รู้หรือไม่ เป็นหมวดหมู่ที่รวมรวมเรื่องราว บทความต่างๆ เกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ที่มา ความเชื่อต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราทำตามๆ กันมาโดยที่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน คุณผู้อ่านอาจจะรู้กันบ้างแล้วหรืออาจจะยังไม่รู้ ทางเราเลยเก็บรวมรวมเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกมาฝากกัน ถ้ายังไม่รู้เรามารู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

Written by on

ร่มสัญลักษณ์ของความอ่อนแอในสมัยโบราณ

สมัยนี้ใครๆ ก็ถือร่มกันได้ทั้งนั้น แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้ชายที่ถือร่มเท่ากับประกาศตัวว่าเป็นชายหัวใจหญิง หรือกะเทยเลยทีเดียว

ร่มถือกำเนิดเป็นครั้งแรกที่ดินแดนเมโสโปเตเมียซึ่งแห้งแล้งมีแต่ทะเลทราย ชาวเมโสฯจึงไม่ได้ใช่ร่มกันฝน แต่เอาไว้บังแดดให้หายร้อน พวกเขาจึงเรียกสิ่งประดิษฐ์นี้ว่า umbra แปลว่า "บังแดด"

พอชาวอียิปต์ได้ครอบครองดินแดนในแถบเมโสโปเตเมีย ก็เกิดความเชื่อว่าแผ่นฟ้าทั้งหมดคือร่างกายของเทพธิดานัต ซึ่งแผ่ปกคลุมโลกเฉกเช่นร่มคันใหญ่มหึมา ในสายตาชาวอียิปต์ร่มเลยกลายเป็นภาคหนึ่งของเทพธิดานัต และจะกางเหนือศีรษะของผู้สูงศักดิ์เท่านั้น เช่น ฟาโรห์ อำมาตย์คนสำคัญ ถ้าฟาโรห์เรียกให้ใครเข้ามาบังแดดในร่มคันเดียวกับพระองค์ เท่ากับเป็นการให้เกียรติสูงสุด คนๆ นั้นต้องเป็นคนที่ทรงโปรดปรานมากๆ เช่น มเหสี หรือขุนศึกที่สร้างความดีความชอบครั้งยิ่งใหญ่

พอมาถึงยุคโรมันและกรีกเรืองอำนาจ นักรบโรมันซึ่งจะต้องเก๊กท่าห้าวหาญอยู่ตลอดเวลา เกิดมองว่าการมีร่มมาบังแดดเป็นการแสดงความอ่อนแอเหมือนสาวๆ ผิวบางที่กลัวแดดร้อนลมแรงของทะเลทราย เลยแอนตี้กันยกใหญ่จนกลายเป็นกระแสต่อต้านการกางร่มขึ้นมา สมัยนั้นถือว่าร่มเป็นของที่มีไว้ให้คนอ่อนแออย่างผู้หญิงกับเด็กใช้กัน ผู้ชายวัยฉกรรจ์จะไม่ยอมใช้ร่มเป็นอันขาด ยกเว้นแต่จะกางให้คนรัก (ส่วนตัวเองยืนทนร้อน)

สำหรับการใช้ร่มเพื่อกันฝนก็เริ่มมีใช้กันในยุคโรมันนี่เอง เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งขณะที่สาวๆ กำลังไปดูละครกลางแจ้งได้เกิดมีฝนตกลงมา พวกสาวๆ ร่วมร้อยคนก็เลยยกร่มขึ้นมาบังฝนสร้างความรำคาญ (และอิจฉา) ให้กับผู้ชายที่ยืนกันตัวเปล่าๆ เป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีการฟ้องร้องกันเลยทีเดียว ในศตวรรษที่ 1 แห่งคริสตกาลมีคนเสนอเรื่องนี้ให้จักรพรรดิโดมิเทียนทรงตัดสิน คนเสนอซึ่งเป็นผู้ชายคงคิดว่าพระจักรพรรดิจะเข้าข้างลูกพวกผู้ชายด้วย แต่ผิดคาดจักรพรรดิโดมิเทียนทรงตัดสินให้ผู้หญิงมีสิทธิ์กางร่มกันฝนในที่สาธารณะได้ นับจากนั้นการใช้ร่มก็เลยยิ่งแพร่หลาย สามารถใช้ได้ในทุกโอกาส และผู้หญิงในสมัยต่อมาก็ได้คิดปรับปรุงเอาน้ำมันมาทาร่ม ทำให้กันน้ำได้โดยไม่เปื่อยยุ่ย

ความเชื่อเรื่องร่มเป็นของใช้ของผู้หญิงเท่านั้น ได้แพร่จากกรีกโรมันเข้าไปในยุโรปทำให้พวกผู้ชายไม่ยอมถือร่มโดยเด็ดขาด ในสมัยนั้นร่มถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรบรรจงสร้างมาก มีการติดลูกไม้ ติดระบายสวยงามและผู้หญิงก็จะถือร่มเหมือนเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง

ผู้หญิงผูกขาดการถือร่มอยู่หลายร้อยปีจนถึงปี ค.ศ.1750 "นายโจนาส แฮนเวย์" ชายชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่ออกมารณรงค์สิทธิในการใช้ร่มของผู้ชายโจนาสจะถือร่มติดมือตลอดเวลาไม่ว่าจะไปทำธุระที่ไหน ตอนแรกมีแต่คนล้อเลียนเยาะเย้ยการกระทำผ่าประเพณีสังคมของเขา เพื่อนๆ คิดว่าเขาเป็นกะเทย เด็กวัยรุ่นจะตะโกนล้อเลียนเวลาเขาเดินผ่าน ส่วนคนขับรถเกลียดโจนาสมาก เพราะถ้าชาวอังกฤษทำตามเขา พากันถือร่มออกมาเดินเวลาฝนตกกันหมด คนที่เช่ารถม้าเพื่อหลบฝนก็จะน้อยลง คนขับรถม้าก็จะขาดรายได้ไปด้วย ถึงจะถูกเย้ยหยันแต่โจนาสก็ยังยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ต่อไป จนในที่สุดผู้ชายคนอื่นๆ ก็เริ่มเอาอย่าง และเริ่มเห็นว่าการลงทุนซื้อร่มเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะในกรุงลอนดอนฝนตกสลับกับแดดออกตลอดวัน พอถือร่มแล้วก็ไม่ต้องเรียกรถม้าทุกครั้งที่ฝนตกอีก ทำให้ประหยัดเงินได้มากทุกคนเลยหันมานิยมถือร่มตามโจนาสและร่มก็กลายเป็นของใช้ของคนทุกเพศมาจนถึงทุกวันนี้

Tip ความเชื่อเกี่ยวกับร่ม

  • ในสมัยของชาวตะวันตก บาทหลวงจะกางร่มเพื่อเดินนำหน้าศพเลยถือเป็นเคล็ดว่าอย่าวางร่มบนโต๊ะหรือบนเตียง ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุร้ายกับคนในบ้าน
  • อย่าให้ร่มเป็นของขวัญกับใคร ถ้าให้ก็เท่ากับแช่งคนที่ได้รับของขวัญให้มีอันเป็นไป
  • คนที่ทำร่มหลุดมือจะเป็นบ้า

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Lisa ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ตำนานการกินของชาวญี่ปุ่น

ฝรั่งมีสุภาษิตว่า "You Are What You Eat" กินอะไรร่างกายก็เป็นแบบนั้นเป็นการยืนยันว่าอาหารนั้นมีความสำคัญกับคนเรามาก สำหรับคนญี่ปุ่น ถ้าพูดถึงอาหารที่สำคัญ รับรองว่าจะขาด 3 ชนิดนี้ไม่ได้เลย

ปลา คนญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นชาติที่กินปลามากที่สุดในโลก แถมยังกินได้ทุกสปีชี่ส์ที่คนชาติอื่นเขาไม่กินกัน เช่นปลาวาฬ ปลาฉลาม ปลาหมึกยักษ์ ฯลฯ เมื่อกินมากคนญี่ปุ่นก็เลยเข้าใจธรรมชาติของปลามาก และรู้ด้วยว่าปลาซีกที่อร่อยที่สุดนั้นคือซีกที่อยู่ด้านบน เวลาชาวประมงจับปลาตัวใหญ่ๆ มาได้ จะวางเรียงเอาด้านบนขึ้นไว้เป็นแถวจนกว่าจะมีคนมาซื้อ เนื้อปลาด้านที่อยู่ข้างบนเลยสดกว่าด้านล่าง พ่อค้าที่ซื้อไปรวมทั้งแม่ครัวก็จะต้องระวังไม่ยอมกลับด้านปลาเป็นอันขาด พอทำเป็นอาหารเสร็จก็จะเสิร์ฟเอาด้านบนขึ้นอีก คนกินจะได้กินแต่เนื้อด้านที่อร่อยที่สุด คนญี่ปุ่นจะทำอย่างนี้กับปลาตัวโตๆ ที่คนรวยและขุนนางกินกันเท่านั้น ถ้าเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อยไม่มีราคาก็วางพลิกคว่ำคะมำหงายกันตามสบาย

การกินปลาเฉพาะด้านยังใช้วัดความโง่ความฉลาดของคนได้ด้วย ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบันทึกถึงโชกุนคนหนึ่ง ที่ถูกตราหน้าว่ามีหัวไว้แค่กั้นหูเพราะกินปลาไม่เป็น โชกุนคนนี้ชอบกินปลามาก ทุกมื้อจะต้องมีปลาเป็นเมนูเด็ด และจะกินแต่ซีกบนที่อร่อยที่สุดเท่านั้น วันหนึ่งท่านโชกุนหิวจัด หลังจากซดโฮกปลาซีกบนจนเกลี้ยง ท่านก็สั่งแม่ครัวให้ทำปลามาอีกจาน แต่ปลาในครัวหมดแล้ว ยายแม่ครัวกะล่อนก็เลยพลิกปลาเอาซีกที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาไว้ข้างบนแล้วเอาไปเสิร์ฟ ท่านโชกุนก็กินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รู้ว่าไอ้ที่กินอยู่นี่เป็นด้านล่าง พอเรื่องเล่าลือออกไปชาวบ้านก็เลยหัวเราะเยาะเรียกท่านโชกุนว่าคนโง่เพราะกินปลามาเป็นชาติแล้วยังแยกไม่ออกว่าปลาด้านที่ดีกับด้านที่รสชาติโหลยโท่ยต่างกันอย่างไร

งู เห็นหน้าใสอินโนเซ้นต์อย่างนั้น ใครจะเชื่อว่างูเงี้ยวเขี้ยวขอนี่ล่ะเป็นเมนูที่คนญี่ปุ่นโปรดปรานมาก แถมชนิดที่ถือว่าหอเจี๊ยะที่สุดต้องเป็นพวกงูพิษ ยิ่งพิษร้ายก็ยิ่งอร่อย เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่างูพิษเป็นยาบำรุงกำลัง ถ้าใครร่างกายอ่อนเพลียเจ็บป่วยเรื้อรัง ต้องกินตับงูที่เพิ่งแหวะท้องออกมาสดๆ ส่วนงูแช่เหล้าสาเกนั้นถือว่าเป็นยาครอบจักรวาล รักษาได้สารพัดโรค ที่มาของสาเกดองงูมีอยู่ว่า ในสมัยโบราณมีกระทาชายยุ่นปี่ (ญี่ปุ่น) คนหนึ่งเป็นโรคผิวหนังขนาดหนัก รักษาเท่าไรก็ไม่หาย วันหนึ่งมีคนเอาเหล้าสาเกมาฝากหนึ่งไห เจ้าหนุ่มก็จ้วงดื่มทุกวัน ยิ่งกินอาการยิ่งดีขึ้นจนหายสนิท แต่พอกินจนถึงก้นไห เขาถึงเห็นว่ามีงูตัวหนึ่งนอนตายอยู่ในนั้น นับจากนั้นคนในหมู่บ้านก็เลยรู้ว่าสาเกที่ดองด้วยงูเป็นยารักษาโรคที่ชะงัดนัก ยิ่งทำให้คอเหล้าได้ใจ ก๊งสาเกดองงูกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง จนงูกลายเป็นอาหารฮิตติดลมบนมาถึงทุกวันนี้ แต่ชาวญี่ปุ่นบางคนก็ทนความสยึมกึ๋ยของงูสดๆ ไม่ได้ พวกหมอก็เลยจับงูไปตากแห้งแล้วบดเป็นผง กลายเป็นงูผงเอาไว้กินกับน้ำร้อน บางคนก็เอาไปโรยข้าวหรือโรยในอาหาร จะได้กินง่ายขึ้น

แมงกะพรุน อย่างที่บอกว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในทะเลเป็นเสร็จคนญี่ปุ่นหมด แมงกะพรุนก็เลยไม่รอดคนญี่ปุ่นกินแมงกะพรุนเยอะจนเทพเรื่องสปีชี่ส์ของสัตว์ชนิดนี้ รู้ว่าชนิดไหนมีพิษชนิดไหนไม่มี เคยมีประวัติว่าในช่วงสงครามนักรบญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งเคยเอาแมงกะพรุนชนิดมีพิษมาบดเป็นผง เอาไปโรยไว้เหนือลมให้พัดไปเข้าตาจมูกปากทหารฝ่ายศัตรู ทำให้ศัตรูหน้าบวมฉึ่ง บ้างก็ตาบอด แพ้ไปเองชนิดแทบไม่ต้องรบ

Tip มารยาทท่องไว้ เวลาไปกินอาหารญี่ปุ่น

  •  เวลากินอาหารประเภทเส้น ไม่ว่าจะเป็นโซบะ อุด้ง ราเมน อย่าลืมทำเสียงซู้ดซ้าดดังๆ คนญี่ปุ่นถือว่ายิ่งสูดดังเท่าไร แสดงว่าอาหารของเขาอร่อยมากเท่านั้น
  •  เทคนิคการกินข้าวปั้นที่ถูกต้องคือเอาด้านที่ห่อสาหร่ายจิ้มน้ำจิ้มโชยุ คนที่เอาด้านที่เป็นข้าวจุ่มลงไปถือว่าเป็นอาชญากรทำลายรสชาติของข้าวปั้นคำนั้น
  •  คนมีมารยาทของญี่ปุ่นคือคนที่กินข้าวหมดชาม ไม่เหลือไว้ให้เปลืองเปล่าไปเฉยๆ
  •  การรินเหล้าหรือน้ำชาให้ตัวเอง ธรรมเนียมญี่ปุ่นถือว่าไม่สุภาพ ถ้าไม่มีพนักงานคอยรินให้ เราต้องรินให้เพื่อนแล้วให้เพื่อนรินให้เรา
  •  การกินอาหารชุดจะต้องวางถ้วยข้าวไว้ด้านซ้ายมือ ถ้วยซุปไว้ทางขวามือ ถ้าวางสลับเอาถ้วยซุปไว้ซ้าย ถ้วยข้าวไว้ทางขวา เท่ากับเป็นสำรับที่ใช้เซ่นไหว้คนที่ตายไปแล้ว
  •  ห้ามคีบอาหารส่งต่อกันด้วยตะเกียบ ถ้าจะคีบกับข้าวให้เพื่อนต้องคีบแล้ววางลงบนจาน จากนั้นเพื่อค่อยคีบไปกินอีกทีหนึ่ง

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

มารยาทร้ายๆ ที่หลายประเทศรับไม่ได้

คนมารยาทดีสำหรับประเทศหนึ่งอาจจะเป็นคนมารยาททรามในอีกประเทศไปเลยก็ได้ เพราะแต่ละชาติก็มีวิธีคิดและขนมธรรมเนียมของตัวเอง เรื่องแบบนี้เป็นความเชื่อเฉพาะท้องถิ่นจริงๆ ค่ะ

ห้ามวนสามรอบ ข้อห้ามนี้เชื่อถือกันในญี่ปุ่นโดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ ว่าถ้าเดินวนรอบตัวใคร 3 ครั้ง เท่ากับแช่งให้คนๆ นั้นพบแต่โชคร้าย คนญี่ปุ่นจึงจะระวังกันสุดฤทธิ์ไม่ให้มีใครมาเดินวนรอบตัวเองได้ ส่วนใครก็ตามที่จำเป็นต้องเดินวนรอบตัวชาวบ้าน เช่น ช่างตัดเสื้อที่ต้องวัดรอบตัวลูกค้า ก็ต้องระวังเช่นกันว่าไม่ให้ถึง 3 รอบ อาจจะสองรอบครึ่งแล้วรีบหยุด อะไรทำนองนี้

ห้ามใส่เสื้อผ้า ประเทศแถบสแกนดิเนเวียถือว่าห้องซาวน่าเป็นพื้นที่ที่ต้องปลอดเชื้อโรคจริงๆ ฉะนั้นคุณจะต้องอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนเข้า และจะเข้าไปได้แต่ตัวกับหัวใจ ส่วนวัตถุอื่นแม้แต่เสื้อผ้าถือว่าเป็นของต้องห้าม เพราะอาจจะพกเชื้อโรคเข้าไปด้วย ถ้าใครไปเข้าซาวน่าที่นี่อย่าแปลกใจที่จะได้เห็นพ่อแม่ลูกนั่งโป๊อบไอน้ำรวมกันทั้งครอบครัว

ในอินเดีย โมร็อกโก อัฟริกา ซึ่งอาหารพื้นบ้านใช้วิธีเปิบด้วยมือเหมือนบ้านเรา วัฒนธรรมของที่นี่ต้องใช้มือขวาหยิบอาหารเข้าปากเท่านั้น แม้แต่เด็กที่ถนัดมือซ้ายก็ยังถูกฝึกให้กินข้าวด้วยมือขวา และต้องตักเฉพาะกับข้าวที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ห้ามข้ามพรมแดนไปตักส่วนของคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่ให้เกียรติคนที่ร่วมวงกินข้าว เดี๋ยวมื้อนี้จะจบไม่สวยค่ะ

ในรัสเซีย ถ้าเจ้าภาพรินว็อดก้ามาให้ แขกต้องดื่มรวดเดียวหมด เหล้าจะขมจะแรงยังไงก็ต้องทน ไม่อย่างนั้นจะถือว่าหักหน้าเจ้าของบ้านเขา เลิกหวังได้เลยว่าจะได้มารอบสอง

หนุ่มๆ ที่ไปเที่ยวเกาหลีโปรดทราบอย่าเผลอไปรินเหล้าให้สาวคนไหนเป็นอันขาด เพราะวัฒนธรรมของที่นี่เขากำหนดว่าผู้หญิงต้องรินเหล้าให้ผู้ชายเท่านั้น ส่วนเพื่อนผู้หญิงจะรินของใครของมัน ไม่มีการใจดีเผื่อแผ่ให้ผู้หญิงด้วยกัน และก่อนจะเติมเหล้า คุณต้องดื่มของตัวเองให้หมดแก้วเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาไม่เรียกคอทองแดง เขาเรียกตะกละเจ้าค่ะ

สำหรับที่ฝรั่งเศสซึ่งขึ้นชื่อเรื่องแชมเปญรสเด็ด ก่อนที่คคุณจะเติมเหล้าแก้วใหม่ ต้องถามคนรอบโต๊ะก่อนว่ามีใครจะเอาด้วยไหม คนที่งุบงิบรินเองดื่มเองไม่แบ่งใคร ชาวบ้านไม่ปลื้ม

ในละตินอเมริกา ใครใคร่เมาเชิญเมาแต่ห้ามเทเหล้าด้วยมือซ้าย เดี๋ยวโชคร้ายจะถามหา ชาวอเมริกันเขาถือว่า เวลาพูดกับใครต้องสบตาคนฟัง เพื่อแสดงความจริงใจไม่จิงโจ้ให้โลกเห็น ถ้าใครพูดไปหลบตาไป นอกจากจะไม่สุภาพแล้วคนฟังยังต้องคิดเยอะๆ ด้วยควรว่าจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินหรือเปล่า

เวลารินเหล้าให้ชาวเยอรมัน อย่าลืมส่งสายตาใสกิ๊งปิ๊งปั๊งแถมไปด้วย เพราะคนเยอรมันเขาเชื่อว่า ถ้ารินเหล้าแล้วไม่สบตาจะมีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ไป 7 ปี แต่จะมีปัญหาแบบไหนอะไรยังไง อันนี้ก็แล้วแต่สุขภาพของแต่ละคนนะ

ห้ามถอดพวงมาลัย นี่คือกฎเหล็กสำหรับคนที่ไปเป็นแขกของชาวฮาวาย เพราะคนชาตินี้เขาบ้าใส่พวงมาลัยให้แขกเอามากๆ ตั้งแต่เหยียบเข้าไปในโรงแรมก็จะมีพนักงานสาวๆ เอาพวงมาลัยมาคล้องให้คุณแล้วและถ้าแขกคนไหนทะเล้นถอดออกต่อหน้าเจ้าภาพจะถือว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขาเพราะพวงมาลัยสำหรับที่นี่คือสัญลักษณ์ของมิตรภาพและการยินดีต้อนรับ นอกจากนี้พอได้พวงมาลัยไปแล้วห้ามเอาไปแขวนไว้ต่ำกว่าเอว ถ้ามือไม่ว่างหรือขี้เกียจถือก็ให้คล้องคอหรือไม่ก็พาดไว้บนบ่า ใครบังอาจลบหลู่พวงมาลัย ชาวฮาวายมีเคืองจริงๆ ด้วย

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ดาวหาง ดาวแห่งมรณะ

ดาวหางเป็นดาวอาภัพที่ถูกสังคมประณามว่าเป็นดาวอัปมงคลมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว จนตำราโหราศาสตร์ถึงกับบันทึกไว้ว่า "ดาวหางเปรียบเสมือนไม้กวาดแห่งจักรวาล" เพราะถ้ามาเมื่อไรก็จะกวาดสิ่งดีๆ ไปจากโลกนี้ ความเชื่อทางโหราศาสตร์บอกว่า โชคร้ายที่ดาวหางนำมาให้จะไม่เกิดกับคนธรรมดาอย่างเราๆ (เย้!!) แต่จะไปเกิดกับคนสำคัญๆ ระดับผู้นำประเทศ ไม่ก็ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น ปัญหาข้าวยากหมากแพง การก่อการร้าย เกิดสงคราม เกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ รวมทั้งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำประเทศด้วย

หลักฐานที่ทำให้คนโบราณเชื่อว่าดาวหางนำโชคร้ายมาให้มีอยู่ทั่วโลก ที่เด่นๆ ก็อย่างเช่น ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งได้บันทึกไว้ว่า ก่อนที่นครโซดอมและโกโมราห์จะถูกพระเจ้าทำลาย ก็มีประชาชนเห็นดาวหางปรากฏบนท้องฟ้า ต่อมาในปีที่มีดาวหางปรากฏอีกครั้ง ซีซาร์ของกรุงโรมก็ได้เสด็จสวรรคต ทำให้ชาวบ้านยิ่งปักใจเชื่อในความอัปมงคลของดาวหางมากขึ้น

ชาวญี่ปุ่นเองก็รับความเชื่อเรื่องดาวหางมาเต็มๆ เคยมีพระจักรพรรดิ์พระองค์หนึ่งถึงกับยอมสละราชสมบัติเพื่อรักษาพระชนม์ชีพไว้ เมื่อมีดาวหางปรากฏขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (เพราะถ้าดาวหางปรากฏ ผู้นำประเทศมักต้องเสียชีวิต) เดือนกันยายน พ.ศ. 2453 เป็นปีที่เกิดดาวหางฮัลเลย์ขึ้นสว่างเต็มท้องฟ้าผู้คนตื่นเต้นด้วยกันทั้งโลก และไม่นานหลังจากนั้น "พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 7" แห่งอังกฤษก็เสด็จสวรรคต

จากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักโหราศาสตร์ปักใจหวาดกลัวดาวหางกันมากขึ้น แต่สำหรับนักดาราศาสตร์แล้ว ดาวหางกลับเป็นดาวแห่งความหวังที่นำชื่อเสียงมาให้ เพราะในวงการดาราศาสตร์มีประเพณีว่า ใครได้ค้นพบดาวดวงใหม่เป็นคนแรกก็ให้ตั้งชื่อดาวตามชื่อคนที่ค้นพบ นักดาราศาสตร์จึงพยายามคำนวณหากันว่าเมื่อไรจะมีดาวหางเกิดขึ้น เพื่อที่ว่าถ้าเป็นจริงตามที่คำนวณ ชื่อของนักดาราศาสตร์คนนั้นก็จะได้เอาไปตั้งเป็นชื่อดาว และถูกบันทึกไว้ในวงการดาราศาสตร์ไปตลอดกาล
ดาวหางที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ดาวหางฮัลเลย์"

และเป็นดาวที่มีความผูกพันกับโลกเรามากที่สุด เพราะมันจะโคจรมาให้ชาวโลกได้เห็นเสมอทุกๆ 75-76 ปี ผู้ค้นพบมันคือ "เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์" นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ แต่ชื่อเสียงของฮัลเลย์ก็เหมือนดาวหางดวงอื่นๆ คือไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะแต่ละปีที่ฮัลเลย์มาเยือนโลกจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น เช่น

พ.ศ.303 ดาวหางฮัลเลย์มาเยือนโลกเป็นครั้งแรก ช่วงนี้เกิดสงครามโรมันกับคาร์เทจ หลังจากนั้นโรมันได้ทำสงครามกับคาร์เทจอีก 2 ครั้ง จนมีผู้คนล้มตายเป็นเบือ

พ.ศ.600 เป็นครั้งที่ 5 ที่ชาวโลกได้เห็นฮัลเลย์ ไม่นานก็เกิดกบฏต่อต้านโรม ทำให้นครเยรูซาเล็มต้องพินาศ

พ.ศ.994 โลกต้อนรับการมาเยือนของดาวหางดวงนี้ด้วยเหตุการณ์ที่อาณาจักรฮั่นที่ยิ่งใหญ่ถูกตีแตก

พ.ศ.1999 ฮัลเลย์โคจรมาโลกของเราเป็นครั้งที่ 23 เกิดไข้ทรพิษระบาดในประเทศไทย มีชาวบ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก

พ.ศ.2453 หลังจากฮัลเลย์ผ่านมาเป็นครั้งที่ 29 ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต
นี่ยังไม่นับเหตุการณ์วินาศภัยจากพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว และอุบัติเหตุต่างๆ อีกหลายครั้ง เช่น แผ่นดินไหวติดต่อกัน 3 ครั้งที่เม็กซิโกทำให้มีคนตายนับไม่ถ้วน เกิดพายุน้ำท่วมที่บังคลาเทศในเดือนกุมภาพันธ์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 20,000 คน ผู้นำโซเวียตตายกันถึง 8 คน ในช่วงก่อนและหลังจากดาวหางฮัลเลย์โคจรผ่านโลกไม่นาน
เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ฮัลเลย์ได้รับฉายาว่า "ดาวหางโลกาวินาศ" และเป็นการตอกย้ำความเชื่อว่าดาวหางจะนำโชคร้ายมาสู่โลกให้ฝังลึกลงไปอีก

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

ที่มาของสำนวนเปรี้ยวๆ ที่คุณยังไม่รู้

สำนวนที่เราพูดกันอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้โผล่มาจากกระบอกไม้ไผ่ทุกสำนวนมีต้นกำเนิดที่น่าสนใจ และบางที่มาอาจถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์บทหนึ่งเลยทีเดียว

ปั้นน้ำเป็นตัว เป็นสำนวนไทย หมายถึงการพูดที่ไม่จริง เสกสรรปั้นเรื่องที่ไม่มีมูลให้เป็นเรื่องขึ้นมา สำนวนนี้มีที่มาจากนิทานเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เขาตระเวนไปถึงเมืองๆ หนึ่งซึ่งมีก้อนน้ำแข็งวางขายอยู่ หนุ่มคนนี้ไม่เคยเห็นน้ำแข็งมาก่อนเลยเพราะที่หมู่บ้านของตัวเองไม่มี พอมาเจอเข้าเลยตื่นเต้นมากรีบเก็บน้ำแข็งใส่ห่อผ้า ตั้งใจจะเอากลับไปให้เพื่อนๆ ที่หมู่บ้านช่วยกระดี๊กระด๊าด้วยพอไปถึงเขาก็เรียกคนทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันแล้วคุยโม้ถึงสิ่งที่ไปเจอมา จากนั้นก็เปิดห่อผ้าหมายจะงัดน้ำแข็งขึ้นมาอวด แต่อนิจจา! น้ำแข็งทั้งหมดละลายไปแล้ว คนในหมู่บ้านนั้นเลยประณามเจ้าหนุ่มว่าคิดจะปั้นน้ำเป็นตัวมาหลอกคนอื่น หรือหมายถึงพยายามปั้นเรื่องที่ไม่เป็นจริงขึ้นมานั่นเอง

ข้ามแม่น้ำได้แล้วก็รื้อสะพาน ประโยคนี้เป็นสำนวนจีน หมายถึงใช้ประโยชน์จากคนอื่นจนสำเร็จแล้วก็ถีบหัวส่ง ตรงกับสำนวนไทยว่า "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" ต้นตอเริ่มมาจากการสอบคัดเลือกบัญฑิตเข้ารับราชการของจีน ซึ่งทำกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุย จนกระทั่งเข้าสู่ราชวงศ์หยวน ระบบสอบคัดเลือกก็เริ่มเสื่อมโทรมลง มีการทุจริตกินสินบนใช้เส้นสายกันมากขึ้น จนจักรพรรดิหยวนซุ่นตี้ทรงดำริจะยกเลิกระบบนี้ทิ้งไป แต่สวี่โหย่วเหรินขุนนางที่ปรึกษาคนหนึ่งไม่เห็นด้วย จักรพรรดิหยวนซุ่นตี้จึงเรียกขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊มานั่งฟังคำตัดสินพร้อมๆ กันโดยให้สวี่โหย่วเหรินนั่งอยู่แถวหน้าสุด จากนั้นทรงประกาศยกเลิกระบบนี้ ขุนนางคนหนึ่งที่ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้อหลังเห็นสวี่โหย่วเหรินนั่งอยู่แถวหน้าก็เข้าไปกระแนะกระแหนว่า "ท่านเข้ารับราชการได้เพราะระบบสอบบัญฑิต แต่ท่านกลับนั่งฟังการประกาศยกเลิกเป็นคนแรก ช่างเป็นคนที่ข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้งเสียจริงๆ" สวี่โหย่วเหรินได้ฟังก็อับอายมาก นับจากวันนั้นเลยพานไม่ยอมเข้าประชุมอีกเลยตลอดชีวิต จากนั้นสำนวนนี้ก็แพร่หลายไปทั่วแผ่นดินจีน และข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองไทยเราด้วย

มาก่อนไก่ หรือเอาไก่ผูกก้นมา หมายถึงมาสายผิดเวลามากๆ สำนวนนี้ได้มาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องศรีธนญไชย วันหนึ่งศรีธนญไชยตื่นสายมาเข้าประชุมตอนเช้าไม่ทัน แต่ราชสำนักสยามมีระเบียบว่าขุนนางที่มาประชุมสายจะต้องถูกลงอาญา ศรีธนญไชยเลยออกอุบายเอาไก่ผูกไว้ที่ก้นของตัวเองแล้วเดินยิ้มหน้าตาเฉยเข้าไปในวัง พอถูกถามว่าทำไมถึงมาสาย เจ้าตัวก็ดีตอบว่าตัวเองมาเช้าแล้วเพราะมาก่อนไก่โห่ ความฉลาดช่างพลิกแพลงทำให้สรีธนญไชยเอาตัวรอดไปได้ และสำนวนมาก่อนไก่ก็กลายเป็นสำนวนประชดประชันนับจากนั้นมา เวลาใครมาสายมากๆ คนที่มารอก็จะประชดว่า "เอาไก่ผูกก้นมาด้วยหรือเปล่า" หรือ "มาก่อนไก่เลยนะ"

ตัดหางปล่อยวัด หมายถึงการตัดขาด ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป มีที่มาจากพิธีสะเดาะเคราะห์ในสมัยโบราณของไทยเราที่มักจะใช้ไก่เป็นสัตว์สังเวย โดยพราหมณ์จะทำการขับไล่เคราะห์ร้ายจากคนที่จะสะเดาะเคราะห์เข้าไปในตัวไก่ จากนั้นก็จะเด็ดหรือตัดขนหางของไก่ตัวนั้นจนกุดแล้วเอาไปปล่อยในวัด เท่ากับปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทิ้งไป ในกฎมณเฑียรบาลระบุไว้ว่า "อนึ่งวิวาทตบตีฟันแทงกันให้โลหิตตกในพระราชวังก็ดี และหญิงสาวใช้ทาสไทยผู้ใดคลอดแท้งลูกในพระราชวังก็ดี ท่านให้มันพลีวัง ท่านให้ตั้งโรงพิธีสี่ประตู มีไก่ประตูละคู่ นิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระพุทธมนต์สามวัน ให้หาชีพ่อพราหมณ์ซึ่งพลีกรรมมากระทำบวงสรวงตามธรรมเนียม ครั้นเสร็จการพิธีแล้วจึงให้เอาไก่นั้นไปปล่อยเสียนอกเมือง ให้พาเสนียดจัญไร ไภยอุปัทว์ไปให้พ้นพระนครท่าน" พิธีนี้คนไทยเราทำกันเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ก็เริ่มจะซาลง เหลือแต่สำนวนตัดหางปล่อยวัดที่อยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

8 อาชีพอาถรรพ์ที่คนจีนส่ายหน้า

ที่ส่ายหน้านี่ไม่ใช่เพราะตี๋หมวยเขากำลังดูปิงปอง (เลยต้องส่ายหัวตามลูกไปด้วย) แต่เป็นเพราะชาวจีนเชื่อกันว่า อาชีพทั้ง 8 นี้เป็นงานที่ทำมาหากินอยู่บนความเดือดร้อนของคนอื่น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จึงไม่ควรทำ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะ "กิ๋วลิ้ว" ต้องพบกับความโชคร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง

1. ซินแสฮวงจุ้ย ถ้ารู้ว่าลูกหลานไปรับจ๊อบประเภทนี้ญาติผู้ใหญ่มักจะร้อง "ไอ๊หยา" ไปตามๆ กัน เพราะงานนี้เป็นอาชีพอาถรรพ์ระดับตัวแม่เลยทีเดียว เนื่องจากซินแสฮวงจุ้ยจะต้องแนะนำคนอื่นให้แก้ไขสิ่งไม่ดี และดึงดูดเอาแต่สิ่งดีๆ เข้าตัว เท่ากับฝ่าฝืนกฎของสวรรค์ที่ว่าคนเราจะดีหรือชั่วก็จากการกระทำของตัวเอง คนเป็นซินแสจึงต้องถูกสวรรค์ลงโทษให้เจอกับอะไรที่ไม่โสภาสถาพรในบั้นปลายของชีวิต

2. ปล่อยเงินกู้ เจ้าหนี้หน้าเลือดทั้งหลายที่ขูดรีดดอกเบี้ยมหาโหด ก็เข้าข่ายคนที่สวรรค์เตรียมเช็คบิลเช่นกัน เพราะความร่ำรวยที่ได้มา มาจากความลำบากของคนที่กำลังเดือดร้อน จึงจำเป็นต้องมากู้เงินทั้งๆ ที่รู้ว่าดอกเบี้ยที่รออยู่อาจจะออกดอกออกผลบานตะไทกว่าเงินต้นเสียอีก

3. ทนายความ เนื่องจากทนายที่ว่าความให้แต่คนบริสุทธิ์นั้นหายากยิ่งกว่างมเข็มในทะเลทรายซาฮาร่า ทนายความส่วนใหญ่จะเป็นพวกซ่อนดาบในรอยยิ้ม มีอาการสตรอเบอแหลแทรกซึมอยู่ในกระแสเลือด สามารถกลับดำเป็นขาวกลับขาวเป็นดำ โดยไม่สนใจว่าคนบริสุทธิ์จะติดคุกติดตะรางเพราะน้ำลายของตัวเอง คนจีนเลยไม่อยากให้ลูกหลานยึดอาชีพทนาย เพราะยิ่งรวยเท่าไรก็แสดงว่าลูกๆ หลานๆ ยิ่งต้องแหลมามากเท่านั้น

4. ที่ปรึกษา เศรษฐีจีนสมัยที่เปาบุ้นจิ้นยังหายใจไม่ค่อยได้เรียนหนังสือเท่าไรนัก แต่ก็จะจ้างพวกบัณฑิตที่เรียนจบสูงๆ มาเป็นที่ปรึกษาซึ่งแน่นอนว่ากุนซือต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้างด้วยการคิดกลโกงช่วยเจ้านายกอบโกยผลประโยชน์ให้มากที่สุด กุนซือส่วนใหญ่เลยมักจะกลายเป็นแมมมอธในร่างมนุษย์ เดินไปทางไหนเขี้ยวยาวลากดินไปเป็นทาง ทำบาปทำกรรมวันละ 24 ชั่วโมงขนาดนี้ไม่โดนสวรรค์ลงโทษก็แปลกไปแล้ว

5. คนขายโลงศพ ที่จริงอาชีพนี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพียงแต่คนเราขายอะไรก็อยากจะให้มีลูกค้ามากๆ ถ้าอยากให้โลงศพขายดีเหมือนแจกฟรี ก็ต้องภาวนาให้มีคนตายเช้าตายเย็น คนขายโลงศพจึงเป็นอาชีพที่จิตใจไม่สะอาด คอยแต่แช่งชักหักกระดูกเพื่อนมนุษย์ให้เท่งทึงเร็วๆ อีแบบนี้สวรรค์ก็ไม่ปลื้มอีกเช่นกันเจ้าค่ะ

6. ขายเหล้าและยาเสพติด ต่อให้เปิดแค่เพิงหมาแหงนขายยาดองก็ไม่ควรทำ เพราะคนจีนถือว่าเหล้ายาปลาปิ้งทุกชนิดเป็นยาพิษที่คุณดื่มได้คนที่ขายของพวกนี้ก็เหมือนทำลายชีวิตคนอื่น ดีไม่ดีถ้าพ่อบ้านคนไหนก๊งเหล้าแล้วชอบตาลายเห็นเมียเป็นกระสอบทราย ก็จะทำให้บ้านนั้นเกิดปัญหาครอบครัวตามมาอีกด้วย อาชีพนี้จึงเป็นงานของคนบาปถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ

7. ค้าคน ทั้งแม่เล้า คนที่จับเด็กไปขายเป็นทาส หลอกผู้หญิงไปขาย ฯลฯ เหมารวมอยู่ในข้อนี้หมด อาชีพนี้อากงอาม่าท่านสอนมาว่าต่อให้อดตายไม่มีข้าวจะเจี๊ยะก็ต้องหนีให้ไกล ไม่อย่างนั้นสวรรค์จะเอาคืนเป็น 7 เท่า คือนอกจากตัวเองจะถูกเล่นงานจนติดคุกหัวโตแล้ว ลูกหลานเหลนโหลนอีก 7 ชั่วโคตรก็จะไม่ได้อยู่เป็นสุข ถูกตามล้างตามเช็ดให้อดอยาก ทำมาค้าไม่ขึ้นไปด้วย

8. เปิดบ่อนพนัน การล่อลวงคนให้มาเป็นผีพนันก็เท่ากับฆ่าคนทั้งเป็น ทั้งๆ ที่ใครจะอายุยืนแค่ไหนเป็นลิขิตจากฟ้า เจ้าของบ่อนพนันทั้งหลายเลยต้องถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษ ในฐานะที่ขโมยซีนแย่งงานสวรรค์ไปทำ

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on

Written by on

คู่รัก 500 ปี ตำนานแห่งปราสาทมัตซึไดระ

คงไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักตำนานรักระบือลือลั่นของ "พ่อมาก" กับ "แม่นาค" แห่งบางพระโขนง แต่ถ้าไปที่ญี่ปุ่น ตำนานรักที่ขึ้นชื่อลือชาไม่แพ้กันต้องยกให้นี่เลย...ตำนานรัก 500 ปี แห่งปราสาทมัตซึไดระ

ตำนานเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่มีตัวตนอยู่จริงเมื่อ 500 ปีก่อน เป็นความรักของดอกฟ้ากับเท็ปเปิ้ลด็อกนามว่า "องค์หญิงมัตซึอิ" พระธิดาของเจ้าของปราสาทกับนายทหารคนเฝ้าประตูวัง ความรักของทั้งคู่ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด โดยมีสื่อกลางเป็นดอกไม้ราคาถูกๆ ที่นายทหารหนุ่มเอาไปถวายรับเสด็จ เวลาเกี้ยวขององค์หญิงผ่านมาเท่านั้น

แต่ไม่รู้นางเมี้ยนที่ไหนดันปากโป้งเอาเรื่องของทั้งคู่ไปเม้าท์ จนรู้ไปถึงหูพระบิดาเจ้าหญิงเข้า เล่นเอาเสด็จพ่อหนวดกระดิก รับสั่งให้เอาองค์หญิงกับทหารหนุ่มมาสอบสวน พอรู้ว่าทุกอย่างนี้แมงเม้าท์ไม่ได้เต้าข่าว ปาปารัซซี่ไม่ได้ตัดต่อภาพ เสด็จพ่อก็ของขึ้น สั่งให้เอาพระธิดาผู้ไม่รักดีไปประหารทันที หลังจากนั้นศพของเจ้าหญิงมัตซึอิก็ถูกนำไปฝังไว้อย่างลับๆ โดยไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน

ส่วนนายทหารหนุ่มถูกจับไปทรมานแสนสาหัสถึง 7 วัน 7 คืน ประหนึ่งฉลองโคมยี่เป็ง เพื่อให้สมกับความแค้นของเจ้าของปราสาทที่ต้องมาเสียลูกสาวไป ว่ากันว่ากระบวนการทรมานที่เจ้าของปราสาทจัดให้นั้นซาดิสม์ติดอันดับต้นๆ ในประวิติศาสตร์ญี่ปุ่นเลยทีเดียว พอทรมานจนสาแก่ใจแล้ว ทหารหนุ่มก็ถูกเอาตัวไปประหาร ตำนานรักต่างชนชั้นเรื่องนี้จึงต้องจบลงด้วยเลือดและน้ำตา

แต่ถึงคนจะตายแล้ว แต่ดวงวิญญาณยังไม่แตกดับ หลังจากนั้นทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง คนในปราสาทก็จะเห็นวิญญาณของนายทหารหนุ่มออกมาร้องโหยหวนและพยายามขุดหาหลุมศพของเจ้าหญิงอย่างน่าสงสาร เช้าวันต่อมาบริเวณที่มีคนเห็นวิญญาณก็มีร่องรอยการขุดอยู่จริงๆ ทหารในปราสาทถูกสั่งให้กลบหลุมให้เร็วที่สุด แต่คืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้าก็มีหลุมใหม่เกิดขึ้นอีก ตามกลบตามขุดกันอยู่อย่างนี้อยู่ 500 ปี จนปราสาทมัตซึไดระตกต่ำลงกลายเป็นวัดมัตซึมุชินโต แต่วิญญาณของทหารหนุ่มก็ยังไม่ยอมจากไป วัดมัตซึมุชินโตจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นที่สยดสยองของนักท่องเที่ยวว่าเป็นวัดผีดุ

ที่ไหนมีผีที่นั่นก็ต้องมีคนชอบลองของนี่เป็นสัจธรรมโลก..ที่วัดมัตซึมุชินโตก็เช่นกัน วันหนึ่งเด็กวัดที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่กลุ่มหนึ่งเกิดว่างจัด เลยท้ากันให้มาดักพิสูจน์ผี พวกเด็กๆ ปีนขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บนต้นสนอายุหลายร้อยปีหลังวัด แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีผีมาสักตัว จนเด็กวัดทั้งหมดถอดใจเตรียมจะกลับไปนอน ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกระดิ่งดังแว่วมาแต่ไกล พร้อมกับมีคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวเหมือนกับทหารสมัยโบราณแบกโลงศพเก่าๆ มาตั้งไว้บนลานวัด จากนั้นทุกคนก็หายวับไป...และแล้วร่างๆ หนึ่งก็ค่อยๆ ปีนออกมาจากโลง เขาก็คือนายทหารหนุ่มผู้รักแท้นั่นเองร่างกายของเขาอยู่ในสภาพเดียวกับวันที่ตายเมื่อหลายร้อยปีก่อน หนังที่หน้าถูกลอกออกไป มีตะปูเล่มยาวตอกอยู่ที่หน้าผาก ขมับ ดวงตา นิ้วถูกตัดหายไป บางนิ้วก็มีร่องรอยถูกตอกเล็บ เลือดไหลเปรอะไปทั้งตัว...พอออกจากโลงแล้วนายทหารก็ร้องไห้คร่ำครวญถึงเจ้าหญิงสุดที่รัก ส่วนมือก็ตะกุยขุดหาศพไปด้วย กรี๊ด!!

เด็กวัดเห็นแล้วก็ร้องจ๊ากโดยมิได้นัดหมาย ต่างคนต่างรีบไถลตัวลงจากต้นไม้เพื่อจะหนี บังเอิญเด็กคนหนึ่งจับกิ่งไม้ไว้แล้วโหนตัวลงมาทำให้เปลือกไม้ขาดตามมาเป็นทางยาว เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ข้างใน ซึ่งก็คือพระศพของเจ้าหญิงมัตซึอินั่นเอง!! เมื่อได้พบกันเจ้าหญิงกับนายทหารหนุ่มก็โผเข้ากอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ จากนั้นวิญญาณทั้งคู่ก็ค่อยๆ เลือนหายไป ทิ้งไว้แต่ต้นไม้ฉีกขาดกับรอยขุดที่พื้นเท่านั้น

และนับตั้งแต่วันนั้นมา ที่วัดมัตซึมุชินโตก็ไม่มีผีหรือเสียงร้องไห้คร่ำครวญอีกเลย จะเหลือก็แต่เรื่องเล่าลือถึงรักแท้ที่แม้แต่ความตายก็ไม่อาจพราก ตราบจนทุกวันนี้

ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

 

Written by on