป็นของมงคลยอดฮิตอีกอย่างหนึ่งของชาวจีน เชื่อว่ามีแล้วลูกชายบ้านนั้นจะเจริญก้าวหน้า มีความเข้มแข็งและได้เป็นผู้นำหรือเป็นเจ้าคนนายคน เหมือนสิงโตเจ้าป่านั่นเอง

หน้าปัดนาฬิกาที่ดีควรทำจากกระจกที่เจียระไนเหลี่ยมมุมให้สะท้อนแสงได้คล้ายเพชร กระจกแบบนี้จะสะท้อนพลังงานดีๆ ไปทั่วบ้าน ช่วยให้คนที่อาศัยมีแต่ความสุข ปลอดโปร่งใจ ฐานะการเงินก็มั่นคงไม่ต้องวิ่งหนีเจ้าหนี้กันขาขวิด

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ดาวหาง ดาวแห่งมรณะ

ดาวหางเป็นดาวอาภัพที่ถูกสังคมประณามว่าเป็นดาวอัปมงคลมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว จนตำราโหราศาสตร์ถึงกับบันทึกไว้ว่า "ดาวหางเปรียบเสมือนไม้กวาดแห่งจักรวาล" เพราะถ้ามาเมื่อไรก็จะกวาดสิ่งดีๆ ไปจากโลกนี้ ความเชื่อทางโหราศาสตร์บอกว่า โชคร้ายที่ดาวหางนำมาให้จะไม่เกิดกับคนธรรมดาอย่างเราๆ (เย้!!) แต่จะไปเกิดกับคนสำคัญๆ ระดับผู้นำประเทศ ไม่ก็ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น ปัญหาข้าวยากหมากแพง การก่อการร้าย เกิดสงคราม เกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ รวมทั้งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำประเทศด้วย

หลักฐานที่ทำให้คนโบราณเชื่อว่าดาวหางนำโชคร้ายมาให้มีอยู่ทั่วโลก ที่เด่นๆ ก็อย่างเช่น ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งได้บันทึกไว้ว่า ก่อนที่นครโซดอมและโกโมราห์จะถูกพระเจ้าทำลาย ก็มีประชาชนเห็นดาวหางปรากฏบนท้องฟ้า ต่อมาในปีที่มีดาวหางปรากฏอีกครั้ง ซีซาร์ของกรุงโรมก็ได้เสด็จสวรรคต ทำให้ชาวบ้านยิ่งปักใจเชื่อในความอัปมงคลของดาวหางมากขึ้น

ชาวญี่ปุ่นเองก็รับความเชื่อเรื่องดาวหางมาเต็มๆ เคยมีพระจักรพรรดิ์พระองค์หนึ่งถึงกับยอมสละราชสมบัติเพื่อรักษาพระชนม์ชีพไว้ เมื่อมีดาวหางปรากฏขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (เพราะถ้าดาวหางปรากฏ ผู้นำประเทศมักต้องเสียชีวิต) เดือนกันยายน พ.ศ. 2453 เป็นปีที่เกิดดาวหางฮัลเลย์ขึ้นสว่างเต็มท้องฟ้าผู้คนตื่นเต้นด้วยกันทั้งโลก และไม่นานหลังจากนั้น "พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 7" แห่งอังกฤษก็เสด็จสวรรคต

จากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักโหราศาสตร์ปักใจหวาดกลัวดาวหางกันมากขึ้น แต่สำหรับนักดาราศาสตร์แล้ว ดาวหางกลับเป็นดาวแห่งความหวังที่นำชื่อเสียงมาให้ เพราะในวงการดาราศาสตร์มีประเพณีว่า ใครได้ค้นพบดาวดวงใหม่เป็นคนแรกก็ให้ตั้งชื่อดาวตามชื่อคนที่ค้นพบ นักดาราศาสตร์จึงพยายามคำนวณหากันว่าเมื่อไรจะมีดาวหางเกิดขึ้น เพื่อที่ว่าถ้าเป็นจริงตามที่คำนวณ ชื่อของนักดาราศาสตร์คนนั้นก็จะได้เอาไปตั้งเป็นชื่อดาว และถูกบันทึกไว้ในวงการดาราศาสตร์ไปตลอดกาล
ดาวหางที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ดาวหางฮัลเลย์"

และเป็นดาวที่มีความผูกพันกับโลกเรามากที่สุด เพราะมันจะโคจรมาให้ชาวโลกได้เห็นเสมอทุกๆ 75-76 ปี ผู้ค้นพบมันคือ "เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์" นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ แต่ชื่อเสียงของฮัลเลย์ก็เหมือนดาวหางดวงอื่นๆ คือไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะแต่ละปีที่ฮัลเลย์มาเยือนโลกจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น เช่น

พ.ศ.303 ดาวหางฮัลเลย์มาเยือนโลกเป็นครั้งแรก ช่วงนี้เกิดสงครามโรมันกับคาร์เทจ หลังจากนั้นโรมันได้ทำสงครามกับคาร์เทจอีก 2 ครั้ง จนมีผู้คนล้มตายเป็นเบือ

พ.ศ.600 เป็นครั้งที่ 5 ที่ชาวโลกได้เห็นฮัลเลย์ ไม่นานก็เกิดกบฏต่อต้านโรม ทำให้นครเยรูซาเล็มต้องพินาศ

พ.ศ.994 โลกต้อนรับการมาเยือนของดาวหางดวงนี้ด้วยเหตุการณ์ที่อาณาจักรฮั่นที่ยิ่งใหญ่ถูกตีแตก

พ.ศ.1999 ฮัลเลย์โคจรมาโลกของเราเป็นครั้งที่ 23 เกิดไข้ทรพิษระบาดในประเทศไทย มีชาวบ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก

พ.ศ.2453 หลังจากฮัลเลย์ผ่านมาเป็นครั้งที่ 29 ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต
นี่ยังไม่นับเหตุการณ์วินาศภัยจากพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว และอุบัติเหตุต่างๆ อีกหลายครั้ง เช่น แผ่นดินไหวติดต่อกัน 3 ครั้งที่เม็กซิโกทำให้มีคนตายนับไม่ถ้วน เกิดพายุน้ำท่วมที่บังคลาเทศในเดือนกุมภาพันธ์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 20,000 คน ผู้นำโซเวียตตายกันถึง 8 คน ในช่วงก่อนและหลังจากดาวหางฮัลเลย์โคจรผ่านโลกไม่นาน
เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ฮัลเลย์ได้รับฉายาว่า "ดาวหางโลกาวินาศ" และเป็นการตอกย้ำความเชื่อว่าดาวหางจะนำโชคร้ายมาสู่โลกให้ฝังลึกลงไปอีก

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on