หมวดหมู่นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวเป็นคุณแม่ คนที่เตรียมตัวตั้งครรภ์อยู่ในขณะนี้ คนที่อยากตั้งครรภ์ อยากตั้งท้อง และคนที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งทาง Pstip ได้รวบรวมบทความดี่ๆ เกี่ยวกับ การเตรียมตัวเป็นคุณแม่คนใหม่ การเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ และการดูแลร่างกายในขณะตั้งครรภ์ เอาไว้อย่างมากมาย เพื่อคุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะได้เข้ามาหาความรู้ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อย่างถูกต้อง เพื่อประโยชน์และสุขภาพที่ดีของทั้งคุณแม่เองและลูกน้อยที่น่ารัก

Written by on

อาหารต้องห้าม สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์ มีเรื่องต่างๆ หลายๆ อย่างที่เป็นกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ กลัวโน่น นี่ นั่น จะกระทบถึงลูกน้อยในครรภ์ คอยระวังทุกกริยาการเดิน ลุก นั่ง รวมไปถึงเรื่องอาหารการกิน ซึ่งอาหารบางอย่าง ไม่ใช่ว่าจะกินไม่ได้ เพียงแต่กินได้ในปริมาณที่น้อยลง และก็มีบางอย่างที่ไม่ควรกินเลย คุณแม่ทั้งหลาย ลองมาดูกันนะคะว่าอาหารอะไรบ้างที่สามารถกินได้บ้าง แต่นานๆ ครั้ง และปริมาณไม่มากนัก และจะต้องกินเมื่อปรุงสุกแล้ว

หอย กินได้แต่ต้องปรุงให้สุกจริงๆ เพราะหอยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียวิปริโอ ทำให้มีอาการอาหารเป็นพิษรุนแรงได้ โดยเฉพาะในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง

กาแฟ ดื่มกาแฟแก้วขนาดกลาง ทั่วไปได้วันละ 1 แก้ว ไม่เป็นอันตราย หากคุณแม่ได้รับกาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัม ต่อวัน จะไม่ส่งผลกระทบถึงการแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนด

แต่สำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงหรือธัยรอยด์เป็นพิษ ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะกาเฟอีนมีฤทธิ์เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต

ชา ดื่มได้ 1 แก้วต่อ 1 วัน ชาหนึ่งแก้วจะมีกาเฟอีน ประมาณ 40-0 มิลลิกรัม ถ้าเป็นชาสมุนไพร แม้จะไม่มีกาเฟอีน แต่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะสมุนไพรหลายชนิดยังไม่มีการศึกษาความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ ยกเว้นชาเปปเปอร์มิ้นต์และชาขิง ซึ่งช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องและจัดว่าปลอดภัย

ไวน์ ไม่ควรดื่ม การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภทเป็นปริมาณมากๆหรือบ่อยครั้งในขณะตั้งครรภ์ เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสแรก

ส้มตำปลาร้า ปูดอง กินได้แค่พอให้หายอยาก โดยเลือกจากร้านที่สะอาด ทางที่ดีควรกินส้มตำไทย แบบไม่ใส่ปู ดอง ปลาร้า จะดีกว่า เพราะปลาร้า ปูดอง อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อพยาธิและแบคทีเรียสูง เสี่ยงติดเชื้ออาหารเป็นพิษ และเนื่องจากของหมักดองมีเกลืออยู่มาก อาจทำให้คุณแม่มีอาการบวมร่วมด้วย

ผลไม้ดอง ไม่ควรกิน เพราะมักจะมีสารกันบูด สารบอแรกซ์ และเกลือสูง หากอยากกินของเปรี้ยวๆ ควรกินผลไม้รสเปรี้ยวสดๆ และต้องเน้นเรื่องความสะอาดด้วยนะคะ

น้ำอัดลม ไม่ควรดื่ม ในน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องจะมีกาเฟอีนอยู่ 32-40 มิลลิกรัม ถ้าคุณแม่ทั้งดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลมเข้าไปอีก ก็จะยิ่งมีการสะสมของกาเฟอีนจนอาจเกินเกณฑ์ได้ อีกทั้งปริมาณน้ำตาลและแคลอรี อาจส่งผลให้คุณแม่น้ำหนักขึ้นเกินเกณฑ์ไม่ดีต่อทั้งคุณแม่และลูกในท้อง และสำหรับน้ำอัดลมประเภทไดเอต ซึ่งใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้ จึงควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่านะคะ

อาหารหลายอย่างอาจจะเห็นแล้วอยากกินจนน้ำลายสอ คุณแม่ตั้งครรภ์พอจะกินได้บ้าง แต่ต้องรู้จักเลือกและควบคุมปริมาณ พอให้หายอยาก ไม่ควรตามใจปากจนลืมห่วงลูกน้อยในท้องกันนะคะ อย่างไหนที่หลีกเลี่ยงได้ ก็ควรที่จะเลี่ยงไปก่อนเสียดีกว่านะคะ เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกน้อยค่ะ

ขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร ModernMom ภาพจาก : อินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

ป้องกันลูกน้อยปลอดภัยจากไข้เลือดออก

ตั้งแต่คุณ ปอ ทฤษฎี ดาราหนุ่ม เป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรง ทำให้คนส่วนมากสนใจ ตื่นตัวเรื่องโรคไข้เลือดออกกันมากขึ้น ทั้งที่ไข้เลือดออกเป็นกันมานานแล้ว ซึ่งจากเวทีการประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อในภาวะโลกร้อนระดับนานาชาติ ยอมรับว่า โรคไข้เลือดออกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัยแล้ว ขณะนี้ ลุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรค ได้ขยายเวลาออกหากิน จากเดิมที่หากินเฉพาะช่วงกลางวัน เป็นหากินทั้งกลางวันและกลางคืน (ช่วง 5 ทุ่มไปแล้ว) ยิ่งไปกว่านั้นยังพบด้วยว่า ยุงลายตัวผู้ที่แม้จะไม่ได้ดูดเลือดเป็นอาหารแบบตัวเมีย แต่ก็มีเชื้อไวรัสที่ก่อโรคไข้เลือดออกเช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากโดยปกติแล้ว ยุงจะเติบโตได้ดีในที่ที่มีอากาศอบอุ่นถึงค่อนข้างร้อน เมื่อโลกร้อนขึ้นก็เท่ากับเพิ่มพื้นที่ในการขยายพันธุ์มากขึ้น และเมื่อดูสถิติโรคไข้เลือดออกของไทย พบว่ามักจะระบาดในช่วงฤดูฝน แต่ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน ก็จำเป็นต้องเฝ้าระวังด้วยเช่นกัน

ซึ่งถ้าลูกของเราป่วย มีอาการไข้สูง ซึม คลื่นไส้ อาเจียน กินอาหารและน้ำไม่ได้ ควรรีบพาพบแพทย์ ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินลดไข้ เพราะจะทำให้เลือดออกง่าย ถ้าให้พาราเซตามอลก็อย่าให้ถี่จนกินกว่า 6 ชั่วโมง เพราะยาพาราเซตามอลขนาดสูงเป็นพิษต่อตับได้

ที่สำคัญเพื่อเป็นการป้องกันและลดจำนวนยุงซึ่งเป็นพาหะนำโรค ควรหมั่นดูแลไม่ให้ภาชนะมีน้ำขังทั้งในบ้านและรอบบ้าน อาจใส่ทรายอะเบตในอัตราส่วน 1 กรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร ลงไปในภาชนะน้ำก็จะสามารถป้องกันการวางไข่ของยุงลาย นอกจากนี้ต้องระวังไม่ให้ถูกยุงกัด โดยอาจใช้สเปรย์ตะไคร้หอม ให้ลูกใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดและนอนในห้องที่มีมุ้งลวด

และเพื่อเป็นการปกป้องลูกน้อยจากโรคภัยต่างๆ สิ่งสำคัญคือ การสร้างสุขภาพของลูกน้อยให้แข็งแรง ด้วยการให้ลุกได้ทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลากหลาย ออกกำลังกายอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงสถานที่มียุงลายชุกชุมนะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร ModernMom Vol.18 No.210 April 2013 ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Written by on

Written by on

นับถอยหลัง รอวันคลอด

การตั้งครรภ์ มีระยะเวลา 38-40 สัปดาห์ หรือ ประมาณ 266-280 วัน เมื่อย่างเข้า สัปดาห์ที่ 37 คุณแม่คงตื่นเต้น เตรียมข้าวของต่างๆ พร้อมที่จะต้อนรับชีวิตใหม่กันแล้วใช่มั้ยคะ ช่วงนี้หากเป็นท้องแรกลูกน้อยจะกลับหัวและมาอยู่บริเวณอุ้งเชิงกรานแล้ว แต่ถ้าเป็นท้องหลังๆ ลูกจะกลับหัวช้ากว่าเล็กน้อยค่ะ ลูกน้อยจะเติบโตอย่างรวดเร็วใน 4 สัปดาห์หลังนี้ ซึ่งจะทำให้น้ำหนักของลูกเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากเตรียมเรื่องข้าวของเครื่องใช้สำหรับการคลอดแล้ว คุณแม่ควรเตรียมใจด้วย โดยการทำใจให้สบาย ทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เพราะลุกน้อยอาจจะได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนความเครียดของคุณแม่ได้ ถ้าหากคุณแม่ยังทำงานอยู่ ควรหาเวลางีบช่วงกลางวันให้ร่างกายได้พักผ่อน และไม่ควรเดินทางไกล

เมื่อถึงช่วง วันที่ 266-280 ถึงกำหนดคลอดแล้วนะคะ ช่วงนี้ครบกำหนดที่ลูกน้อยอันเป็นที่รักของคุณ พร้อมที่จะออกมาลืมตาดูโลกแล้ว เมื่อลูกคลอดครบกำหนด ลูกน้อยจะตัวใหญ่ขึ้นทุกวัน เพราะได้รับการสะสมชั้นไขมันไว้อย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเวลาที่ออกมาให้คุณแม่ได้ชื่นชม ช่วงนี้คุณแม่ควรผ่อนคลาย โดยการเล่านิทาน ร้องเพลง และพูดคุยกับลูกในท้องทุกวัน จะสร้างความผูกพันระหว่างคุณแม่และลูกน้อยในท้องได้เป็นอย่างดีค่ะ รวมทั้งทำให้คุณแม่เพลิดเพลินไปกับลูกน้อย จนคลายกังวลไปได้ค่ะ

พร้อมแล้วนะคะ...คุณแม่ เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อม ทีนี้ก็....รอ..ร่างกายของคุณแม่ส่งสัญญาณเตือน ว่าลูกน้อยพร้อมจะออกมาลืมตาโลกกว้าง อย่างที่คุณแม่นับวันรอคอยกันนะคะ
สู้ สู้ ค่ะคุณแม่ทั้งหลาย

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร รักลูก ภาพประกอบจาก iammomsociety.com

Written by on

Written by on

กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ขมิบ เอ็กเซอร์ไซส์ช่วยได้

ผู้หญิงอย่างเราเรา มีปัญหากวนใจต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเมื่อตั้งท้อง มักมีอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เวลาจามหรือไอหรือที่เรียกว่าปัสสาวะเล็ด นั่นก็เพราะระบบทางเดินปัสสาวะของคุณแม่มีการขยายตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรง อีกทั้งมดลูกที่ขยายตัวใหญ่ขึ้นยังไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ เลยทำให้คุณแม่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด ซึ่งอาการแบบนี้ ใช้วิธีขมิบเอ็กเซอร์ไซส์ช่วยได้ค่ะ

เมื่อรู้ตัวว่าจะเริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ดเกิดขึ้น พยายามขมิบปากช่องคลอดก่อนไอ เพื่อทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นกระชับ และระหว่างวันควรฝึกขมิบปากช่องคลอดก่อนไอ เพื่อทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นกระชับ และระหว่างวันควรฝึกขมิบแล้วปล่อยประมาณ 50 ครั้งต่อวัน (ครั้งละ 10 หน) จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและกระชับให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

นอกจากนี้ควรดื่มน้ำมากๆ และปัสสาวะบ่อยๆ เข้าห้องน้ำทันทีที่รู้สึกปวด ไม่ควรกลั้นปัสสาวะบ่อยหรือกลั้นไว้นานเกินไป เพราะนั่นยิ่งทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อไอ จาม หรือหัวเราะ

อย่ากลัวปัสสาวะเล็ด ขี้เกียจเข้าห้องน้ำบ่อยๆ จนลดการดื่มน้ำลง เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหานี้แล้ว ยังอาจเพิ่มปัญหาสุขภาพอื่นตามมา เช่น ท้องผูก ได้อีกด้วย

และหากหลังคลอดลูกแล้วอาการปัสสาวะเล็ดจะค่อยๆ หายไปเอง แต่ถ้าคุณแม่ยังอาการนี้ต่อเนื่องควรปรึกษาคุณหมอนะคะ อย่าปล่อยไว้ให้เป็นปัญหาเรื้อรัง จะทำให้ชีวิตประจำวันไม่เป็นปกติสุขนะคะ

ขอขอบคุณ ที่มา ModernMom Vol.18 ภาพประกอบ th.theasianparent.com

Written by on

Written by on

เตรียมพร้อมคลอด แบบธรรมชาติ

จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ที่คลอดลูกเองแบบธรรมชาติทั้ง 2 คน จะบอกว่าเริ่มจากเหตุผลส่วนตัวอย่างแรกเลยนะคะ คือเป็นคนกลัวเข็มฉีดยา กลัวการผ่าตัด และอีกอย่างตอนฝากท้อง คุณหมอจะแนะนำให้เราคลอดเอง เพราะจะมีผลว่าดีต่อสุขภาพภายใน มดลูกแข็งแรงเร็ว กล้ามเนื้อมดลูกจะหนาขึ้น ผนังช่องคลอดจะหนาขึ้นและแข็งแรง เนื่องจากมีการยืดหดของกล้ามเนื้อได้ดีกว่า หลังคลอดช่องทางการคลอดจะแข็งแรง ได้บริหารหลังคลอดด้วยการขมิบบ่อยๆ และออกกำลังกาย ก็จะทำให้ทุกอย่างเข้าที่เร็ว

การคลอดเองยังส่งผลดีต่อสุขภาพก่อนคลอด เพราะคุณแม่ต้องเตรียมตัว และดูแลตนเอง ออกกำลังกายเพื่อให้การคลอดง่าย กินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ พร้อมต่อการคลอดอย่างปลอดภัย

เป็นไงบ้างคะ สนใจจะคลอดเองแบบธรรมชาติกันบ้างแล้วยัง ถ้าสนใจแล้ว ลองมาดูวิธีการเตรียมความพร้อมก่อนคลอดธรรมชาติกันนะคะ

อย่างแรก ต้องมีความมั่นใจว่าตนเองแข็งแรงพอที่จะคลอดเองแบบธรรมชาติ ลองพูดคุยปรึกษากับคุณหมอและบอกกับคุณหมอว่าเราตั้งใจจะคลอดเอง คุณหมอก็จะประเมินร่างกายว่าเราพร้อมจะคลอดเองได้หรือไม่ แล้วก็เตรียมร่างกายให้พร้อม ให้แข็งแรงพอ โดยการทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพอเหมาะสม การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ท้อง เช่น โยคะสำหรับคนท้อง แอโรบิกในน้ำ เพื่อให้ช่องคลอดมีความแข็งแรง อีกทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพขณะตั้งครรภ์ ทำให้คุณแม่และคุณลูกมีสุขภาพแข็งแรงไปด้วยค่ะ

เห็นถึงผลดีจากการคลอดเองแบบธรรมชาติแบบนี้แล้ว คุณแม่ลองพิจารณาดูนะคะ เพราะการคลอดแบบธรรมชาติเป็นการคลอดที่ดีที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด ร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติได้เร็วที่สุด

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร รักลูก ภาพประกอบจาก momypedia.com

Written by on

Written by on

ฮอร์โมนคนท้อง กับภาวะอารมณ์

ฮอร์โมนคนท้อง...กับภาวะอารมณ์ เป็นอย่างไร มาดูกันนะคะว่า เมื่อผู้หญิงเราตั้งท้อง ภาวะอารมณ์จะแปรปรวน เป็นคนที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งหงุดหงิด ขี้รำคาญ แต่พอใครไม่ใสใจ ก็จะน้อยใจ ว่าเขาไม่รักไม่ให้ความสำคัญ อะไรไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายแบบไร้เหตุผล หรือไม่ก็หงอยเหงาซึมเศร้า อ่อนไหว ร้องไห้ฟูมฟาย เรื่องเหตุผล ไม่ต้องพูดถึง เอาล่ะสิ เป็นแบบนี้คนรอบข้างคงทำตัวไม่ถูก

เราจึงไม่ควรปล่อยอารมณ์ให้เป็นไป โดยคิดว่าเป็นธรรมชาติ เราควรบริหารความเครียด ซึ่งภาวะดังกล่าวยังส่งผลไปยังลูกน้อยด้วย

ทุกอย่างเริ่มที่ใจ ถึงแม้ฮอร์โมนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง หากเพียงแต่เราพยายามบริหารจัดการอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ ด้วยการทำกิจกรรม ที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือแนวที่ชอบ จัดดอกไม้ ดูหนังสนุกๆ ออกกำลังกายเบาๆ ที่เหมาะกับคนท้อง ออกไปช้อปปิ้งบ้างก็ได้ ไปหาเพื่อน หาญาติ พูดคุยเม้าท์มอยด์กันบ้าง

แค่นี้ก็จะทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์เป็นคนสุขภาพจิตดี ไม่หงุดหงิดง่าย เราก็จะเป็นคุณแม่ที่น่ารักของคนรอบข้างและลูกน้อยก็จะเกิดมามีสุขภาพจิตดีตามมาด้วยค่ะ

ขอขอบคุณ ที่มา : ModernMom Vol.18 ภาพประกอบจาก iosociety.com

Written by on

Written by on

ลูกกลับหัวแล้ว จะคลอดแล้วเหรอเนี่ย

ลูกน้อยในครรภ์คุณแม่ จะกลับหัวลง หรือเรียกว่า ทารกมีส่วนนำเป็นศีรษะ ตอนอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ แต่ทารกบางรายไม่กลับหัวทำให้มีส่วนนำเป็นอวัยวะอื่นๆ ที่พบบ่อยคือ มีส่วนนำเป็นก้น บางรายอยู่ในท่าขวาง หรือมีส่วนนำเป็นเท้า แต่พบไม่บ่อยนัก

ทารกไม่กลับหัว มีสาเหตุมาจากหลายกรณี เช่น มีรกเกาะต่ำ หรือมีเนื้องอกบอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูก การที่ทารกมีส่วนนำเป็นศีรษะ ไม่ได้เป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนดค่ะ เพราะปัจจัยที่อาจทำให้คุณแม่คลอดก่อนกำหนดนั้นมีมากมาย เช่น มีการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร การมีน้ำเดินก่อนกำหนด หรือไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น

ส่วนนำของทารก เป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับการคลอด หากทารกมีส่วนนำเป็นศีรษะโอกาสคลอดเองตามธรรมชาติจะสูงกว่า เนื่องจากศีรษะเป็นส่วนแข็ง เมื่อมีการบีบตัวของมดลูกส่วนของศีรษะจะเป็นตัวถ่างขยายปากมดลูกได้ดีกว่าส่วนนำที่เป็นก้น

อย่างไรก็ตาม บางครั้งส่วนนำท่าศีรษะก็ไม่ได้ช่วยให้คลอดทางช่องคลอดได้เสมอไป ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น ความเหมาะสมของขนาดทารกกับอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ การก้มศีรษะของทารก หากทารกไม่ก้มหน้า เส้นผ่าศูนย์กลางของส่วนนำจะกว้างทำให้คลอดยาก การรอคลอดนาน หรือจำเป็นต้องใช้เครื่องมือแพทย์ เช่นการใช้เครื่องดูดสุญญากาศ ในการช่วยคลอด

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยของความแรงและสม่ำเสมอของการบีบตัวของมดลูกด้วยที่มีผลต่อการคลอดของคุณแม่ตั้งครรภ์ เตรียมใจ เตรียมตัวให้พร้อมต้อนรับชีวิตน้อยๆ อันเป็นแก้วตาดวงใจของเราด้วยความอิ่มเอิบใจกันดีกว่า

ขอขอบคุณ ที่มา : ModernMom Vol.18 ภาพประกอบจาก momypedia.com

Written by on